.
เรื่องสั้น : โลกใหม่ 2
=======
ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนสีฟ้า ในห้องสี่เหลี่ยมผนังสามด้านถูกทาด้วยสีดำมีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใส ผมจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานนั้น ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขาสั้นและรองเท้าหนังสีดำ ผมจำหน้าและจำชื่อตัวเองไม่ได้ ผมเห็นตัวเลขปักอยู่ที่อกเสื้อข้างซ้าย มันเขียนว่า Z-304 ซึ่งผมมั่นใจว่านั้นคือชื่อผม
ผมรู้สึกมึนงงและสับสนไม่แน่ใจว่าสิ่งเกิดขึ้นกับผมอยู่ตอนนี้มันคือความจริงหรือแค่ฝันไป ไม่ทันที่ความคิดผมจะเตลิดไปไกลบางสิ่งก็ดึงผมกลับเข้ามาในห้องสีดำ ผมเห็นเด็กผู้ชายอีกหลายสิบคนที่ตื่นขึ้นมาและมีอาการแบบเดียวกับผม ผมมองหน้าพวกเขาและมั่นใจว่าไม่รู้จักใครเลยสักคนในนี้ ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครพูดจา ความเงียบปกคลุมอยู่ไม่นาน
กระจกตรงหน้าก็ส่องแสงไฟสีเหลืองกะพริบสามครั้ง จากกระจกใสเปลี่ยนเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ ตัวอักษรสีเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอว่า
“ไปรวมตัวที่ห้องอาหาร”
เด็กชายทุกคนมองหาทางออก และไม่นานประตูฝั่งขวามือก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก เด็กทุกคนทยอยออกจากห้องเป็นแถวโดยเรียงลำดับจากตัวเลขบนอกเสื้อจากน้อยไปมาก ซึ่งทุกคนในที่นี้ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนแต่ก็สามารถปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เป็นประจำ พวกเขากลายเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่มีความคิดไม่มีความรู้สึก เพียงแต่คอยรับคำสั่งและทำตาม
เด็กผู้ชายเดินเรียงแถวมานั่งประจำโต๊ะอาหารอย่างพร้อมเพรียง อีกฝั่งตรงคือกลุ่มเด็กผู้หญิงซึ่งอยู่ในชุดสีส้ม ตรงหน้าพวกเขาคือถ้วยกระเบื้องสีขาวในนั้นมีอาหารเม็ดหลากสีสันจำนวนห้าเม็ด มีแก้วน้ำวางไว้ทางขวามือคนละใบ เด็กชายหญิงทยอยหยิบกินอาหารเม็ดทีละเม็ดเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ ติ๊ด ดังติดกันสามครั้ง และดื่มน้ำตามเมื่อกินอาหารทุกเม็ดที่อยู่ในถ้วยจนหมด
พวกเขาคือหุ่นยนต์มนุษย์ไร้ความรู้สึกนึกคิด ไร้ชีวิตชีวา ไม่ไร้เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
“ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการ” เสียงผู้หญิงดังก้องขึ้นผ่านลำโพงตัวใหญ่ที่แขวนอยู่บนฝาเพดานในห้องอาหาร เด็กๆทุกคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันแล้วเดินเรียงแถวตอนมุ่งสู่ห้องปฏิบัติการ
ผมเดินตามหลัง Z-303 แต่แล้วสายตาผมก็หันไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ขบวนแถวของเด็กผู้หญิง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสลวยผมสั้นเสมอหูพยายามหันมาสบตาผม และเธอพยายามทำแบบนี้มาหลายครั้ง เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางกับผม ในวินาทีนั้นผมรู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมถ้าเธอพยายามจะสื่อสารกับผม มันผิดกฎแห่งเซร่าที่ห้ามผู้ชายกับผู้หญิงพูดคุยกัน ผมเตรียมการไว้ในใจแล้วหากเธอพยายามจะพูดกับผม ผมจะแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ขบวนหุ่นยนต์เด็กน้อยเดินมาหยุดยืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบในห้องปฏิบัติการ โดยทุกคนหันหน้าไปทางเวทีสีขาวซึ่งมีชายฉกรรจ์ใบหล่อเหลาคมคาย ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาอยู่ในชุดหนังรัดรูปสีขาว ผมสีดำขลับถูกหวีเรียบแนบหนังศีรษะ และเด็กๆรู้จักเขาในชื่อ
