***แจ้งเพื่อทราบ เนื่องจากผู้เล่าเรื่องนี้ เป็นคนใต้โดยกำเนิด ท่านผู้ใดที่มิเข้าใจในภาษาใต้กรุณาใช้ความพยายามในการอ่าน เพราะอาจมีคำใต้ปน แต่ผู้เขียนจะพยายามกลางให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ได้ค่ะ เพราะภาษากลางของดิฉันฉั๊บปึ๊ดเลยค่ะ อนึ่ง การเล่านี้ เป็นการฟังจากปู่ย่าตายายแล้วนำมาเล่าต่อ จึงขอได้โปรดใช้วิจารณญาน จักรยาน อุทยาน ในการอ่าน หากแม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อ่านดูแล้วท่านว่าโอเวอร์ ก็ขอได้โปรดอย่ากระแนะกระแหน จองเวรซึ่งกันและกันเลย***
.....สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ ด.ญ.หงษ์หยก อายุ20กว่าๆ เป็นชาวพัทลุงโดยแท้ สืบตะกุลมาแต่ชาวป่าศรีบรรพตและป่าพยอม วันนี้ดิฉันจะขอนำเรื่องราว ที่ดิฉันได้รับได้ฟัง ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ของคนรอบตัวรอบครอบครัวดิฉันมาเล่าสู่กันอ่านค่ะ เป็นความลึกลับ น่าฉงน ที่ดิฉันก็อยากลองเข้าไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นบิดา จึงได้รับได้ฟังมาจากตาและยายมาถ่ายทอดลงพันทิปค่ะ
....คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อช่วงมหาลัยปิดเทอมที่ผ่านมา ดิฉันกลับบ้านที่พัทลุง แต่ก็ขออนุญาตพ่อแม่ ขอไปพักที่บ้านตาบ้านยายที่ศรีบรรพต บ้านตาบ้านยายของดิฉันมีอาณาเขตติดเขตภูเขา คือเทือกเขาบรรทัด กั้นระหว่างพัทลุงกับตรัง
บ้านตากับยายของดิฉันจึงร่มรื่นมาก และอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกเหรียงทอง เต็มไปด้วยสวนมังคุด ทุเรียน เงาะ ลองกอง สวนยาง สวนกล้วย สะตอ ลูกเนียง
…..ดิฉันไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตากับยาย 2วันแรกก็ผ่านไปไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ในวันที่3นั้น หลังจากที่ดิฉัน ตา ยาย และหลานสาวอีกคนของตา ที่ยังเรียนอยู่มัธยม กินข้าวเย็นเรียบร้อย ก็มานั่งคุยกันที่ชานเรือนหน้าบ้าน ซึ่งก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันตามประสาหลานกับตาอยู่นั้น จู่ๆก็มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ส่งเสียงเรียกตา
“ตาหยด ตาหยด”
“เอิ้ว อยู่เด้ มีไอ่ไหรเล่า”
“ช่วยผ๊มทีต่ะครับ”
“ช่วยไหร ไหนพันพรือ”
“พ่อผ๊ม กับน้องบ่าว เข้าป่าไปหายิงสัตว์ตั้งแต่หวันเที่ยงๆ ป่านนี้2ทุ่มแล้วยังไม่หลบออกมาเหลย”
“บอกผู้ใหญ่บ้านแล้วหม้ายล่ะ”
“บอกแล้วครับ ผู้ใหญ่บอกผมให้มาบอกตา ขอให้ตาไปช่วย”
“เออๆรอแปป เอาของแปป”
.....ตาของดิฉัน ก็หันมาบอกดิฉันกันยายว่า ให้ปิดบ้านนอนไปเลยไม่ต้องรอ แล้วตาก็เดินเข้าห้อง ไป ก่อนจะเดินสะพายย่ามประจำตัวออกมา แล้วตาก็ตามชายคนที่ขับรถมา ก่อนจะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปในความมืด ถ้าให้ฉันเดา คงเพราะมีคนสูญหายไปในป่าเทือกเขาบรรทัดแน่ๆ และตาก็เคยเป็นเซียนป่าแถบนี้ เลยถูกตามตัวไปช่วย ดิฉันยืนดูจนตาลับมุมโค้งหายไปในความมืด ก่อนที่เสียงของยายจะทักขึ้น
