ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 17

กระทู้สนทนา




ริษยาซ่อนร่าง

ตอนที่ 17

จุดจบทางรักลวง


โดย ล. วิลิศมาหรา & Phycho man


ผู้ทรงศีลพยักหน้าช้า ๆ ให้หญิงสาว มีรอยยิ้มอย่างปรานีผุดขึ้นบนใบหน้าอิ่มบุญ ท่านพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความมีเมตตา

“ถูกต้อง อาตมาเองแหละคุณโยม ไม่นึกว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีก คงเป็นเพราะชะตากรรมถูกกำหนดเอาไว้แล้ว นี่คงพากันหนีผีมาใช่ไหมล่ะ พวกผีที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดตรงทางแยกนั่น มีคนโดนมันหลอกหลอนเป็นประจำ อืม...โยมอุ้ม อาตมาคิดว่าพวกโยมถูกลิขิตชะตากรรมให้เจอแต่ผีปีศาจนะ อาจลิขิตจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอาถรรพ์บันดาลให้เป็นไป และคงเพราะอาตมาได้เคยร่วมสร้างเวรกรรมมาด้วยกับพวกคุณกระมัง นาฬิกากรรมจึงหมุนวนให้เรามาพบกันอีกในสถานการณ์แบบเดิม คือต้องผจญกับภูตผีปีศาจ โยมอุ้มเคยครอบครองสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์เวทย์มนต์บ้างไหม”

“เปล่านี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวรู้สึกตกใจเมื่อถูกอดีตพ่อหมอไสยเวทย์ถามคำถามประหลาด รีบปฏิเสธทันที

“ลองนึกดูให้ดี ของสิ่งนี้มีอาถรรพ์ มันจะกำหนดชะตาชีวิตคนที่ครอบครองมันอยู่ให้มีอันเป็นไปตามแต่มันลิขิต หากมันกำหนดให้ดวงชะตาใครเจอสิ่งเลวร้าย ก็จะบันดาลให้เจ้าสิ่งชั่วร้ายนั้นมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าดวงชะตาจะพินาศหมดสิ้นมันจึงจะหยุด”

ลักขณาสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน เธอเริ่มหวาดวิตก ครุ่นคิดตามคำพูดของภิกษุตรงหน้า...ครั้นแล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ หรือว่า...หรือว่าจะเป็นไพ่อาถรรพ์สำรับนั้น

พลันภาพป้าของเธอก็ปรากฏในห้วงความคิด ป้าสุนทรีย์ผู้เป็นสาวโสด ท่านไปใช้ชีวิตในประเทศทางยุโรปเสียหลายปีก่อนกลับมาอยู่เมืองไทย ถึงแม้ร่ำรวยจากมรดกเก่าและมีไร่องุ่นขนาดใหญ่ แต่ป้าของเธอยังรับดูดวงไพ่ยิปซีอีกด้วย มีผู้คนแวะเวียนมาให้ช่วยเหลือด้านโหราพยากรณ์ไม่ขาด แต่ต่อมาท่านก็เสียชีวิตเฉียบพลันด้วยอาการที่แพทย์ไม่ทราบสาเหตุ ก่อนป้าสุนทรีย์ตายไม่นาน ลักขณากับพ่อไปเยี่ยมถึงโคราช วันหนึ่งขณะอยู่กันตามลำพัง ป้าของลักขณาซึ่งมีอาการแปลก ๆ คล้ายหวาดกลัวบางสิ่งเรียกเธอให้เข้าไปหา ท่านขอร้องให้เธอช่วยทำลายไพ่ทาโรห์สำรับหนึ่งทิ้ง

“มันเป็นไพ่ของแม่มด ต้องรีบทำลายทิ้งโดยด่วนก่อนจะมีใครโดนอาถรรพ์ของมันเล่นงานเอาอีก ให้หลานใช้เลือดสาวพรหมจรรย์ชโลมไพ่ทั้งหมดทำลายอาถรรพ์ไพ่เสียก่อน จากนั้นค่อยเอาไปเผาไฟในคืนเดือนมืด อุ้มเป็นสาวพรหมจรรย์ส่วนป้าไม่ใช่ หลานช่วยทำให้ป้าได้ไหม”