‘ชาลี’
เขากวาดสายตามองดูเด็กๆอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเธอคือความภาคภูมิใจของฉัน พวกเธอคือมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ ไม่มีอีกแล้วที่จะหาใครสมบูรณ์แบบได้เท่าพวกเธอ ดวงดาวของเราจะยิ่งใหญ่ไม่ได้เลยหากไม่มีพวกเธอ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบและอย่าคิดออกไปนอกกำแพง ภายนอกกำแพงมีแต่ความโหดร้าย ป่าเถื่อน ฉันไม่อยากเห็นลูกๆของฉันต้องเจ็บปวดเพราะคิดอยากออกไปเล่นนอกกำแพง”
คำพูดของเขาแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเด็กๆ ซึ่งบางครั้งเขาจะเรียกเด็กๆเหล่านี้ว่าลูก ทำให้เด็กชายหญิงยืนอยู่ต่างมีสีหน้าพึงพอใจที่ได้รับความห่วงใยจากเขา แม้จะไม่รู้สึกถึงความผูกพันใดๆที่มีต่อชายฉกรรจ์ตรงหน้านี้เลยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเด็กๆรับรู้คือ เขาคนนี้คือเจ้าชีวิตของพวกเขาทุกคน คือบุคคลที่พวกเขามิอาจต่อกรหรือขัดขืนต่อคำสั่งได้
=====
“มิกทางนี้ เฮ้ ทางนี้ นายเห็นฉันไหม”
ก้องขว้างก้อนหินใส่ศีรษะ เด็กชายผู้มีชื่อปักที่อกเสื้อว่า Z-304 ก้องแอบอยู่ในพุ่มไม้ข้างทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตึกบัญชาการเซร่ากับห้องวิจัยและทดลองมนุษย์โลก
Z-304 มองหาที่มองของก้อนหินนั้นด้วยความงุนงง ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่เด็กชายหน้าตามอมแมมแต่งตัวสกปรกผมยาวประบ่า Z-304 เอียงคอเมียงมองด้วยประหลาดใจ ในดาวบีเทียเขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวสกปรกเช่นเด็กชายผู้นี้เลย
“นายเป็นใคร” Z-304 เอ่ยถามทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายแปลกหน้า
“ฉันก้องไง นายจำฉันไม่ได้เหรอ”
Z-304 เอียงคอจ้องมองหน้าเด็กชายแปลกพยายามนึกว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลที่ตนรู้จักหรือไม่ หน่วยความทรงจำแปลผลออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยมาจับตัวนายไปสอบสวน” Z-304 พูดขึ้นทันทีเมื่อแน่ใจแล้วว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก
“เฮ้อ เดี๋ยวก่อน ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยนายนะ นึกสิมิก นายชื่อมิกจำชื่อตัวเองได้ไหม พวกนั้นกำลังล้างสมองนายนะ” ก้องพยายามบอก
“มีผู้บุกรุก ทางนี้ครับ ทางนี้มีผู้บุกรุก” Z-304 ตะโกนก้องเพื่อเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัย
“บ้าเอ้ย ฉันไม่อยากทำแบบนี้กับนายหรอกนะ” พูดจบก้องก็ใช้ท่อนไม้ฟาดขมับ Z-304 เป็นผลให้ร่างนั้นล้มหมดสติลง
“โทษทีวะเพื่อนฉันทำแบบนี้เพราะอยากจะช่วยนายนะ” ก้องพูดกับร่างที่สลบไสล ก่อนจะค่อยลากร่างนั้นเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วลากต่อไปจนถึงท่อระบายน้ำ ก่อนจะดันร่างมิกให้ร่วงหล่นลงไปในท่อระบาย ซึ่งก้องได้นำเศษกิ่งไม้มากองสุมไว้ที่พื้นเบื้องล่างเพื่อรอรับร่างมิกไว้แล้ว ส่วนเขาค่อยๆไต่บันไดลงมาด้านล่าง
