ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณต์ตัวนึงซึ่งอ้างว่าเป็นเครื่องปรับโมเลกุลน้ำให้มีขนาดเล็กลงโดยผ่านสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะทำให้น้ำมีสรรพคุณดีวิเศษต่อสุขภาพ บลาๆๆๆ ..
ทีนี้.. พออลองเมล์ไปถามทางบริษัทขายน้ำที่ว่า ปรากฎว่ามีนักวิชาการ(มั้ง)ของบริษัท เค้าอธิบายเพิ่มเติมมาดังนี้
*ถ้านำน้ำมาผ่านสนามแม่เหล็ก ความหนาแน่น 4600 เก้าส์ (Magnetic Field) ซึ่งพลังงานแม่เหล็กจะทำให้โครงสร้าง (Structure) ทางกายภาพของน้ำเกิดการ
เปลี่ยนแปลง แต่คุณสมบัติทางเคมีของน้ำไม่มีเปลี่ยน โมเลกุลยังคงเป็นไฮโดรเจน (Hydrogen) 2 อะตอมกับออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอม
เหมือนเดิม แต่เกิดการจับกลุ่มที่มีโครงสร้างจำนวนโมเลกุลน้ำ (H2O) น้อยลงที่เคยเกาะเป็นกลุ่มละ 14 โมเลกุล เช่นน้ำประปา จะลดลงมาเหลือ
เพียง 6 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม ซึ่งเราเรียกน้ำที่มีกลุ่มขนาดเล็กกะทัดรัดนี้ว่า Micro cluster Water (น้ำกลุ่มเล็ก)
เมื่อโมเลกุลของน้ำจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้มันผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาตามอวัยวะต่างๆของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของพืชได้ง่าย สามารถนำพาสารอาหารรวมทั้งออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ และนำเอาสารพิษกับของเสียจากการกระบวนการ
เผาผลาญออกมาจากเซลล์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เซลล์ไม่เสื่อมคุณสภาพและชะลอความแก่ของเซลล์ แรงตึงผิวลดลง
(Less Surface Tenion)
การที่โมเลกุลของน้ำจับตัวกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก และเรียงตัวกันใหม่ขนานไปตามแนวเดียวกัน ไม่แออัด มีระเบียบ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าแรงตึงผิว จึงลดลงจาก 75 Dynes มาเป็น 45 Dynes บางครั้งลงมาถึง 36 Dynes และยังทำให้เลือดไม่ข้นมากเกินไปด้วย
การที่น้ำมีแรงตึงผิวต่ำ ทำให้สามารถละลายสารอาหารต่างๆได้ง่ายมากขึ้น (More Effective Solvent) พาไปให้เซลล์จนเพียงพอ ขณะเดียวกันของเสียในเซลล์ ก็สามารถละลายได้ง่ายในน้ำเช่นกัน และเอามาทิ้งนอกเซลล์ และถูกนำออกไปจากร่างกายได้โดยสะดวก เซลล์จึงแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น
การทำงานของนํ้าแมกเนติก
(Magnetic Treatment Water) ซึ่งมีโครงสร้างขนาดเล็ก มีคุณสมบัติเข้าและออกเซลล์ค่อนข้างว่องไวอย่างนี้ ทำให้เมื่อดื่มน้ำ Magnetized Water จะแก้กระหายน้ำได้เร็วมาก
การแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ของโมเลกุลน้ำ (H2O)
การแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ก็คือ การแยกออกไปหรือเพิ่มเข้ามาของอิเล็กตรอน โมเลกุลของน้ำ (H2O) เมื่อถูกกระเทือนด้วย ความถี่ของคลื่นแม่เหล็ก (Electromagnetic Vibration) จะทำให้โมเลกุลของน้ำจำนวนหนึ่งแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ประกอบด้วย ไฮโดรเจนไอออน (H+) ประจุบวก กับ ไฮครอกซิลไอออน (OH) ประจุลบ
H2O H+ + OH
ไฮโดรเจนไอออน (OH) บางส่วนจะไปรวมตัวกับกลุ่มเกลือแร่ เช่น แคลเชียม กลายเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต
(Calcium Bicarbonate) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Alkaline) ทำให้น้ำมีค่า pH ประมาณ 7.6-8.5
ไฮดรอกซินไอออน (OH) นี้ถ้า 2 ตัวรวมกันจะเกิดเป็นน้ำ (H2O) อีกครั้งกับออกซิเจนไอออน (O)
OH + OH = H2O + O