“ป่ะนุ้ย ง่วงแล้วหม้าย อินอนหรืออิแลโทรทัศน์ต่อ”
“ตาแกไปไหนละยาย”
“น่าว่ามีคนไปหลงป่า เลยต้องมาตามตาไปช่วย”
“ให้ป่าไม้กับตำรวจช่วยไม่ดีหวาเออยาย”
“เอาป่าไม้กับตำรวจมาช่วย ก็น่าว่าไม่พ้นพาตาไปอยู่ดีไว้ตอเช้าตาหลบมาค่อยถามแกแล ”
.....แล้วยายก็เดินผลุบหายเข้าไปในห้อง อย่างสบายใจ ดูยายไม่ทุกข์ร้อนใดๆเลยที่ตาต้องออกไปมืดๆค่ำๆ
ส่วนดิฉันก็หันไปนอนดูรายการโทรทัศน์กับลูกพี่ลูกน้องแทน ก่อนจะเก็บความอยากจะรู้เอาไปถามตาในวันรุ่งเช้า
......เช้านั้น ดิฉันตื่นมา ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ออกมาหน้าบ้าน เจอตานั่งลับมีดเล็กๆ ตัวมีดโค้งสวยงาม ฝักก็สลักลายแปลกๆ แต่พอดูๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน >.< ดิฉันตรงเข้าไปหาตา นั่งใกล้ๆ ตายิ้มให้แล้วก็ตั้งใจลับมีดเล่มนั้นเสียงใบมีดถูกับหินดัง เฉี๊ยบๆๆ บาดหูเข็ดฟันดีนักแล ดิฉันเลยเริ่มยิงคำถามใส่ตาทันที
“ตาๆแรกคืนตาไปไหนมาอ่า”
“มีคนขึ้นป่าแล้วลงมาไม่ได้ ตาเลยต้องไปช่วย”
“ใครอ่า แล้วตอนนี้เจอตัวแล้วยัง”
“เจอแล้ว พากันหิ้วตัวลงมาได้ตอนแค่ๆเที่ยงคืนนิ”
“แล้วไซแกได้พากันไปหลงได้อ่ะ พวกแกไม่ใช่ชาวป่าเออตา”
“เรื่องบางเรื่องมันก็พูดออกไปยาก นุ้ยเชื่อเรื่องลี้ลับในป่าในเขาหม้ายล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน นุ้ยไม่เคยได้เข้าไปในป่ากะเบอะ ตาเล่าให้ฟังมั่งต่ะว่ามันพันพรือ”
“งั้นฟังนะ”
......แล้วตาก็เริ่มเล่าความว่า 2คนที่ขึ้นไปหลงบนเทือกเขาบรรดานั้น แกเป็นคนหากินกับป่าอยู่ถิ่นนี้และ คนบ้านป่าสมัยก่อนสืบเชื้อสายมา คนศรีบรรพตก็หากินกับป่า ล่าสัตว์ ฟันพืชบนเขา เอาไปแลกข้าวแลกปลา ในที่ลุ่ม ทีนี้เวลาเราเข้าป่านั้น ถ้าเข้าไปเดินเที่ยวเดินเล่น ก็ไม่เท่าไหร่ แค่รู้ทางก็ไปเดินเล่นได้ชิวๆ ไม่มีอะไร แต่ไอ่พวกประเภทเราๆที่เข้าไปหากิน ยิงสัตว์ เอาพืชลงมาเนี่ย ต้องทำพิธีต้องบอกต้องกล่าว ขออนุญาตกัน แล้วต้องไม่ไปลบหลู่ ท้าทาย
เชื่อกันเสมอมาว่า ในป่าในเขานั้น ล้วนมีเจ้าครอง มีผู้ปกครองดูแลอยู่
“หมายถึงเจ้าป่าเจ้าเขาหรือตา”
“ตามความเชื่อเขาก็ว่าแบบนั้น”
“แล้วตาเคยเจอมั่งหม้าย สาว่าแต่ก่อนตาเข้าป่าบ่อยๆ”
“เจ้าป่าเจ้าเขานี้ แกไม่ใช่ผีชั้นต่ำ ที่จะเที่ยวออกมาแสดงตัวให้คนเห็นง่ายๆ บริวารแกมีเยอะแยะ ส่งมาสักตนก็ทำคนขี้แตกได้แล้ว”
“แล้วบริวารของเจ้าป่าเจ้าเขานี้ เป็นยังไงล่ะตา”
“ก็พวกภูตผี นางไม้ เทพารักษ์นี้และ สมุนของเจ้าป่าเจ้าเขานี้ก็มีแบ่งเป็น2พวกเหมือนกัน เหมือนโลกมนุษย์เรานี้และมีทั้งคนดีคนเลว สังคมผีก็คงไม่ต่างกัน มีทั้งผีดีๆกับผีเลวๆ ผีที่ดีเวลาคนดีเข้าป่า ก็จะคอยคุ้มครองภัยจากสัตว์ป่าดุร้ายให้ แต่ถ้ามีคนนิสัยไม่ดี เที่ยวท่องไปในบ้านเค้าแล้วยังไปปากดี ส่วนมาก มักจะเจอผีฝ่ายเลวให้โทษเอา”
“แล้วพวกเจ้าป่าเจ้าเขา สมุนบริวารอะไรนี่แกมาจากไหนกันเยอะแยะล่ะตา “