ท่อระบายน้ำมีขนาดใหญ่กว้างขวาง มีความสูงเกือบสิบเมตร และมีน้ำขังอยู่เป็นระยะๆ บางจุดก็แห้งขอด ในนี้มืดสลัว อับชื้นและมีกลิ่นเหม็น ก้องแบกร่างของมิกมาวางตรงจุดที่ไม่มีน้ำ ใช้เชือกมัดมือมิกไว้ และใช้ผ้ามัดปิดปากมิกไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เขาส่งเสียงดัง มิกสลบไปเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะรู้สึกตัว และพบว่าตนถูกมัดติดกับเสาเหล็ก เขาพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากการถูกมัด ปากร้องส่งเสียงร้องอู้อี้ๆ
“ตื่นแล้วเหรอ” ก้องเดินมาจ้องหน้าคนถูกมัด
“ฉันจะแก้ผ้ามัดปากนายออกถ้านายรับปากว่าจะไม่ส่งเสียงดัง”
ผมพยักหน้าเป็นการรับปาก แต่ในใจคิดไว้ ‘แก้ผ้ามัดปากออกเมื่อไรฉันจะตะโกนให้ก้องเลย’
“ฮ่าๆ ฉันไม่เชื่อคนที่ถูกล้างสมองอย่างนายหรอกนะ ต้องรอให้แน่ใจก่อนว่านายจะไม่ส่งเสียงจนเป็นผลทำให้ทหารเซร่ายกพลเข้ามาในนี้” ก้องโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะกลับมาตั้งใจปอกเปลือกผลไม้ต่อ โดยไม่สนใจคนถูกมัดที่ดิ้นรนหาทางหนี ปากส่งเสียงอู้อี้ๆตลอดเวลา
เสียงฝีเท้าคนเดินเหยียบย่ำผืนน้ำกำลังมุ่งตรงยังจุดที่พวกเขาสองคนอยู่ ก้องยืนขึ้นสายตาจ้องเขม็งไปยังที่มาของเสียง และต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วนั่งลงทันทีที่เห็นว่าใครกำลังเดินมา
“เราต้องรีบหนีแล้วนะ อีกไม่นานเซร่าจะรู้ว่ามีคนหายไป และส่งทหารออกตามหาแน่ๆ” ผู้มาใหม่พูดขึ้นอย่างร้อนรน
ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้มาใหม่เป็นใคร เธอคือเด็กหญิงที่พยายามจะสบตาผมอยู่ตลอดเวลา คนที่ผมคิดว่าต้องการสื่อสารอะไรกับผม ผมเบิกตากว้างจ้องมองดูเธอด้วยความตกใจ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมาเจอเธอที่นี่ หรือเธอจะเป็นพวกนอกรีด พวกกบฏ ที่ชาลีเคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ พวกที่จะมาทำลายดาวบีเทียของเราให้ย่อยยับ ชาลีบอกองค์กรเซร่าของเรามีไว้ปกป้องดวงดาวที่เราอยู่ แต่สองคนนี้กำลังสมคบคิดทำอะไรบ้างอย่างแน่ๆ ผมต้องหนีไปจากนี้ให้ได้ ไปแจ้งข่าวให้ทหารมาจับตัวทั้งสองไปไต่สวน
“นายไม่ต้องคิดหนีหรอกนะ กว่าจะเอาตัวนายออกมาได้ ฉันกับก้องต้องวางแผนกันจนเหนื่อยเลยนะรู้ไหม” เด็กหญิงพูดขึ้นราวกับรู้ทันความคิดผม เธอยืนเท้าสะเอวจ้องมองผมและพูดกับผมเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ถูกต้อง และควรเป็นผมที่ต้องเอ่ยขอบคุณเธอที่ช่วยพาผมออกมา
แต่ผมไม่เข้าใจ มึนงงและไม่รู้จักสองคนนี้เลย ผมทำได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธสิ่งใดๆก็ตามที่เธอพูดกับผม
“แล้วจะพามิกไปได้ยังไง ดูท่าจะยังต่อต้านอยู่ไม่น้อย” ก้องหันไปพูดกับเด็กหญิงที่ยังยืนเท้าสะเอวที่มีใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดเข้าหากัน
“ก็ต้องพาไปทั้งอย่างนี้ละ มัดมือปิดปากไว้ ออกไปจากเซร่าได้เมื่อไรค่อยเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง”
ก้องจับมิกยืนขึ้นจัดการมัดมือไพล่หลัง และคอยผลักหลังมิกให้เดินตามเด็กหญิงที่เดินนำหน้า
“เดินไปอีกไม่กี่ไม่ไกลเราจะเจอท่อน้ำทิ้ง เราจะต้องหนีออกไปทางท่อน้ำทิ้ง” เด็กหญิงที่เดินนำหน้าพูดขึ้นโดยไม่หันมามองเด็กชายสองคนที่เดินอยู่ด้านหลัง
“เธออย่ามองนะว่าจะให้โดนลงไปในท่อน้ำทิ้ง หยี้ น้ำเน่าพวกนั่นเหม็นจะตาย” ก้องขัดขึ้นเบ้ปากเมื่อคิดถึงแผนการของเด็กหญิง