ออกซิเจนไอออน (O) นี้ จะมีอิเล็กตรอนประจุลบ ซึ่งทำหน้าที่หยุดวงจรอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) บางครั้งจะรวมตัวกันเองกลายเป็นก๊าซออกซิเจน (O2) ละลายอยู่ในน้ำโดยอยู่ในวงล้อม ของกลุ่มโมเลกุลโครงสร้างเล็ก (Microcluster) ดัก O2 ไว้เหมือนใส่กรง (Cage) โดยมี Hydrogenbond (บางครั้งเรียก Hydrogen bridge) เป็นตัวช่วยกั้น ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งกับร่างกาย
ไฮโดรเจนไอออน (H+) ซึ่งเป็นประจุบวก ถ้ารวมกัน 2 ตัวจะกลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน (H2) ละลายในน้ำหรือระเหยออกไปและบางครั้งรวมกับออกซิเจน (O2) กลายเป็นน้ำ (H2O) ความเป็นกรดจึงถือว่าเป็นนัยสำคัญ
อายุของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water)
คุณสมบัติของการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ขึ้นอยู่กับอายุของไฮดรอกซิลไอออน (Hydroxyl Ion) ซึ่งจะอยู่ในน้ำได้ไม่เกิน 18 – 24 ชั่วโมง
ความเป็นด่าง (Alkaline Property) ซึ่งวัดค่าโดย pH ระดับที่ต้องการควรสูงเกินกว่า pH 7.4 จะอยู่ได้นาน 1-2 อาทิตย์
การมีโครงสร้างขนาดเล็ก (Microcluster หรือ Structured Water) คือ โมเลกุลของน้ำ 5-6 ตัว ต่อ 1 กลุ่ม (Cluster) จะอยู่ได้ประมาณ 1-3 เดือน
การที่อายุของแต่ละคุณสมบัติมีช่วงเวลาสั้นไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพของสิ่งแวดล้อม ถ้าเก็บน้ำในตู้เย็น หรือเก็บในขวดที่เป็นแก้วปิดสนิท จะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน การที่น้ำนั้นมีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะเกิดจากเกลือแร่ แคลเซียมไบคาร์บอเนต (Calcium Bicarbonate) ดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ขวดที่เป็นพลาสติกจะยอมให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึมผ่านเข้าไปและทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไบคาร์บอนเนตซึ่งละลายอยู่ในน้ำ เกิดเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งไม่ละลายในน้ำ จึงตกเป็นตะกอนและความเป็นด่างจะลดลง ขวดที่เป็นแก้วจึงเก็บน้ำให้คงมีประสิทธิภาพได้นานกว่าขวดพลาสติก
คุณสมบัติที่ผ่านสนามแม่เหล็ก (Characteristics of Magnetized Water) ประกอบด้วย
การเกาะกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก คือ 6 โมเลกุลของน้ำ (H2O) ต่อ 1 กลุ่ม (Microcluster)
กลุ่ม (Microcluster หรือ Bound Water) ทำให้สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาจากเซลล์ได้รวดเร็ว เมื่อเข้าไปก็จะนำสารอาหาร ออกซิเจน เอ็นไซม์ และแร่ธาตุต่างๆ เพื่อให้เซลล์ได้ใช้ และเมื่อออกมาก็จะเป็นสารพิษของเสีย จากการเผ่าผลาญ (Metabolism) ซึ่งเรียกว่า Metabolic Water เพื่อนำไปทิ้ง ผลก็คือ เซลล์สดใสแข็งแรงมีกำลังทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการได้โดยง่าย และที่สำคัญเซลล์จะชะลอความแก่
ทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นตัวทำลายสิ่งต่างๆได้ดี สารอาหารทั้งหลายที่ละลายอยู่ในเลือดที่ประกอบด้วยน้ำ 92 เปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกพาเข้าอวัยวะ
ต่างๆได้อย่างครบถ้วน ความสำคัญต่อชีวิตคือ มีออกซิเจนละลายอยู่ด้วยอย่างเพียงพอ
ดังนั้นการกินยาโดยใช้น้ำที่มีแรงดึงผิวต่ำหรืออีกนัยหนึ่งคือ การดื่มน้ำที่มีโครงสร้างเล็ก (Structured Water, Clustered Water) จะทำให้ยา
ที่กินถูกพาเข้าในตัวเซลล์ได้ปริมาณตรงตามวัตถุประสงค์ของแพทย์ เพราะยาจะละลายในน้ำ น้ำที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ ทำให้ยายังคงวนเวียน