“ตาว่าแต่เดิม เจ้าป่าเจ้าเขา แกคงเป็นเทวดาชั้นสูง ที่ได้ลงมากินตำแหน่งประจำป่าเขตนี้แหละ พออยู่ๆไป สมัยก่อน มันมีการเดินทาง เดินทัพ ของเมืองโบราณไปตีอีกเมือง ไหนจะพวกโจร พวกคอมมิวนิสต์อะไรอีกเยอะแยะ พอเดินทางผ่านป่า ก็เป็นไข้ตายมั่ง โดนสัตว์ร้ายฆ่าเอามั่ง ก็มีตายทั้งคนดีและคนเลว ตายลงไปจิตสุดท้าย ผูกติดอยู่กับป่า
คนดีก็กลายมาเป็นเทวดาชั้นต่ำขั้นเทพารักษ์ พวกวิญญาณร้ายๆก็กลายเป็นโหงพรายบ้าง นางไม้บ้าง สิงสู่อยู่ในป่าโดยเฉพาะพวกนางไม้นี้ ก็กึ่งๆระหว่างนางฟ้ากับปีศาจเหมือนกัน ไหวดีพลีถูก ก็เปิดทางเปิดโชคให้ ไปปากหมาใส่ถ้าไม่ตายก็เข่าทรุด”
“แล้วไซ 2คนนั้นแกหลงเพราะไอ่ไหรล่ะตา โดนผีเล่นงานเออ”
“ก็น่าจะพันนั้นและ”
“พันพรือล่ะตา เล่าให้นุ้ยฟังมั่ง อยากรู้นิ”
.....ตาก็เล่าว่า ตาไปที่บ้านของ2คนนั้น ฝั่งเมียกับหลาน ก็ชี้บอกว่าทั้ง2คนบอกตนเองไว้ว่าจะเข้าป่าไปหายิงสัตว์ เอาพืชป่ามาไว้กินไว้ขาย 2คนนั้นเป็นพ่อลูกกัน คนพ่อ60กว่าๆแล้วแต่ยังแข็งแรงเดินเหินสบาย คนลูกอายุ30 คว้าปืนแก๊บกระบอกยาวๆได้ ก็พากันเข้าป่าไปทางหลังบ้านเหมือนทุกครั้ง ตั้งแต่ตอนหลังเที่ยง ปกติไม่เกิน6โมงเย็นก่อนตะวันลับ ได้ไม่ได้ ก็จะพากันกลับมาแล้ว แต่หนนี้ ไปแล้วไปลับ เลยทนร้อนใจไม่ไหว ก็เที่ยวให้หลานไปบอกผู้ใหญ่ให้ช่วย
.....ตอนแรกพวกผู้ใหญ่บ้านบอก มันมืดแล้ว ไปตามตอนนี้อันตราย สัตว์ร้ายบนเขายังมีมาก ตาก็ถามเมียของตาคนนั้นว่าตอนตาคนนั้นเข้าป่า ได้ทำพิธีเบิกป่า ขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาหรือยัง ยายก็บอกว่าทำแล้ว ทีนี้ตาก็เอามีดที่แกนั่งลับอยู่นั่นแหละ ออกมากล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ก่อนจะกล่าวขอให้เจ้าป่าเจ้าเขามีเมตตาปล่อย2คนนั้นออกมา
“ตาไม่มีคาถาอะไรหน่อยหรอ ทำไมเล่นบทคาถาง่ายจัง”
“ไม่ต้องหรอกนุ้ยเหอ เวลาเจออะไรลี้ลับนี้ ไม่ต้องคาถาให้มากความ บูชาพระรัตนตรัย ตั้งมั่นถึงพระพุทธเจ้าขอให้ปกบารมีช่วยคุ้มครอง ไม่ว่าผียันเทวดา ล้วนแต่เกรงในพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นและ ขอแค่ตอนสวด เรามีจิตใจตั้งมั่นจริงๆ ยังไงก็สื่อไปถึง”
....ทีนี้ตาก็บอกให้ทุกคนนั่งรอ ไม่ต้องเข้าป่าไปตาม ตาว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมมัน2คนแล้ว ว่าเขาจะปล่อยมันไม๊
ทีนี้ก็นั่งซดน้ำชารอ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากบนเข้าดัง “วู้ๆ”
ตาก็เลยบอกคนอื่นๆให้พากันเดินสวนขึ้นไปดู ก็เป็นทางขึ้นช่วงแรกๆ ชันพอเดินไหว ก็เอาไฟฉายส่องเดินตามกันไปขึ้นไป4-5คน ก็ส่งเสียง “วู้ๆ”ตอบไป ขึ้นมาได้ครึ่งทางขึ้น เจอ1เฒ่ากับ1หนุ่มพ่อลูก นั่งหมดแรงอยู่ข้างทาง ก็เลยช่วยกันหิ้วแขนพาลงเขามา พอลงมาถึงบ้าน เมียก็โดดเกาะผัวดีใจใหญ่
....พักฟื้นพอหายเหนื่อย คนที่มาก็พากันเข้าไปรุมถามว่า ..”พันพรือ ไซไปหลงป่าได้ล่ะ สาว่าเข้าป่ามาไม่รู้กี่หน”