“ทางนั้นเป็นทางเดียวที่เราจะหนีออกจากเซร่าได้ ถ้าจะให้ปืนกำแพงหนีมีหวังถูกจับตั้งแต่ยังไม่ได้ปืนละมั้ง” เด็กหญิงพูดต่อและยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
ผมได้ยินทั้งสองคนพูดคุยอย่างชัดเจน พวกเขาคิดจะหนีออกจากเซร่า มันเป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ด้านนอกกำแพงมันมีอะไรที่โหดร้ายป่าเถื่อนรออยู่ พวกเขาทั้งคู่ต้องสติไม่ดีแน่ๆที่คิดจะทำแบบนั้น ผมพยายามต่อสู้เพื่อที่จะหนี แต่ผลจากการถูกฟาดที่ขมับทำให้ผมปวดหัว และเด็กชายแปลกหน้าที่คุมผมไว้ก็ตัวใหญ่ แข็งแรงกว่าผมมาก ทำให้ผมสู้แรงของเขาไม่ไหว จำต้องเดินตามแต่โดยดี
เด็กหญิงที่เดินนำหน้าหยุดนิ่งมองลงไปด้านล่างที่มีน้ำทิ้งสายใหญ่ถูกปล่อยออกจากท่อระบายน้ำท่อหนึ่ง แล้วเชื่อมต่อไปยังท่อระบายน้ำอีกท่อ เส้นทางที่น้ำไหลยาวออกไปจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“แน่ใจนะว่าจะลอยน้ำเน่าพวกนี้ออกไป” ก้องเอ่ยถามเด็กหญิงเพื่อต้องการการยืนยันหรือไม่ก็เปลี่ยนแผนใหม่
“ไม่แน่ใจเลย ตามมานะ” เด็กหญิงตอบแล้วกระโดดลงน้ำทันทีเธอปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามท่อน้ำทิ้ง
ก้องไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาแก้เชือกมัดปากมัดมือมิกแล้วผลักเขาลงน้ำ ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดตามมาติดๆ
ผมกรีดร้องไปตลอดทางที่น้ำพาผมไหลออกมา ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่มันบ้าบิ่น และเหม็นเน่าขนาดนี้มาก่อน ผมพยายามยื่นมือไขว้คว้าหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อยึดเกาะไม่ให้ตัวเองไหลไปตามน้ำ แต่ก็สุดความพยายามเพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะหยุดผมได้ ผมเกิดอาการวิงเวียนศีรษะจนอยากจะอาเจียนออกมา ปวดหัวเสียจนสายตาพร่ามั่ว และเห็นภาพบางอย่างฉายวาบไหลผ่านเข้ามาในหัวของผม ภาพของเด็กชายกับพ่อแม่พี่สาว ภาพแล้วภาพเล่าไหลเข้ามาแบบไม่จบสิ้น
ผมร้องโอดโอยไม่เข้าใจสิ่งที่สมองผมกำลังคิดหรือทำอะไร ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้จักคนพวกนี้ แต่ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงและรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำไมถึงรู้สึกว่าบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนจริงๆทั้งที่ไม่เคยเจอ ผมใช้มือกดศีรษะตัวเองเพื่อหยุดยั้งภาพหลอนที่ฉายอยู่ในหัว
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็กำลังลอยอยู่ในแม่น้ำสายหนึ่ง ได้ยินเสียงคนตะโกนบอกให้ผมว่ายเข้าฝั่ง และสัมผัสได้ถึงแขนแข็งแรงของใครบางคนมาพันรอบคอผมแล้วพาผมขึ้นมานอนเป็นพื้นดิน
“มิก มิก นายได้ยินฉันไหม”
เด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างผมเมื่อตอนถูกจับมาไว้ที่สนามฟุตบอล ผมจำเธอได้ แม้บางสิ่งบางอย่างของเธออาจจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ผมมั่นใจ แววตาคู่นั้นของเธอยังตรึงอยู่ในความทรงจำผม เธออยู่ตรงหน้าผม ใช้ฝ่ามือตบหน้าผมไปหลายที
“ปลอดภัยดี” ผมตอบออกไปตามที่สมองสั่งและตามความรู้สึกที่คิดว่าไม่ได้เจ็บปวดอะไร
“เฮ้อ โล่งอกไปที นึกมาช่วยออกมาแล้วจะมาตายเอาง่ายๆแบบนี้” ก้องที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ เพราะเพิ่งว่ายน้ำไปดึงตัวมิกขึ้นมาจากแม่น้ำ
.