จำได้ว่าเธอพยักหน้ารับงง ๆ เอาใจคนป่วย แต่ไม่เชื่อสิ่งที่ป้าของเธอบอกเลยสักนิด แม่มดบ้าบออะไรในศตวรรษนี้ ป้าเธอคงเป็นโรคประสาทไปแล้ว ต้องใช้เลือดสาวพรหมจารีชโลมไพ่เสียด้วย เรื่องอะไรเธอจะต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้  หลังรับไพ่มาลักขณาจึงไม่ได้ทำตามที่รับปาก จนกระทั่งป้าเธอเสียชีวิตลง ซึ่งเธอก็ไม่ได้ใส่ใจในคำบอกเล่าแปลก ๆ นั้นแต่อย่างใด หนำซ้ำยังนำไพ่มาทำนายเล่นกับพวกเพื่อน ๆ ร่วมแก๊งค์ซุปเปอร์ฮีโร่อีกด้วย

โอ...พลันนั้นลักขณาฉุกใจคิด ทันใดเธอขนลุกเกรียว หลังจากเธอทำนายไพ่ให้เพื่อน ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ...เรื่องสยดสยองเกี่ยวกับภูตผีปีศาจทั้งนั้นไม่ใช่หรือ

เริ่มจากการตายของกวินตา จากนั้นวิญญาณของเพื่อนคนนี้ก็ถูกปีศาจที่มีฤทธิ์มากกว่าครอบงำ แล้วต่อมามันก็สิงสู่สวมร่างพาฝันจนตายไปอีกคน ส่วนเอกกวีก็แย่ หลังคนรักตายไป ชายหนุ่มตกอยู่ในสภาพเหมือนคนตายทั้งเป็น และในเวลานี้ตัวเธอเองเล่า ครอบครัวของเธอก็กำลังประสบชะตากรรมเลวร้าย โดนภูตผีหลอกหลอนเป็นรายต่อไป

“หรือว่าจะเป็นอาถรรพ์ของไพ่แม่มด ป้าอุ้มเคยสั่งให้ใช้เลือดสาวพรหมจรรย์ทำลายอาถรรพ์ไพ่สำรับหนึ่งของแกก่อนตาย แล้วให้เอาไปเผาไฟในคืนเดือนมืด แต่อุ้มไม่ได้ทำ...” หญิงสาวรีบบอกเร็วปรื๋อ บางทีภิกษุอดีตหมอผีคนนี้อาจช่วยเธอได้ พระอินทรทอดถอนใจยาว

“นั่นประไร นึกแล้วไม่มีผิด ธรรมดาภูตผี สัมภเวสีทั้งหลายมักปรากฏร่างเพื่อขอส่วนบุญเท่านั้น ไม่ค่อยมีอิทธิฤทธิ์ แต่ผีที่ห้อมล้อมพวกโยมอยู่กลับกลายเป็นปีศาจร้ายที่มีอำนาจกล้าแข็ง ราวกับพวกมันได้รับพลังบางอย่างจึงมีฤทธิ์เดชมาก สามารถทำร้ายคนได้ง่าย ๆ” ท่านพึมพำอย่างหนักใจให้ได้ยิน

“แล้วตอนนี้ไพ่สำรับนั้นอยู่ที่ไหนล่ะคุณโยม”

“อยู่ที่บ้านในกรุงเทพค่ะ อุ้มเก็บไว้ใต้ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน” พระอินทรพยักหน้ารับทราบ ท่านระบายลมหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนเอ่ยปากบอกเส้นทาง

“เรื่องไพ่อาถรรพ์ยังพอมีทางแก้ไข แต่ตอนนี้ถึงเวลาออกจากเส้นทางลัดของโยมทั้งหลายแล้ว โยมคนขับจงขับรถออกจากวัดแล้วเลี้ยวขวากลับไปทางเดิม ขับต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงทางแยก แล้วพวกโยมก็จะพบทางออกเอง”

“อะไรนะครับ ท่านจะให้พวกผมขับกลับไปทางเดิมงั้นรึ ไม่มีทางหรอก ที่ทางแยกก่อนถึงวัดพวกผมเจอผีครับ ผีทั้งนั้น มันวิ่งตามรถเราจนเข้าเขตวัดพวกมันถึงหยุดตาม ป่านนี้พวกมันคงกลับไปรอหลอกคนอยู่ตรงทางแยกนั่นอีกแน่ ไม่มีทางออกทางอื่นเลยเหรอครับ ท่านอยู่ที่นี่ท่านต้องรู้ทางดีสิ”

พิภพรู้สึกผิดหวังคำตอบของพระ เขาหวังว่าท่านจะช่วยบอกเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่ทางเก่าให้ แต่พอรู้ว่าต้องกลับไปทางแยกนรกนั่น ชายหนุ่มก็โวยวายเข้าใส่พระทันที พระอินทรไม่ได้มีอาการขุ่นเคืองท่าทางเดือดดาลของชายหนุ่มตรงหน้าสักนิด ท่านพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ดังเดิมว่า