....ฝ่ายลูกชายที่ไปหลงด้วยกัน ก็พูดสวนขึ้นว่า “เพราะผมปากไม่ดีเอง เลยพาพ่อลำบาก”
“ไม่ดีพันพรือ” เล่ามาถิ
....ฝ่ายลูกก็เป็นคนเล่าว่า ก็ชวนพ่อเข้าป่า ไปหายิงสัตว์ หาพืชในป่านี่แหละ ก็ทำพิธีเบิกป่าขออนุญาตแบบทุกครั้ง ก่อนจะขึ้นป่า ทีนี้พอเดินตั้งแต่เที่ยง เลยไปยันบ่าย3บ่าย4 ไม่เจอสัตว์ที่พอจะยิงได้เลย ฝ่ายลูกชายก็รู้สึกหัวเสียไม่สบอารมณ์ พลั้งปากออกไปว่า
“Yesแหม่..ผีห่าเจ้าป่าเจ้าเขา เห้อ ลูกจงสักตัวกะไม่โผล่มาให้แล ขอลิงขอค่าง มั่งกะยังดี นี้ไม่มีเลยบ้าแล้ว”
…พ่อก็ตกใจเลย พอลูกชายพลั้งปากด่าออกมา รีบบอกลูกให้ขอโทษ ฝ่ายลูกก็คงนึกได้ว่าพูดอะไรไป ก็รีบพนมมือขอโทษขออภัย แต่คำพูดวาจาที่เปล่งออกไปแล้ว ถึงจะกล่าวขอโทษขอโพยก็ไร้ผล ทีนี้พอว่าวันนี้คงไม่ได้อะไรติดมือแน่แล้ว
ฝ่ายพ่อแกก็ชวนกันเดินกลับบ้าน แต่แกว่าก็มั่นใจว่ามาถูกทาง แต่ยิ่งเดินเท่าไรก็ยิ่งหลง ไม่ใช่เดินวนกลับมาที่เดิมหรืออะไรนะ คือยิ่งเดินยิ่งหลงทางไปเลย พอรู้ตัวว่าเดินทางผิด ฝ่ายพ่อแกก็พยายามจะพาลูกหาทางที่ถูกกลับให้ได้
แต่แกว่า พ่อแกก็มั่นใจว่าน่าจะไปทางนี้ ปกติพ่อแกไม่เคยพลาดแบบนี้เลย ก่อนหน้านี้ก็เคยหลง แต่พ่อพาหาทางกลับได้ทุกที
.....เดินกันจนตะวันลับตา หิวก็หิว ในย่ามมีแต่น้ำขวด กับขนมถั่วตัดถุงนึง ก็เอามานั่งแบ่งกันกินประทังหิว นั่งกันอยู่มืดๆแบบนั้นแหละ เพราะไม่คิดว่าจะต้องเดินจนมืดเลยไม่ได้เอาไฟฉายติดไป มีแค่ไฟแช็คอันนึง แต่ก็หาเชื้อไฟมาจุดได้ยาก เพราะฝนพึ่งเทไป ป่ามันชื้นๆ ทีนี้ฝ่ายลูกก็พนมมืออ้อนวอน ขออภัยกับวาจาที่เคยกล่าวล่วงไปแบบนั้น
....แกว่าแกก็รู้แหละ ว่าที่ต้องมาเดินงมป่ากันแบบนี้ คงเพราะปากแกที่ไปล่วงเกิน เลยโดนสั่งสอน ฝ่ายพ่อก็ถอดใจบอกลูกลอยๆแล้วว่า คงไม่รอดกลับบ้านแล้วหนนี้ นอนในป่ากลางคืน จุดไฟก็ไม่ได้ มีแต่ตาย ต้นไม้ก็สูงใหญ่ปีนไม่ไหว
ถ้าไม่โดนยุงกันตาย ก็งูฉก เสือลากไปกิน
....ฝ่ายลูกก็บอกพ่อว่า ลองยิงปืนขึ้นฟ้าดูไม๊ เผื่อมีใครมาตาม พ่อก็ว่า ถ้าเขาบังตาไว้ ยิงให้หมดลูกกระสุน ก็ไม่มีใครได้ยิน ทีนี้ฝ่ายพ่อก็ลองหนทางสุดท้าย แกว่าแกก็นั่งคุกเข่าสวดมนตร์ อรหังสัมมานี่แหละ ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยกลับไปหาครอบครัว ถ้ารอดกลับไป จะให้ลูกชายคนปากพล่อยบวชไถ่โทษ
....ทีนี้ก็นั่งรอกันนิ่งๆแหละ คือแล้วแต่ท่านจะกรุณาเลยประมาณนั้น ทีนี้นั่งๆไป ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนกลองในขบวนแห่อะไรสักอย่าง ลอยมาดัง >>>ทึ่ม ทึม ทึ่ม<<< ฝ่ายลูกก็เหงี่ยหูฟัง จนเรียก พ่อ พ่อ
คนพ่อก็บอกเออ กุได้ยินแล้ว
“เสียงไหรล่ะพ่อ”
“นั้นและ เขาปล่อยเราแล้ว”
....พ่อก็บอกให้ลูกช่วยพยุงตัวเองเดิน เพราะเดินมานานจะเริ่มหมดแรง แล้วพากันเดินมืดๆ คลำทางไปตามเสียง
“ทึ่ม ทึม ทึ่ม” ที่เหมือนเสียงตีตะโพนนั่นแหละ
ทีนี้พอเดินๆไปไกลพอสมควรแล้ว เสียงตะโพนก็หายไป ก็นั่งกันต่อ เพราะไม่มีเสียงนำทาง