โลกใหม่ ...... 2
เรื่องสั้น : โลกใหม่ 2
=======
ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนสีฟ้า ในห้องสี่เหลี่ยมผนังสามด้านถูกทาด้วยสีดำมีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใส ผมจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานนั้น ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขาสั้นและรองเท้าหนังสีดำ ผมจำหน้าและจำชื่อตัวเองไม่ได้ ผมเห็นตัวเลขปักอยู่ที่อกเสื้อข้างซ้าย มันเขียนว่า Z-304 ซึ่งผมมั่นใจว่านั้นคือชื่อผม
ผมรู้สึกมึนงงและสับสนไม่แน่ใจว่าสิ่งเกิดขึ้นกับผมอยู่ตอนนี้มันคือความจริงหรือแค่ฝันไป ไม่ทันที่ความคิดผมจะเตลิดไปไกลบางสิ่งก็ดึงผมกลับเข้ามาในห้องสีดำ ผมเห็นเด็กผู้ชายอีกหลายสิบคนที่ตื่นขึ้นมาและมีอาการแบบเดียวกับผม ผมมองหน้าพวกเขาและมั่นใจว่าไม่รู้จักใครเลยสักคนในนี้ ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครพูดจา ความเงียบปกคลุมอยู่ไม่นาน
กระจกตรงหน้าก็ส่องแสงไฟสีเหลืองกะพริบสามครั้ง จากกระจกใสเปลี่ยนเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ ตัวอักษรสีเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอว่า “ไปรวมตัวที่ห้องอาหาร”
เด็กชายทุกคนมองหาทางออก และไม่นานประตูฝั่งขวามือก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก เด็กทุกคนทยอยออกจากห้องเป็นแถวโดยเรียงลำดับจากตัวเลขบนอกเสื้อจากน้อยไปมาก ซึ่งทุกคนในที่นี้ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนแต่ก็สามารถปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เป็นประจำ พวกเขากลายเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่มีความคิดไม่มีความรู้สึก เพียงแต่คอยรับคำสั่งและทำตาม
เด็กผู้ชายเดินเรียงแถวมานั่งประจำโต๊ะอาหารอย่างพร้อมเพรียง อีกฝั่งตรงคือกลุ่มเด็กผู้หญิงซึ่งอยู่ในชุดสีส้ม ตรงหน้าพวกเขาคือถ้วยกระเบื้องสีขาวในนั้นมีอาหารเม็ดหลากสีสันจำนวนห้าเม็ด มีแก้วน้ำวางไว้ทางขวามือคนละใบ เด็กชายหญิงทยอยหยิบกินอาหารเม็ดทีละเม็ดเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ ติ๊ด ดังติดกันสามครั้ง และดื่มน้ำตามเมื่อกินอาหารทุกเม็ดที่อยู่ในถ้วยจนหมด
พวกเขาคือหุ่นยนต์มนุษย์ไร้ความรู้สึกนึกคิด ไร้ชีวิตชีวา ไม่ไร้เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
“ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการ” เสียงผู้หญิงดังก้องขึ้นผ่านลำโพงตัวใหญ่ที่แขวนอยู่บนฝาเพดานในห้องอาหาร เด็กๆทุกคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันแล้วเดินเรียงแถวตอนมุ่งสู่ห้องปฏิบัติการ
ผมเดินตามหลัง Z-303 แต่แล้วสายตาผมก็หันไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ขบวนแถวของเด็กผู้หญิง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสลวยผมสั้นเสมอหูพยายามหันมาสบตาผม และเธอพยายามทำแบบนี้มาหลายครั้ง เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางกับผม ในวินาทีนั้นผมรู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมถ้าเธอพยายามจะสื่อสารกับผม มันผิดกฎแห่งเซร่าที่ห้ามผู้ชายกับผู้หญิงพูดคุยกัน ผมเตรียมการไว้ในใจแล้วหากเธอพยายามจะพูดกับผม ผมจะแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ขบวนหุ่นยนต์เด็กน้อยเดินมาหยุดยืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบในห้องปฏิบัติการ โดยทุกคนหันหน้าไปทางเวทีสีขาวซึ่งมีชายฉกรรจ์ใบหล่อเหลาคมคาย ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาอยู่ในชุดหนังรัดรูปสีขาว ผมสีดำขลับถูกหวีเรียบแนบหนังศีรษะ และเด็กๆรู้จักเขาในชื่อ ‘ชาลี’