“คราวนี้ไม่มีผีตนไหนทำร้ายพวกโยมอีกแล้ว อาตมายืนยันให้กลับไปทางเดิม โยมจึงจะออกไปจากเส้นทางนี้ได้ ขอพรพระคุ้มครอง”

หลังจบคำพูดอันกำกวมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ พระรูปนั้นก็หันหลังกลับเดินดุ่มเข้าไปในวัด พิภพกับลักขณานั่งอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าพระท่านจะบอกพวกตนแบบนี้ แล้วท่านยังรีบกลับเข้าวัดไปเหมือนไม่อยากพูดคุยอะไรด้วยอีก ครั้นจะวิ่งตามไปรั้งพระไว้ก็ไม่เหมาะสม ชายหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจำใจชวนภรรยาให้ลุกขึ้น เขาถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยล้า ช่างเป็นค่ำคืนที่มืดมนยาวนาน และเต็มไปด้วยความสับสนน่ากลัวเสียนี่กระไร

“เอาไงต่อดีล่ะภพพระท่านให้ย้อนกลับไปทางเก่า”

“เวรเอ้ย นึกว่าจะไปพ้นจากถนนเส้นนี้เสียที ถามทางจากพระแต่ท่านดันพูดถึงแต่เรื่องไพ่ห่าเหวอะไรก็ไม่รู้” พิภพไม่ตอบภรรยา เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย

สายลมกระโชกแรง เปลวเทียนตามประตูวัดและกำแพงสั่นไหวแล้วดับวูบลงเพราะแรงลม ยังเหลือแสงสว่างจากตะเกียงโบราณเท่านั้น สองสามีภรรยาเดินเงื่องหงอยกลับไปที่รถ ผู้จัดการหนุ่มกับภรรยาก้าวขึ้นรถปิดประตูปัง อรวีซึ่งรอฟังข่าวอยู่ในรถอย่างใจจดใจจ่อถามขึ้นอย่างใคร่รู้

“พระท่านบอกทางว่าไงคะพี่” คนเป็นสามีส่ายศีรษะ คิ้วเข้มขมวดมุ่น บอกภรรยาน้อยอย่างมีโมโห

“พระบอกว่าถ้าอยากออกถนนใหญ่ให้เราย้อนกลับไปทางเดิมเสียก่อน แล้วจะเจอทางออกเอง แมร่งเอ้ย กูพึ่งหนีผีมาแทบตาย ใครจะกล้ากลับไปทางนั้นอีกวะ”

“ให้กลับไปหาผีดิบพวกนั้น...อุ้มไม่กลับไปนะ” ลักขณาบอกเสียงเฉียบ

“ใช่ ใช่...อย่ากลับไปนะคะพี่ อรกลัวคนพวกนั้นจังค่ะ เราขับต่อไปข้างหน้าเถอะ เดี๋ยวคงเจอถนนใหญ่”

เป็นครั้งแรกที่สองสาวมีความเห็นตรงกัน แต่ถึงจะพูดไปในทางเดียวกัน ภรรยาทั้งสองของพิภพกลับมองหน้ากันแล้วต่างค้อนขวับ แรงชิงชังยังไม่ผ่อนคลายแม้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

หนอยแน่...ทำสำออย นังเมียน้อยร้อยเล่ห์ ฉันอยากให้แกตายไปเสียให้พ้นจริง ๆ แต่ต้องไม่ใช่วันนี้! ลักขณาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เชอะ...นังคนใจร้าย เดี๋ยวเถอะ ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ฉันจะแจ้งความตำรวจให้มาลากคอแกเข้าคุก อรวีเบือนหน้าหนีภรรยาหลวงของสามี หล่อนร้องเอ็ดอึงอยู่ในใจ

ส่วนพิภพนั้นจำต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ เลี้ยวรถออกนอกกำแพงวัด แล้วตัดสินใจขับไปอีกทาง ซึ่งตรงกันข้ามกับคำแนะนำของพระ ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นานจะต้องถึงถนนสายหลักจนได้

แต่แล้วความหวังที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเล็ก ๆ พลันดับวูบลงกะทันหัน ชายหนุ่มเบรกรถจนตัวโก่ง จ้องมองเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง หัวใจตกวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม ท่ามกลางแสงไฟหน้ารถส่องสว่างจ้า ทางแยกแสนคุ้นตาพลันปรากฏให้เห็นอีกครั้ง ผู้จัดการศูนย์การค้าจำได้ดีว่า มันเป็นทางแยกเดิม ๆ กับกลุ่มคนน่ากลัวกลุ่มเดิมนั่นเอง

“อย่าล้อเล่นน่า...เป็นไปไม่ได้...ก็เราขับมาอีกทางแล้วนี่...”