เจ้าป่า___เจ้าเขา____ที่เมืองตะลุง
***แจ้งเพื่อทราบ เนื่องจากผู้เล่าเรื่องนี้ เป็นคนใต้โดยกำเนิด ท่านผู้ใดที่มิเข้าใจในภาษาใต้กรุณาใช้ความพยายามในการอ่าน เพราะอาจมีคำใต้ปน แต่ผู้เขียนจะพยายามกลางให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ได้ค่ะ เพราะภาษากลางของดิฉันฉั๊บปึ๊ดเลยค่ะ อนึ่ง การเล่านี้ เป็นการฟังจากปู่ย่าตายายแล้วนำมาเล่าต่อ จึงขอได้โปรดใช้วิจารณญาน จักรยาน อุทยาน ในการอ่าน หากแม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อ่านดูแล้วท่านว่าโอเวอร์ ก็ขอได้โปรดอย่ากระแนะกระแหน จองเวรซึ่งกันและกันเลย***
.....สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ ด.ญ.หงษ์หยก อายุ20กว่าๆ เป็นชาวพัทลุงโดยแท้ สืบตะกุลมาแต่ชาวป่าศรีบรรพตและป่าพยอม วันนี้ดิฉันจะขอนำเรื่องราว ที่ดิฉันได้รับได้ฟัง ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ของคนรอบตัวรอบครอบครัวดิฉันมาเล่าสู่กันอ่านค่ะ เป็นความลึกลับ น่าฉงน ที่ดิฉันก็อยากลองเข้าไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นบิดา จึงได้รับได้ฟังมาจากตาและยายมาถ่ายทอดลงพันทิปค่ะ
....คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อช่วงมหาลัยปิดเทอมที่ผ่านมา ดิฉันกลับบ้านที่พัทลุง แต่ก็ขออนุญาตพ่อแม่ ขอไปพักที่บ้านตาบ้านยายที่ศรีบรรพต บ้านตาบ้านยายของดิฉันมีอาณาเขตติดเขตภูเขา คือเทือกเขาบรรทัด กั้นระหว่างพัทลุงกับตรัง
บ้านตากับยายของดิฉันจึงร่มรื่นมาก และอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกเหรียงทอง เต็มไปด้วยสวนมังคุด ทุเรียน เงาะ ลองกอง สวนยาง สวนกล้วย สะตอ ลูกเนียง
…..ดิฉันไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตากับยาย 2วันแรกก็ผ่านไปไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ในวันที่3นั้น หลังจากที่ดิฉัน ตา ยาย และหลานสาวอีกคนของตา ที่ยังเรียนอยู่มัธยม กินข้าวเย็นเรียบร้อย ก็มานั่งคุยกันที่ชานเรือนหน้าบ้าน ซึ่งก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันตามประสาหลานกับตาอยู่นั้น จู่ๆก็มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ส่งเสียงเรียกตา
“ตาหยด ตาหยด”
“เอิ้ว อยู่เด้ มีไอ่ไหรเล่า”
“ช่วยผ๊มทีต่ะครับ”
“ช่วยไหร ไหนพันพรือ”
“พ่อผ๊ม กับน้องบ่าว เข้าป่าไปหายิงสัตว์ตั้งแต่หวันเที่ยงๆ ป่านนี้2ทุ่มแล้วยังไม่หลบออกมาเหลย”
“บอกผู้ใหญ่บ้านแล้วหม้ายล่ะ”
“บอกแล้วครับ ผู้ใหญ่บอกผมให้มาบอกตา ขอให้ตาไปช่วย”
“เออๆรอแปป เอาของแปป”
.....ตาของดิฉัน ก็หันมาบอกดิฉันกันยายว่า ให้ปิดบ้านนอนไปเลยไม่ต้องรอ แล้วตาก็เดินเข้าห้อง ไป ก่อนจะเดินสะพายย่ามประจำตัวออกมา แล้วตาก็ตามชายคนที่ขับรถมา ก่อนจะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปในความมืด ถ้าให้ฉันเดา คงเพราะมีคนสูญหายไปในป่าเทือกเขาบรรทัดแน่ๆ และตาก็เคยเป็นเซียนป่าแถบนี้ เลยถูกตามตัวไปช่วย ดิฉันยืนดูจนตาลับมุมโค้งหายไปในความมืด ก่อนที่เสียงของยายจะทักขึ้น