อยู่ในน้ำเหลือง หรือซีรั่มของเลือดเพราะผ่านเข้าเซลล์ไม่ได้ง่ายๆ นอกจากไม่เกิดประโยชน์ทางยาแล้ว ยังอาจจะเกิดความเป็นพิษและแพ้ยาขึ้นอีก
ด้วย ถ้าเอาไปผสมแอลกอฮอล์ (สุรา) เมื่อดื่มก็จะเมาเร็วขึ้นกว่าผสมน้ำชนิดอื่น
แรงดึงผิวต่ำ ทำให้ความหนืดหรือความข้นของเลือดลดลงประกอบกับน้ำในเลือดเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก และเป็นระเบียบทำให้
เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มเพิ่มมาก พอมีเนื้อที่ได้ขยับขยายไม่เบียดเบียดกันเลือดไหลเวียนง่าย (โดยปกติโลหิตมนุษย์จะข้นเป็น 4 เท่า ของน้ำถ้าข้นกว่านี้จะถ่ายเทไม่สะดวกเพราะความหนืด) อาการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เช่น ที่สมองจะทุเลาขึ้น. เลือดไม่หนืด ความดันโลหิตก็ไม่สูง และหัวใจไม่จำเป็นต้องบีบตัวมาก
น้ำจะมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Promote more Alkaline pH in the Body)
ร่างกายของมนุษย์ (ยกเว้นกระเพาะอาหารและไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH 7.4) น้ำดื่มที่มีค่าเป็นด่างมากกว่า pH 7.4 จึงช่วยทำลายขยะของ
เสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ
อวัยวะภายในร่างกายต้องอยู่ในภาวะเป็นด่าง แต่ทำงานในลักษณะเป็นกรด การย่อยอาหารทุชนิดและทุครั้ง จะก่อให้เกิดขยะของเสียที่เป็น
กรดสะสมจึงทำให้มีสภาวะกรดในเลือดสูง ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้านเอาไว้ ก็จะทำให้ร่างกายต้องไปดึงเอาแร่ธาตุต่างๆเช่น แคลเซียมและแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน กล้ามเนื้อเพื่อมาล้างความเป็นกรด อันเกิดจากขยะของเสียงในร่างกาย หรือเกิดมาจาก
มลภาวะต่างๆของสิ่งแวดล้อม
สภาวะเป็นด่างอันเนื่องมาจากไฮครอกซิลไอออน (Hydroxyl OH) ซึ่งมาจากการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ของน้ำ (H2O) โดยอิทธิพลจากพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ผลที่ได้รับตามมาคือ มีออกซิเจน (O2) จะเกิดขึ้นจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะละลายโดยทันทีอยู่ในน้ำนั้นจะ
เห็นได้ โดยถ้าเอาน้ำดังกล่าวมาเก็บไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิท จะเกิดมีพรายน้ำเม็ดเล็กๆแพรวพราวเต็มไปหมด เกาะอยู่ด้านในขวด จนอาจกล่าวว่าถ้าน้ำด่างจะมีออกซิเจนละลายอยู่เสมอ
ส่วนน้ำบริสุทธิ์อย่างน้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อนๆเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จะละลายเกิดคาร์บอนิก ยิ่งเป็นนํ้าอันตรายต่อการดื่มกิน
(HCO3)ออกซิเจนในนํ้าแมกเนติก
นอกจากให้พลังงานกับเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยให้เชื้อจุลินทรีย์อันตราประเภทไม่ชอบออกซิเจน (Anaerobic Bacteria) เกิดไม่
ได้หรือหยุดเจริญในที่ๆมรออกซิเจน การไม่แบ่งตัวทำให้แบคทีเรียมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ จากผลงานวิจัยของDr.Otto Warburg ผู้ได้รางวัลโนเบล
สาขาการแพทย์เมื่อปี ค.ศ.1931 ที่พบว่าโรคมะแร็ง ไม่ชอบอยู่ในที่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์จากน้ำที่ได้รับ
พลังแม่เหล็ก (Magnetized Water) ตามทฤษฎีเซลล์มะเร็งจะไม่เจริญเติบโตในที่ๆมีออกซิเจน
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันเกิดจากออกซิเจนไอออน (O) ให้อิเล็กตลอนประจุลบ ไปตัดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ ซึงเป็นตัวทำลาย
เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น*