เขากวาดสายตามองดูเด็กๆอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเธอคือความภาคภูมิใจของฉัน พวกเธอคือมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ ไม่มีอีกแล้วที่จะหาใครสมบูรณ์แบบได้เท่าพวกเธอ ดวงดาวของเราจะยิ่งใหญ่ไม่ได้เลยหากไม่มีพวกเธอ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบและอย่าคิดออกไปนอกกำแพง ภายนอกกำแพงมีแต่ความโหดร้าย ป่าเถื่อน ฉันไม่อยากเห็นลูกๆของฉันต้องเจ็บปวดเพราะคิดอยากออกไปเล่นนอกกำแพง”
คำพูดของเขาแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเด็กๆ ซึ่งบางครั้งเขาจะเรียกเด็กๆเหล่านี้ว่าลูก ทำให้เด็กชายหญิงยืนอยู่ต่างมีสีหน้าพึงพอใจที่ได้รับความห่วงใยจากเขา แม้จะไม่รู้สึกถึงความผูกพันใดๆที่มีต่อชายฉกรรจ์ตรงหน้านี้เลยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเด็กๆรับรู้คือ เขาคนนี้คือเจ้าชีวิตของพวกเขาทุกคน คือบุคคลที่พวกเขามิอาจต่อกรหรือขัดขืนต่อคำสั่งได้
=====
“มิกทางนี้ เฮ้ ทางนี้ นายเห็นฉันไหม”
ก้องขว้างก้อนหินใส่ศีรษะ เด็กชายผู้มีชื่อปักที่อกเสื้อว่า Z-304 ก้องแอบอยู่ในพุ่มไม้ข้างทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตึกบัญชาการเซร่ากับห้องวิจัยและทดลองมนุษย์โลก
Z-304 มองหาที่มองของก้อนหินนั้นด้วยความงุนงง ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่เด็กชายหน้าตามอมแมมแต่งตัวสกปรกผมยาวประบ่า Z-304 เอียงคอเมียงมองด้วยประหลาดใจ ในดาวบีเทียเขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวสกปรกเช่นเด็กชายผู้นี้เลย
“นายเป็นใคร” Z-304 เอ่ยถามทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายแปลกหน้า
“ฉันก้องไง นายจำฉันไม่ได้เหรอ”
Z-304 เอียงคอจ้องมองหน้าเด็กชายแปลกพยายามนึกว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลที่ตนรู้จักหรือไม่ หน่วยความทรงจำแปลผลออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยมาจับตัวนายไปสอบสวน” Z-304 พูดขึ้นทันทีเมื่อแน่ใจแล้วว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก
“เฮ้อ เดี๋ยวก่อน ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยนายนะ นึกสิมิก นายชื่อมิกจำชื่อตัวเองได้ไหม พวกนั้นกำลังล้างสมองนายนะ” ก้องพยายามบอก
“มีผู้บุกรุก ทางนี้ครับ ทางนี้มีผู้บุกรุก” Z-304 ตะโกนก้องเพื่อเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัย
“บ้าเอ้ย ฉันไม่อยากทำแบบนี้กับนายหรอกนะ” พูดจบก้องก็ใช้ท่อนไม้ฟาดขมับ Z-304 เป็นผลให้ร่างนั้นล้มหมดสติลง
“โทษทีวะเพื่อนฉันทำแบบนี้เพราะอยากจะช่วยนายนะ” ก้องพูดกับร่างที่สลบไสล ก่อนจะค่อยลากร่างนั้นเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วลากต่อไปจนถึงท่อระบายน้ำ ก่อนจะดันร่างมิกให้ร่วงหล่นลงไปในท่อระบาย ซึ่งก้องได้นำเศษกิ่งไม้มากองสุมไว้ที่พื้นเบื้องล่างเพื่อรอรับร่างมิกไว้แล้ว ส่วนเขาค่อยๆไต่บันไดลงมาด้านล่าง