“ป่ะนุ้ย ง่วงแล้วหม้าย อินอนหรืออิแลโทรทัศน์ต่อ”
“ตาแกไปไหนละยาย”
“น่าว่ามีคนไปหลงป่า เลยต้องมาตามตาไปช่วย”
“ให้ป่าไม้กับตำรวจช่วยไม่ดีหวาเออยาย”
“เอาป่าไม้กับตำรวจมาช่วย ก็น่าว่าไม่พ้นพาตาไปอยู่ดีไว้ตอเช้าตาหลบมาค่อยถามแกแล ”
.....แล้วยายก็เดินผลุบหายเข้าไปในห้อง อย่างสบายใจ ดูยายไม่ทุกข์ร้อนใดๆเลยที่ตาต้องออกไปมืดๆค่ำๆ
ส่วนดิฉันก็หันไปนอนดูรายการโทรทัศน์กับลูกพี่ลูกน้องแทน ก่อนจะเก็บความอยากจะรู้เอาไปถามตาในวันรุ่งเช้า
......เช้านั้น ดิฉันตื่นมา ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ออกมาหน้าบ้าน เจอตานั่งลับมีดเล็กๆ ตัวมีดโค้งสวยงาม ฝักก็สลักลายแปลกๆ แต่พอดูๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน >.< ดิฉันตรงเข้าไปหาตา นั่งใกล้ๆ ตายิ้มให้แล้วก็ตั้งใจลับมีดเล่มนั้นเสียงใบมีดถูกับหินดัง เฉี๊ยบๆๆ บาดหูเข็ดฟันดีนักแล ดิฉันเลยเริ่มยิงคำถามใส่ตาทันที
“ตาๆแรกคืนตาไปไหนมาอ่า”
“มีคนขึ้นป่าแล้วลงมาไม่ได้ ตาเลยต้องไปช่วย”
“ใครอ่า แล้วตอนนี้เจอตัวแล้วยัง”
“เจอแล้ว พากันหิ้วตัวลงมาได้ตอนแค่ๆเที่ยงคืนนิ”
“แล้วไซแกได้พากันไปหลงได้อ่ะ พวกแกไม่ใช่ชาวป่าเออตา”
“เรื่องบางเรื่องมันก็พูดออกไปยาก นุ้ยเชื่อเรื่องลี้ลับในป่าในเขาหม้ายล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน นุ้ยไม่เคยได้เข้าไปในป่ากะเบอะ ตาเล่าให้ฟังมั่งต่ะว่ามันพันพรือ”
“งั้นฟังนะ”
......แล้วตาก็เริ่มเล่าความว่า 2คนที่ขึ้นไปหลงบนเทือกเขาบรรดานั้น แกเป็นคนหากินกับป่าอยู่ถิ่นนี้และ คนบ้านป่าสมัยก่อนสืบเชื้อสายมา คนศรีบรรพตก็หากินกับป่า ล่าสัตว์ ฟันพืชบนเขา เอาไปแลกข้าวแลกปลา ในที่ลุ่ม ทีนี้เวลาเราเข้าป่านั้น ถ้าเข้าไปเดินเที่ยวเดินเล่น ก็ไม่เท่าไหร่ แค่รู้ทางก็ไปเดินเล่นได้ชิวๆ ไม่มีอะไร แต่ไอ่พวกประเภทเราๆที่เข้าไปหากิน ยิงสัตว์ เอาพืชลงมาเนี่ย ต้องทำพิธีต้องบอกต้องกล่าว ขออนุญาตกัน แล้วต้องไม่ไปลบหลู่ ท้าทาย
เชื่อกันเสมอมาว่า ในป่าในเขานั้น ล้วนมีเจ้าครอง มีผู้ปกครองดูแลอยู่
“หมายถึงเจ้าป่าเจ้าเขาหรือตา”
“ตามความเชื่อเขาก็ว่าแบบนั้น”
“แล้วตาเคยเจอมั่งหม้าย สาว่าแต่ก่อนตาเข้าป่าบ่อยๆ”
“เจ้าป่าเจ้าเขานี้ แกไม่ใช่ผีชั้นต่ำ ที่จะเที่ยวออกมาแสดงตัวให้คนเห็นง่ายๆ บริวารแกมีเยอะแยะ ส่งมาสักตนก็ทำคนขี้แตกได้แล้ว”
“แล้วบริวารของเจ้าป่าเจ้าเขานี้ เป็นยังไงล่ะตา”
“ก็พวกภูตผี นางไม้ เทพารักษ์นี้และ สมุนของเจ้าป่าเจ้าเขานี้ก็มีแบ่งเป็น2พวกเหมือนกัน เหมือนโลกมนุษย์เรานี้และมีทั้งคนดีคนเลว สังคมผีก็คงไม่ต่างกัน มีทั้งผีดีๆกับผีเลวๆ ผีที่ดีเวลาคนดีเข้าป่า ก็จะคอยคุ้มครองภัยจากสัตว์ป่าดุร้ายให้ แต่ถ้ามีคนนิสัยไม่ดี เที่ยวท่องไปในบ้านเค้าแล้วยังไปปากดี ส่วนมาก มักจะเจอผีฝ่ายเลวให้โทษเอา”
“แล้วพวกเจ้าป่าเจ้าเขา สมุนบริวารอะไรนี่แกมาจากไหนกันเยอะแยะล่ะตา “