พอฟังคำอธิบายดังกล่าวแล้ว ท่านมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ
อยากรบกวนผู้รู้ทางด้านเคมี-ชีวะ ช่วยอภิปรายข้อมูลที่บริษัทเครื่องกรองน้ำเจ้านึงชี้แจงมาให้ฟังหน่อยครับ
ทีนี้.. พออลองเมล์ไปถามทางบริษัทขายน้ำที่ว่า ปรากฎว่ามีนักวิชาการ(มั้ง)ของบริษัท เค้าอธิบายเพิ่มเติมมาดังนี้
*ถ้านำน้ำมาผ่านสนามแม่เหล็ก ความหนาแน่น 4600 เก้าส์ (Magnetic Field) ซึ่งพลังงานแม่เหล็กจะทำให้โครงสร้าง (Structure) ทางกายภาพของน้ำเกิดการ
เปลี่ยนแปลง แต่คุณสมบัติทางเคมีของน้ำไม่มีเปลี่ยน โมเลกุลยังคงเป็นไฮโดรเจน (Hydrogen) 2 อะตอมกับออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอม
เหมือนเดิม แต่เกิดการจับกลุ่มที่มีโครงสร้างจำนวนโมเลกุลน้ำ (H2O) น้อยลงที่เคยเกาะเป็นกลุ่มละ 14 โมเลกุล เช่นน้ำประปา จะลดลงมาเหลือ
เพียง 6 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม ซึ่งเราเรียกน้ำที่มีกลุ่มขนาดเล็กกะทัดรัดนี้ว่า Micro cluster Water (น้ำกลุ่มเล็ก)
เมื่อโมเลกุลของน้ำจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้มันผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาตามอวัยวะต่างๆของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของพืชได้ง่าย สามารถนำพาสารอาหารรวมทั้งออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ และนำเอาสารพิษกับของเสียจากการกระบวนการ
เผาผลาญออกมาจากเซลล์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เซลล์ไม่เสื่อมคุณสภาพและชะลอความแก่ของเซลล์ แรงตึงผิวลดลง
(Less Surface Tenion)
การที่โมเลกุลของน้ำจับตัวกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก และเรียงตัวกันใหม่ขนานไปตามแนวเดียวกัน ไม่แออัด มีระเบียบ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าแรงตึงผิว จึงลดลงจาก 75 Dynes มาเป็น 45 Dynes บางครั้งลงมาถึง 36 Dynes และยังทำให้เลือดไม่ข้นมากเกินไปด้วย
การที่น้ำมีแรงตึงผิวต่ำ ทำให้สามารถละลายสารอาหารต่างๆได้ง่ายมากขึ้น (More Effective Solvent) พาไปให้เซลล์จนเพียงพอ ขณะเดียวกันของเสียในเซลล์ ก็สามารถละลายได้ง่ายในน้ำเช่นกัน และเอามาทิ้งนอกเซลล์ และถูกนำออกไปจากร่างกายได้โดยสะดวก เซลล์จึงแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น
การทำงานของนํ้าแมกเนติก
(Magnetic Treatment Water) ซึ่งมีโครงสร้างขนาดเล็ก มีคุณสมบัติเข้าและออกเซลล์ค่อนข้างว่องไวอย่างนี้ ทำให้เมื่อดื่มน้ำ Magnetized Water จะแก้กระหายน้ำได้เร็วมาก
การแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ของโมเลกุลน้ำ (H2O)
การแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ก็คือ การแยกออกไปหรือเพิ่มเข้ามาของอิเล็กตรอน โมเลกุลของน้ำ (H2O) เมื่อถูกกระเทือนด้วย ความถี่ของคลื่นแม่เหล็ก (Electromagnetic Vibration) จะทำให้โมเลกุลของน้ำจำนวนหนึ่งแตกตัวเป็นไอออน (Ion) ประกอบด้วย ไฮโดรเจนไอออน (H+) ประจุบวก กับ ไฮครอกซิลไอออน (OH) ประจุลบ
H2O H+ + OH
ไฮโดรเจนไอออน (OH) บางส่วนจะไปรวมตัวกับกลุ่มเกลือแร่ เช่น แคลเชียม กลายเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต
(Calcium Bicarbonate) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Alkaline) ทำให้น้ำมีค่า pH ประมาณ 7.6-8.5
ไฮดรอกซินไอออน (OH) นี้ถ้า 2 ตัวรวมกันจะเกิดเป็นน้ำ (H2O) อีกครั้งกับออกซิเจนไอออน (O)
OH + OH = H2O + O