ท่อระบายน้ำมีขนาดใหญ่กว้างขวาง มีความสูงเกือบสิบเมตร และมีน้ำขังอยู่เป็นระยะๆ บางจุดก็แห้งขอด ในนี้มืดสลัว อับชื้นและมีกลิ่นเหม็น ก้องแบกร่างของมิกมาวางตรงจุดที่ไม่มีน้ำ ใช้เชือกมัดมือมิกไว้ และใช้ผ้ามัดปิดปากมิกไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เขาส่งเสียงดัง มิกสลบไปเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะรู้สึกตัว และพบว่าตนถูกมัดติดกับเสาเหล็ก เขาพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากการถูกมัด ปากร้องส่งเสียงร้องอู้อี้ๆ
“ตื่นแล้วเหรอ” ก้องเดินมาจ้องหน้าคนถูกมัด
“ฉันจะแก้ผ้ามัดปากนายออกถ้านายรับปากว่าจะไม่ส่งเสียงดัง”
ผมพยักหน้าเป็นการรับปาก แต่ในใจคิดไว้ ‘แก้ผ้ามัดปากออกเมื่อไรฉันจะตะโกนให้ก้องเลย’
“ฮ่าๆ ฉันไม่เชื่อคนที่ถูกล้างสมองอย่างนายหรอกนะ ต้องรอให้แน่ใจก่อนว่านายจะไม่ส่งเสียงจนเป็นผลทำให้ทหารเซร่ายกพลเข้ามาในนี้” ก้องโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะกลับมาตั้งใจปอกเปลือกผลไม้ต่อ โดยไม่สนใจคนถูกมัดที่ดิ้นรนหาทางหนี ปากส่งเสียงอู้อี้ๆตลอดเวลา
เสียงฝีเท้าคนเดินเหยียบย่ำผืนน้ำกำลังมุ่งตรงยังจุดที่พวกเขาสองคนอยู่ ก้องยืนขึ้นสายตาจ้องเขม็งไปยังที่มาของเสียง และต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วนั่งลงทันทีที่เห็นว่าใครกำลังเดินมา
“เราต้องรีบหนีแล้วนะ อีกไม่นานเซร่าจะรู้ว่ามีคนหายไป และส่งทหารออกตามหาแน่ๆ” ผู้มาใหม่พูดขึ้นอย่างร้อนรน
ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้มาใหม่เป็นใคร เธอคือเด็กหญิงที่พยายามจะสบตาผมอยู่ตลอดเวลา คนที่ผมคิดว่าต้องการสื่อสารอะไรกับผม ผมเบิกตากว้างจ้องมองดูเธอด้วยความตกใจ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมาเจอเธอที่นี่ หรือเธอจะเป็นพวกนอกรีด พวกกบฏ ที่ชาลีเคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ พวกที่จะมาทำลายดาวบีเทียของเราให้ย่อยยับ ชาลีบอกองค์กรเซร่าของเรามีไว้ปกป้องดวงดาวที่เราอยู่ แต่สองคนนี้กำลังสมคบคิดทำอะไรบ้างอย่างแน่ๆ ผมต้องหนีไปจากนี้ให้ได้ ไปแจ้งข่าวให้ทหารมาจับตัวทั้งสองไปไต่สวน
“นายไม่ต้องคิดหนีหรอกนะ กว่าจะเอาตัวนายออกมาได้ ฉันกับก้องต้องวางแผนกันจนเหนื่อยเลยนะรู้ไหม” เด็กหญิงพูดขึ้นราวกับรู้ทันความคิดผม เธอยืนเท้าสะเอวจ้องมองผมและพูดกับผมเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ถูกต้อง และควรเป็นผมที่ต้องเอ่ยขอบคุณเธอที่ช่วยพาผมออกมา
แต่ผมไม่เข้าใจ มึนงงและไม่รู้จักสองคนนี้เลย ผมทำได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธสิ่งใดๆก็ตามที่เธอพูดกับผม
“แล้วจะพามิกไปได้ยังไง ดูท่าจะยังต่อต้านอยู่ไม่น้อย” ก้องหันไปพูดกับเด็กหญิงที่ยังยืนเท้าสะเอวที่มีใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดเข้าหากัน
“ก็ต้องพาไปทั้งอย่างนี้ละ มัดมือปิดปากไว้ ออกไปจากเซร่าได้เมื่อไรค่อยเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง”
ก้องจับมิกยืนขึ้นจัดการมัดมือไพล่หลัง และคอยผลักหลังมิกให้เดินตามเด็กหญิงที่เดินนำหน้า
“เดินไปอีกไม่กี่ไม่ไกลเราจะเจอท่อน้ำทิ้ง เราจะต้องหนีออกไปทางท่อน้ำทิ้ง” เด็กหญิงที่เดินนำหน้าพูดขึ้นโดยไม่หันมามองเด็กชายสองคนที่เดินอยู่ด้านหลัง
“เธออย่ามองนะว่าจะให้โดนลงไปในท่อน้ำทิ้ง หยี้ น้ำเน่าพวกนั่นเหม็นจะตาย” ก้องขัดขึ้นเบ้ปากเมื่อคิดถึงแผนการของเด็กหญิง