“ตาว่าแต่เดิม เจ้าป่าเจ้าเขา แกคงเป็นเทวดาชั้นสูง ที่ได้ลงมากินตำแหน่งประจำป่าเขตนี้แหละ พออยู่ๆไป สมัยก่อน มันมีการเดินทาง เดินทัพ ของเมืองโบราณไปตีอีกเมือง ไหนจะพวกโจร พวกคอมมิวนิสต์อะไรอีกเยอะแยะ พอเดินทางผ่านป่า ก็เป็นไข้ตายมั่ง โดนสัตว์ร้ายฆ่าเอามั่ง ก็มีตายทั้งคนดีและคนเลว ตายลงไปจิตสุดท้าย ผูกติดอยู่กับป่า
คนดีก็กลายมาเป็นเทวดาชั้นต่ำขั้นเทพารักษ์ พวกวิญญาณร้ายๆก็กลายเป็นโหงพรายบ้าง นางไม้บ้าง สิงสู่อยู่ในป่าโดยเฉพาะพวกนางไม้นี้ ก็กึ่งๆระหว่างนางฟ้ากับปีศาจเหมือนกัน ไหวดีพลีถูก ก็เปิดทางเปิดโชคให้ ไปปากหมาใส่ถ้าไม่ตายก็เข่าทรุด”
“แล้วไซ 2คนนั้นแกหลงเพราะไอ่ไหรล่ะตา โดนผีเล่นงานเออ”
“ก็น่าจะพันนั้นและ”
“พันพรือล่ะตา เล่าให้นุ้ยฟังมั่ง อยากรู้นิ”
.....ตาก็เล่าว่า ตาไปที่บ้านของ2คนนั้น ฝั่งเมียกับหลาน ก็ชี้บอกว่าทั้ง2คนบอกตนเองไว้ว่าจะเข้าป่าไปหายิงสัตว์ เอาพืชป่ามาไว้กินไว้ขาย 2คนนั้นเป็นพ่อลูกกัน คนพ่อ60กว่าๆแล้วแต่ยังแข็งแรงเดินเหินสบาย คนลูกอายุ30 คว้าปืนแก๊บกระบอกยาวๆได้ ก็พากันเข้าป่าไปทางหลังบ้านเหมือนทุกครั้ง ตั้งแต่ตอนหลังเที่ยง ปกติไม่เกิน6โมงเย็นก่อนตะวันลับ ได้ไม่ได้ ก็จะพากันกลับมาแล้ว แต่หนนี้ ไปแล้วไปลับ เลยทนร้อนใจไม่ไหว ก็เที่ยวให้หลานไปบอกผู้ใหญ่ให้ช่วย
.....ตอนแรกพวกผู้ใหญ่บ้านบอก มันมืดแล้ว ไปตามตอนนี้อันตราย สัตว์ร้ายบนเขายังมีมาก ตาก็ถามเมียของตาคนนั้นว่าตอนตาคนนั้นเข้าป่า ได้ทำพิธีเบิกป่า ขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาหรือยัง ยายก็บอกว่าทำแล้ว ทีนี้ตาก็เอามีดที่แกนั่งลับอยู่นั่นแหละ ออกมากล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ก่อนจะกล่าวขอให้เจ้าป่าเจ้าเขามีเมตตาปล่อย2คนนั้นออกมา
“ตาไม่มีคาถาอะไรหน่อยหรอ ทำไมเล่นบทคาถาง่ายจัง”
“ไม่ต้องหรอกนุ้ยเหอ เวลาเจออะไรลี้ลับนี้ ไม่ต้องคาถาให้มากความ บูชาพระรัตนตรัย ตั้งมั่นถึงพระพุทธเจ้าขอให้ปกบารมีช่วยคุ้มครอง ไม่ว่าผียันเทวดา ล้วนแต่เกรงในพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นและ ขอแค่ตอนสวด เรามีจิตใจตั้งมั่นจริงๆ ยังไงก็สื่อไปถึง”
....ทีนี้ตาก็บอกให้ทุกคนนั่งรอ ไม่ต้องเข้าป่าไปตาม ตาว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมมัน2คนแล้ว ว่าเขาจะปล่อยมันไม๊
ทีนี้ก็นั่งซดน้ำชารอ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากบนเข้าดัง “วู้ๆ”
ตาก็เลยบอกคนอื่นๆให้พากันเดินสวนขึ้นไปดู ก็เป็นทางขึ้นช่วงแรกๆ ชันพอเดินไหว ก็เอาไฟฉายส่องเดินตามกันไปขึ้นไป4-5คน ก็ส่งเสียง “วู้ๆ”ตอบไป ขึ้นมาได้ครึ่งทางขึ้น เจอ1เฒ่ากับ1หนุ่มพ่อลูก นั่งหมดแรงอยู่ข้างทาง ก็เลยช่วยกันหิ้วแขนพาลงเขามา พอลงมาถึงบ้าน เมียก็โดดเกาะผัวดีใจใหญ่
....พักฟื้นพอหายเหนื่อย คนที่มาก็พากันเข้าไปรุมถามว่า ..”พันพรือ ไซไปหลงป่าได้ล่ะ สาว่าเข้าป่ามาไม่รู้กี่หน”