ออกซิเจนไอออน (O) นี้ จะมีอิเล็กตรอนประจุลบ ซึ่งทำหน้าที่หยุดวงจรอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) บางครั้งจะรวมตัวกันเองกลายเป็นก๊าซออกซิเจน (O2) ละลายอยู่ในน้ำโดยอยู่ในวงล้อม ของกลุ่มโมเลกุลโครงสร้างเล็ก (Microcluster) ดัก O2 ไว้เหมือนใส่กรง (Cage) โดยมี Hydrogenbond (บางครั้งเรียก Hydrogen bridge) เป็นตัวช่วยกั้น ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งกับร่างกาย
ไฮโดรเจนไอออน (H+) ซึ่งเป็นประจุบวก ถ้ารวมกัน 2 ตัวจะกลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน (H2) ละลายในน้ำหรือระเหยออกไปและบางครั้งรวมกับออกซิเจน (O2) กลายเป็นน้ำ (H2O) ความเป็นกรดจึงถือว่าเป็นนัยสำคัญ
อายุของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water)
คุณสมบัติของการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ขึ้นอยู่กับอายุของไฮดรอกซิลไอออน (Hydroxyl Ion) ซึ่งจะอยู่ในน้ำได้ไม่เกิน 18 – 24 ชั่วโมง
ความเป็นด่าง (Alkaline Property) ซึ่งวัดค่าโดย pH ระดับที่ต้องการควรสูงเกินกว่า pH 7.4 จะอยู่ได้นาน 1-2 อาทิตย์
การมีโครงสร้างขนาดเล็ก (Microcluster หรือ Structured Water) คือ โมเลกุลของน้ำ 5-6 ตัว ต่อ 1 กลุ่ม (Cluster) จะอยู่ได้ประมาณ 1-3 เดือน
การที่อายุของแต่ละคุณสมบัติมีช่วงเวลาสั้นไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพของสิ่งแวดล้อม ถ้าเก็บน้ำในตู้เย็น หรือเก็บในขวดที่เป็นแก้วปิดสนิท จะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน การที่น้ำนั้นมีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะเกิดจากเกลือแร่ แคลเซียมไบคาร์บอเนต (Calcium Bicarbonate) ดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ขวดที่เป็นพลาสติกจะยอมให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึมผ่านเข้าไปและทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไบคาร์บอนเนตซึ่งละลายอยู่ในน้ำ เกิดเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งไม่ละลายในน้ำ จึงตกเป็นตะกอนและความเป็นด่างจะลดลง ขวดที่เป็นแก้วจึงเก็บน้ำให้คงมีประสิทธิภาพได้นานกว่าขวดพลาสติก
คุณสมบัติที่ผ่านสนามแม่เหล็ก (Characteristics of Magnetized Water) ประกอบด้วย
การเกาะกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก คือ 6 โมเลกุลของน้ำ (H2O) ต่อ 1 กลุ่ม (Microcluster)
กลุ่ม (Microcluster หรือ Bound Water) ทำให้สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาจากเซลล์ได้รวดเร็ว เมื่อเข้าไปก็จะนำสารอาหาร ออกซิเจน เอ็นไซม์ และแร่ธาตุต่างๆ เพื่อให้เซลล์ได้ใช้ และเมื่อออกมาก็จะเป็นสารพิษของเสีย จากการเผ่าผลาญ (Metabolism) ซึ่งเรียกว่า Metabolic Water เพื่อนำไปทิ้ง ผลก็คือ เซลล์สดใสแข็งแรงมีกำลังทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการได้โดยง่าย และที่สำคัญเซลล์จะชะลอความแก่
ทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นตัวทำลายสิ่งต่างๆได้ดี สารอาหารทั้งหลายที่ละลายอยู่ในเลือดที่ประกอบด้วยน้ำ 92 เปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกพาเข้าอวัยวะ
ต่างๆได้อย่างครบถ้วน ความสำคัญต่อชีวิตคือ มีออกซิเจนละลายอยู่ด้วยอย่างเพียงพอ
ดังนั้นการกินยาโดยใช้น้ำที่มีแรงดึงผิวต่ำหรืออีกนัยหนึ่งคือ การดื่มน้ำที่มีโครงสร้างเล็ก (Structured Water, Clustered Water) จะทำให้ยา
ที่กินถูกพาเข้าในตัวเซลล์ได้ปริมาณตรงตามวัตถุประสงค์ของแพทย์ เพราะยาจะละลายในน้ำ น้ำที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ ทำให้ยายังคงวนเวียน