“ทางนั้นเป็นทางเดียวที่เราจะหนีออกจากเซร่าได้ ถ้าจะให้ปืนกำแพงหนีมีหวังถูกจับตั้งแต่ยังไม่ได้ปืนละมั้ง” เด็กหญิงพูดต่อและยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
ผมได้ยินทั้งสองคนพูดคุยอย่างชัดเจน พวกเขาคิดจะหนีออกจากเซร่า มันเป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ด้านนอกกำแพงมันมีอะไรที่โหดร้ายป่าเถื่อนรออยู่ พวกเขาทั้งคู่ต้องสติไม่ดีแน่ๆที่คิดจะทำแบบนั้น ผมพยายามต่อสู้เพื่อที่จะหนี แต่ผลจากการถูกฟาดที่ขมับทำให้ผมปวดหัว และเด็กชายแปลกหน้าที่คุมผมไว้ก็ตัวใหญ่ แข็งแรงกว่าผมมาก ทำให้ผมสู้แรงของเขาไม่ไหว จำต้องเดินตามแต่โดยดี
เด็กหญิงที่เดินนำหน้าหยุดนิ่งมองลงไปด้านล่างที่มีน้ำทิ้งสายใหญ่ถูกปล่อยออกจากท่อระบายน้ำท่อหนึ่ง แล้วเชื่อมต่อไปยังท่อระบายน้ำอีกท่อ เส้นทางที่น้ำไหลยาวออกไปจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“แน่ใจนะว่าจะลอยน้ำเน่าพวกนี้ออกไป” ก้องเอ่ยถามเด็กหญิงเพื่อต้องการการยืนยันหรือไม่ก็เปลี่ยนแผนใหม่
“ไม่แน่ใจเลย ตามมานะ” เด็กหญิงตอบแล้วกระโดดลงน้ำทันทีเธอปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามท่อน้ำทิ้ง
ก้องไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาแก้เชือกมัดปากมัดมือมิกแล้วผลักเขาลงน้ำ ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดตามมาติดๆ
ผมกรีดร้องไปตลอดทางที่น้ำพาผมไหลออกมา ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่มันบ้าบิ่น และเหม็นเน่าขนาดนี้มาก่อน ผมพยายามยื่นมือไขว้คว้าหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อยึดเกาะไม่ให้ตัวเองไหลไปตามน้ำ แต่ก็สุดความพยายามเพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะหยุดผมได้ ผมเกิดอาการวิงเวียนศีรษะจนอยากจะอาเจียนออกมา ปวดหัวเสียจนสายตาพร่ามั่ว และเห็นภาพบางอย่างฉายวาบไหลผ่านเข้ามาในหัวของผม ภาพของเด็กชายกับพ่อแม่พี่สาว ภาพแล้วภาพเล่าไหลเข้ามาแบบไม่จบสิ้น
ผมร้องโอดโอยไม่เข้าใจสิ่งที่สมองผมกำลังคิดหรือทำอะไร ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้จักคนพวกนี้ แต่ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงและรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำไมถึงรู้สึกว่าบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนจริงๆทั้งที่ไม่เคยเจอ ผมใช้มือกดศีรษะตัวเองเพื่อหยุดยั้งภาพหลอนที่ฉายอยู่ในหัว
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็กำลังลอยอยู่ในแม่น้ำสายหนึ่ง ได้ยินเสียงคนตะโกนบอกให้ผมว่ายเข้าฝั่ง และสัมผัสได้ถึงแขนแข็งแรงของใครบางคนมาพันรอบคอผมแล้วพาผมขึ้นมานอนเป็นพื้นดิน
“มิก มิก นายได้ยินฉันไหม”
เด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างผมเมื่อตอนถูกจับมาไว้ที่สนามฟุตบอล ผมจำเธอได้ แม้บางสิ่งบางอย่างของเธออาจจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ผมมั่นใจ แววตาคู่นั้นของเธอยังตรึงอยู่ในความทรงจำผม เธออยู่ตรงหน้าผม ใช้ฝ่ามือตบหน้าผมไปหลายที
“ปลอดภัยดี” ผมตอบออกไปตามที่สมองสั่งและตามความรู้สึกที่คิดว่าไม่ได้เจ็บปวดอะไร
“เฮ้อ โล่งอกไปที นึกมาช่วยออกมาแล้วจะมาตายเอาง่ายๆแบบนี้” ก้องที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ เพราะเพิ่งว่ายน้ำไปดึงตัวมิกขึ้นมาจากแม่น้ำ
.