เสียงพึมพำแหบพร่าราวจะขาดใจตายของสามีที่ดังขึ้น ทำให้สองสาวในรถต่างพากันเขม้นมองไปข้างหน้า คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิด จะต้องมีอะไรผิดพลาด ลักขณาสะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งตัว

ไม่จริง ไม่ใช่หรอกน่า...มันแค่เป็นแยกที่บังเอิญเหมือนกัน ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างก็บังเอิญเหมือนกัน แต่ผู้คนข้างทางนั่นล่ะ มันต้องเป็นภาพหลอน ต้องใช่แน่ ๆ เพราะเราหวาดกลัวเกินไปจนเห็นภาพหลอนติดตา ลักขณายกมือขึ้นขยี้ตา สั่นศีรษะไปมาซ้ำ ๆ...แต่ภาพข้างหน้าก็ยังปรากฏเด่นชัดต่อสายตาไม่เลือนหาย

สามคนสามีภรรยารู้สึกเหมือนวังวนแห่งฝันร้ายวนกลับมาใหม่อีกครั้ง อรวีเองไม่เคยเจอเรื่องประหลาดมาตั้งแต่ต้น แต่จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบมา หญิงสาวก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า พวกเธอสามคนกำลังตกอยู่ในเส้นทางหลอนสยอง เพราะด้านหน้าก็ทางแยกนรก ครั้นจะกลับหลังไปก็คงเจอทางแยกนรกแห่งเดียวกันนี้อีกเป็นแน่  

“เอาไงดีล่ะทีนี้” ลักขณาหารือเสียงสั่น จิตประหวัดไปถึงเรื่องราวขนลุกขนพองบนทางแยกนี้ที่เคยผ่านมา และเหมือนว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำอีก

“คราวนี้ขับตะลุยผ่านพวกมันไป ใครขวางก็ชนแหลกฝ่าพวกมันไปเลยพี่ ไม่ต้องสนใจผีหน้าไหนทั้งนั้น”

คนเราเมื่อกลัวจนถึงจุดหนึ่งก็อาจกลับกลายเป็นความบ้าดีเดือดเกินพิกัดตายเป็นตายได้เช่นกัน อรวีตัดสินใจเชียร์สามีให้พุ่งชนฝูงปีศาจที่ดักขวางทางเอาไว้ เรื่องอะไรจะงอมืองอเท้าให้มันหลอกหลอนอยู่แบบนี้ ถ้าจะตายก็ขอให้ได้ลองสู้พวกมันดูสักตั้ง ขับรถผ่านฝูงปีศาจทะลุไปอีกเส้นทางหนึ่ง ยังอาจพอมีทางรอด

พิภพเห็นด้วยกับภรรยาน้อย มือของเขากระชากเกียร์พารถกระโจนพรวดตรงเข้าหากลุ่มภูตผีนั้นทันที เพื่อขับผ่านหน้าพวกมันไปหาอีกเส้นทางหนึ่ง สายตาจ้องเขม็งมองด้านหน้าไม่กระพริบ

          แต่พอรถพุ่งทะยานเข้าไปหาบรรดาปีศาจ คนทั้งสามรู้สึกเหมือนตกอยู่ในอาถรรพ์อันเร้นลับ เวลาไหลเลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ชายหญิงทั้งหมดตกอยู่ในม่านบรรยากาศอันหนักอึ้ง สมองและความคิดราวกำลังอยู่ในห้วงความฝันอันเลื่อนลอยมึนชา ฉับพลัน ถนนเบื้องหน้าค่อย ๆ จางหาย กลับกลายเป็นภาพมายาราวกำลังดูภาพยนตร์            
    
          แทนที่ถนนสายนั้น บัดนี้เห็นเป็นสะพานทอดยาวข้ามแม่น้ำลึกลับที่เกิดมีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปลายสะพานทอดหายลับเข้าไปในม่านหมอกปกคลุมหนาทึบ น่าแปลกที่จู่ ๆ เกิดมีแม่น้ำนี้ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา ทั้งที่เมื่อขับรถเข้ามาถึงที่นี่ครั้งแรกนั้นมันเป็นทางแยก สะพานข้ามแม่น้ำไม่เคยมีอยู่ คนประหลาดกลุ่มนั้น มีบางคนแยกตัวก้าวเดินอย่างสงบข้ามสะพานไป โดยไม่มีทีท่าน่ากลัวเหมือนก่อนหน้า พอเดินขึ้นสะพานไปแล้ว ร่างของเขาก็ค่อย ๆ จางลง จนกระทั่งเลือนหายไปในม่านหมอก ให้ตายเถอะ คนปลายสะพานหายตัวได้ราวเล่นมายากล    

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่