อยู่ในน้ำเหลือง หรือซีรั่มของเลือดเพราะผ่านเข้าเซลล์ไม่ได้ง่ายๆ นอกจากไม่เกิดประโยชน์ทางยาแล้ว ยังอาจจะเกิดความเป็นพิษและแพ้ยาขึ้นอีก
ด้วย ถ้าเอาไปผสมแอลกอฮอล์ (สุรา) เมื่อดื่มก็จะเมาเร็วขึ้นกว่าผสมน้ำชนิดอื่น
แรงดึงผิวต่ำ ทำให้ความหนืดหรือความข้นของเลือดลดลงประกอบกับน้ำในเลือดเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก และเป็นระเบียบทำให้
เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มเพิ่มมาก พอมีเนื้อที่ได้ขยับขยายไม่เบียดเบียดกันเลือดไหลเวียนง่าย (โดยปกติโลหิตมนุษย์จะข้นเป็น 4 เท่า ของน้ำถ้าข้นกว่านี้จะถ่ายเทไม่สะดวกเพราะความหนืด) อาการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เช่น ที่สมองจะทุเลาขึ้น. เลือดไม่หนืด ความดันโลหิตก็ไม่สูง และหัวใจไม่จำเป็นต้องบีบตัวมาก
น้ำจะมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Promote more Alkaline pH in the Body)
ร่างกายของมนุษย์ (ยกเว้นกระเพาะอาหารและไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH 7.4) น้ำดื่มที่มีค่าเป็นด่างมากกว่า pH 7.4 จึงช่วยทำลายขยะของ
เสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ
อวัยวะภายในร่างกายต้องอยู่ในภาวะเป็นด่าง แต่ทำงานในลักษณะเป็นกรด การย่อยอาหารทุชนิดและทุครั้ง จะก่อให้เกิดขยะของเสียที่เป็น
กรดสะสมจึงทำให้มีสภาวะกรดในเลือดสูง ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้านเอาไว้ ก็จะทำให้ร่างกายต้องไปดึงเอาแร่ธาตุต่างๆเช่น แคลเซียมและแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน กล้ามเนื้อเพื่อมาล้างความเป็นกรด อันเกิดจากขยะของเสียงในร่างกาย หรือเกิดมาจาก
มลภาวะต่างๆของสิ่งแวดล้อม
สภาวะเป็นด่างอันเนื่องมาจากไฮครอกซิลไอออน (Hydroxyl OH) ซึ่งมาจากการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ของน้ำ (H2O) โดยอิทธิพลจากพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ผลที่ได้รับตามมาคือ มีออกซิเจน (O2) จะเกิดขึ้นจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะละลายโดยทันทีอยู่ในน้ำนั้นจะ
เห็นได้ โดยถ้าเอาน้ำดังกล่าวมาเก็บไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิท จะเกิดมีพรายน้ำเม็ดเล็กๆแพรวพราวเต็มไปหมด เกาะอยู่ด้านในขวด จนอาจกล่าวว่าถ้าน้ำด่างจะมีออกซิเจนละลายอยู่เสมอ
ส่วนน้ำบริสุทธิ์อย่างน้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อนๆเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จะละลายเกิดคาร์บอนิก ยิ่งเป็นนํ้าอันตรายต่อการดื่มกิน
(HCO3)ออกซิเจนในนํ้าแมกเนติก
นอกจากให้พลังงานกับเซลล์ ทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยให้เชื้อจุลินทรีย์อันตราประเภทไม่ชอบออกซิเจน (Anaerobic Bacteria) เกิดไม่
ได้หรือหยุดเจริญในที่ๆมรออกซิเจน การไม่แบ่งตัวทำให้แบคทีเรียมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ จากผลงานวิจัยของDr.Otto Warburg ผู้ได้รางวัลโนเบล
สาขาการแพทย์เมื่อปี ค.ศ.1931 ที่พบว่าโรคมะแร็ง ไม่ชอบอยู่ในที่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์จากน้ำที่ได้รับ
พลังแม่เหล็ก (Magnetized Water) ตามทฤษฎีเซลล์มะเร็งจะไม่เจริญเติบโตในที่ๆมีออกซิเจน
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันเกิดจากออกซิเจนไอออน (O) ให้อิเล็กตลอนประจุลบ ไปตัดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ ซึงเป็นตัวทำลาย
เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น*
พอฟังคำอธิบายดังกล่าวแล้ว ท่านมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