....ฝ่ายลูกชายที่ไปหลงด้วยกัน ก็พูดสวนขึ้นว่า “เพราะผมปากไม่ดีเอง เลยพาพ่อลำบาก”
“ไม่ดีพันพรือ” เล่ามาถิ
....ฝ่ายลูกก็เป็นคนเล่าว่า ก็ชวนพ่อเข้าป่า ไปหายิงสัตว์ หาพืชในป่านี่แหละ ก็ทำพิธีเบิกป่าขออนุญาตแบบทุกครั้ง ก่อนจะขึ้นป่า ทีนี้พอเดินตั้งแต่เที่ยง เลยไปยันบ่าย3บ่าย4 ไม่เจอสัตว์ที่พอจะยิงได้เลย ฝ่ายลูกชายก็รู้สึกหัวเสียไม่สบอารมณ์ พลั้งปากออกไปว่า
“Yesแหม่..ผีห่าเจ้าป่าเจ้าเขา เห้อ ลูกจงสักตัวกะไม่โผล่มาให้แล ขอลิงขอค่าง มั่งกะยังดี นี้ไม่มีเลยบ้าแล้ว”
…พ่อก็ตกใจเลย พอลูกชายพลั้งปากด่าออกมา รีบบอกลูกให้ขอโทษ ฝ่ายลูกก็คงนึกได้ว่าพูดอะไรไป ก็รีบพนมมือขอโทษขออภัย แต่คำพูดวาจาที่เปล่งออกไปแล้ว ถึงจะกล่าวขอโทษขอโพยก็ไร้ผล ทีนี้พอว่าวันนี้คงไม่ได้อะไรติดมือแน่แล้ว
ฝ่ายพ่อแกก็ชวนกันเดินกลับบ้าน แต่แกว่าก็มั่นใจว่ามาถูกทาง แต่ยิ่งเดินเท่าไรก็ยิ่งหลง ไม่ใช่เดินวนกลับมาที่เดิมหรืออะไรนะ คือยิ่งเดินยิ่งหลงทางไปเลย พอรู้ตัวว่าเดินทางผิด ฝ่ายพ่อแกก็พยายามจะพาลูกหาทางที่ถูกกลับให้ได้
แต่แกว่า พ่อแกก็มั่นใจว่าน่าจะไปทางนี้ ปกติพ่อแกไม่เคยพลาดแบบนี้เลย ก่อนหน้านี้ก็เคยหลง แต่พ่อพาหาทางกลับได้ทุกที
.....เดินกันจนตะวันลับตา หิวก็หิว ในย่ามมีแต่น้ำขวด กับขนมถั่วตัดถุงนึง ก็เอามานั่งแบ่งกันกินประทังหิว นั่งกันอยู่มืดๆแบบนั้นแหละ เพราะไม่คิดว่าจะต้องเดินจนมืดเลยไม่ได้เอาไฟฉายติดไป มีแค่ไฟแช็คอันนึง แต่ก็หาเชื้อไฟมาจุดได้ยาก เพราะฝนพึ่งเทไป ป่ามันชื้นๆ ทีนี้ฝ่ายลูกก็พนมมืออ้อนวอน ขออภัยกับวาจาที่เคยกล่าวล่วงไปแบบนั้น
....แกว่าแกก็รู้แหละ ว่าที่ต้องมาเดินงมป่ากันแบบนี้ คงเพราะปากแกที่ไปล่วงเกิน เลยโดนสั่งสอน ฝ่ายพ่อก็ถอดใจบอกลูกลอยๆแล้วว่า คงไม่รอดกลับบ้านแล้วหนนี้ นอนในป่ากลางคืน จุดไฟก็ไม่ได้ มีแต่ตาย ต้นไม้ก็สูงใหญ่ปีนไม่ไหว
ถ้าไม่โดนยุงกันตาย ก็งูฉก เสือลากไปกิน
....ฝ่ายลูกก็บอกพ่อว่า ลองยิงปืนขึ้นฟ้าดูไม๊ เผื่อมีใครมาตาม พ่อก็ว่า ถ้าเขาบังตาไว้ ยิงให้หมดลูกกระสุน ก็ไม่มีใครได้ยิน ทีนี้ฝ่ายพ่อก็ลองหนทางสุดท้าย แกว่าแกก็นั่งคุกเข่าสวดมนตร์ อรหังสัมมานี่แหละ ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยกลับไปหาครอบครัว ถ้ารอดกลับไป จะให้ลูกชายคนปากพล่อยบวชไถ่โทษ
....ทีนี้ก็นั่งรอกันนิ่งๆแหละ คือแล้วแต่ท่านจะกรุณาเลยประมาณนั้น ทีนี้นั่งๆไป ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนกลองในขบวนแห่อะไรสักอย่าง ลอยมาดัง >>>ทึ่ม ทึม ทึ่ม<<< ฝ่ายลูกก็เหงี่ยหูฟัง จนเรียก พ่อ พ่อ
คนพ่อก็บอกเออ กุได้ยินแล้ว
“เสียงไหรล่ะพ่อ”
“นั้นและ เขาปล่อยเราแล้ว”
....พ่อก็บอกให้ลูกช่วยพยุงตัวเองเดิน เพราะเดินมานานจะเริ่มหมดแรง แล้วพากันเดินมืดๆ คลำทางไปตามเสียง
“ทึ่ม ทึม ทึ่ม” ที่เหมือนเสียงตีตะโพนนั่นแหละ
ทีนี้พอเดินๆไปไกลพอสมควรแล้ว เสียงตะโพนก็หายไป ก็นั่งกันต่อ เพราะไม่มีเสียงนำทาง