ริษยาซ่อนร่าง
ตอนที่ 15
ทางรักทางหลอน
โดย...ล. วิลิศมาหรา & Phycho man
ขณะนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว ข้างนอกเงียบสงบ เพราะในหมู่บ้านจัดสรรแบบนี้ เวลากลางวันคนมักออกไปทำงานกันหมด นี่เป็นช่วงนาทีสำคัญ พิภพต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้นแล้วเขาก็ตัดสินใจเลือก
“โทรหาแพมด่วน บอกว่าจะพาอรไปโรงพยาบาลอื่น ขอร้องเธออย่าบอกเรื่องนี้กับใคร แล้วค่อยหาทางอธิบายให้แพมฟังทีหลัง เราจะไปหาคุณพ่อคุณที่โคราชเดี๋ยวนี้ ให้ท่านช่วยอำพรางศพ คุณมาช่วยผมเอาอรใส่กระโปรงท้ายรถเร็วเข้า”
สีหน้าของคนเป็นภรรยาดีขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก รีบควักมือถือจากในกระเป๋าเสื้อออกมากดโทรหาเพื่อนสาวที่พึ่งจากไป สั่งกำชับทางนั้นด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนจริงจังตามที่คนเป็นสามีบอก ไม่ทันให้เพื่อนสาวซักถามเธอกดสายทิ้งทันที ซึ่งขณะเดียวกัน พิภพก็วางร่างไร้วิญญาณของอรวีลงบนเบาะนั่ง ชายหนุ่มลงมาจากรถ พลางเหลียวมองซ้ายขวา สำรวจไปรอบ ๆ
ขณะนี้บ้านทุกหลังปิดบ้านเงียบไร้วี่แววผู้คน ช่างเป็นโอกาสเหมาะที่จะขนย้ายร่างของอรวี
พิภพเปิดกระโปรงท้ายรถออก แล้วสองคนกับลักขณาช่วยกันยกร่างของหญิงชะตาขาดขึ้นใส่ท้ายรถ หลังปิดฝากระโปรงรถเก๋งเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกลับเข้าไปปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ กำจัดคราบเลือดบนพื้นให้สะอาด ชายหนุ่มควักปากกาขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ปลอมลายมืออรวีว่าเธอเดินทางไปต่างประเทศเพื่อคลอดลูก และไม่อยากติดต่อกับใคร เอามันวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานในห้องนั้น ก่อนสั่งให้ลักขณาขึ้นรถ
พิภพปิดล็อคประตูบ้านจนเรียบร้อยเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนขับรถออกไปจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังออกจากบ้านเกิดเหตุ ขณะขับรถกลับไปที่ทำงานของสามีในศูนย์การค้าชื่อดัง ลักขณาโทรติดต่อหาบิดา หญิงสาวร่ำไห้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังไปตลอดทาง ซึ่งแน่นอนว่าสมศักดิ์ เรืองเดชา บิดาของเธอตกใจ เขากำชับให้บุตรสาวกลับมาที่โคราชโดยเร็ว
ทันทีที่มาถึงจุดหมาย พิภพจอดรถไว้ตรงลานจอด แล้วตรงดิ่งเข้าไปในสำนักงาน เขาอยู่ในนั้นครู่ใหญ่ ก่อนรีบร้อนออกมาขึ้นรถ แล้วขับพาลักขณาย้อนกลับออกมา ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นการสร้างหลักฐานต่าง ๆ สำหรับการหายตัวไประยะหนึ่งของคนสามคนก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ซึ่งในที่สุด ทั้งคู่ก็อยู่บนรถที่กำลังแล่นไปตามถนนออกสู่นอกเมือง สองสามีภรรยารีบเร่งหลบหนีความผิด แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ตนเองไม่มีทางหนีพ้นเวรกรรมที่ได้กระทำเอาไว้
รถเก๋งคันงามมุ่งหน้าออกสู่ถนนนอกเมือง คนขับมีท่าทางเคร่งเครียด คิ้วเข้มของพิภพขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้เป็นภรรยานั่งมองตรงไปข้างหน้า เธอนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด คนทั้งคู่ยังอยู่ในชุดทำงาน พิภพสวมสูทสีเข้ม ผูกเนกไท ลักขณาก็ยังแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงแบบสาวออฟฟิศ ชายหนุ่มเหลือบตามองดูนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถยนต์คู่ชีพ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างเป็นกังวล
ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครกลับมืดครึ้มกว่าปกติเหมือนฝนทำท่าจะตก และพอรถแล่นออกนอกเมืองมาได้พักหนึ่ง สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก การจราจรบนเส้นทางสายหลักจึงเริ่มติดขัด ลักขณาบ่นอย่างไม่พอใจ
“ยังอีกตั้งไกล ฝนก็มาตกเอาวันนี้เสียได้ จะทันเวลาไหมนะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่นั่งคู่กันมาในรถ คนเป็นสามีเหลียวมองหน้าภรรยาแวบหนึ่ง เขาเพียงถอนหายใจอีกเฮือกอย่างกลัดกลุ้ม ไม่ตอบคำถามนั้น เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวแค่บ่นออกมาจากความวิตกกังวล ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง นี่ถ้าเพียงแต่เธอไม่ใจร้อน และเขารอบคอบกว่านี้อีกนิด เรื่องวุ่นวายอย่างในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น
ความฉุกละหุกทำให้เขากับหล่อนต้องรีบขับรถออกจากเมืองกรุง มุ่งหน้าสู่ที่หมายกะทันหันโดยไม่ทันได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ใด ๆ ติดตัวมาเลย
หลังฝนเทลงมาราวฟ้ารั่ว ไม่นานก็ซาเม็ดลง การจราจรบนท้องถนนคล่องตัวมากขึ้น พิภพรู้สึกโล่งอกเมื่อรถสามารถวิ่งทำความเร็วเพิ่มได้ดั่งใจ เขาขับรถตรงไปยังไร่องุ่นของบิดาฝ่ายหญิง ท่ามกลางบรรยากาศยามอาทิตย์ใกล้สนธยา
ฉับพลัน ชายหนุ่มต้องรีบชะลอความเร็วรถลง เพราะสังเกตพบป้ายบอกทางด้านซ้ายมือ มันเขียนด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่อันน่ายินดี มองเห็นชัดอยู่ข้างทางเบื้องหน้าว่า
...เส้นทางลัดแยกไป โคราช อีก 2 กิโลเมตร...
ชายหนุ่มเผยอยิ้ม มองพิจารณาป้ายอย่างรวดเร็ว เห็นสัญลักษณ์บอกให้เลี้ยวซ้าย ขึ้นชื่อว่าทางลัดย่อมต้องสั้นกว่าเส้นทางสายปกติแน่นอน และมันน่าจะลัดตัดตรงไปสู่โคราชได้เลย เขาหันไปบอกภรรยาว่าจะไปเส้นทางลัดนี้
รถแล่นมาอีกหน่อยก็เจอทางแยกตามที่ป้ายบอก ไวเท่าความคิด เขาเหลือบตามองกระจกส่องหลัง พอได้จังหวะก็ปาดรถคู่ชีพออกทางซ้ายมือ เข้าสู่เส้นทางลัดสายนั้นทันที
ในที่สุด ชายหนุ่มก็พบว่าขับรถอยู่บนถนนสองเลน ซึ่งแยกมาจากถนนสายหลัก ทางโล่งและเรียบน่าวิ่ง...แบบนี้คงถึงโคราชได้เร็วแน่นอน
ถึงจะเป็นถนนสองเลนแต่ก็กว้างพอให้รถวิ่งสบาย ถนนอยู่ในสภาพดีมาก สองข้างทางเป็นเทือกสวนไร่นารกร้างเห็นแต่หญ้าคาขึ้นสูง ไร้พืชผลทางการเกษตรเพาะปลูก บางแห่งเป็นป่าละเมาะ
“ต้องแบบนี้สิ”
ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างพึงใจกับเส้นทางลัด สีหน้าผ่อนคลายสบายใจขึ้น และในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของลักขณา ซึ่งเสียบไว้บนที่เสียบโทรศัพท์ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งานหน้าคอนโซลรถ ก็มีสัญญาณสายเข้าดังขึ้น มองปราดเดียวหญิงสาวก็รู้ว่าเป็นเบอร์โทรเข้าของบิดา ซึ่งรู้เรื่องการมาหาที่ไร่ในวันนี้ของทั้งคู่ดี
“อุ้ม...ถึงไหนแล้ว.....”
น้ำเสียงของบิดาถามอย่างห่วงใย ลักขณาใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นพ่อ น้ำตารื้นออกมาคลอเบ้า ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอมีพ่อผู้ให้กำเนิดคอยดูแลช่วยเหลืออยู่เสมอ รวมทั้งครั้งนี้ด้วย
บิดาของลักขณาได้รับมรดกไร่องุ่นจากพี่สาวที่เสียชีวิตไป และตัดสินใจเลิกทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หันมาดูแลไร่องุ่นอยู่ที่โคราชแทน หลังจากส่งเสียลูกสาวคนเดียวเรียนจนจบคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเมืองกรุงแล้ว ลูกสาวของเขาก็ตกลงปลงใจแต่งงานกับพิภพชายคนรัก ซึ่งพบกันในรั้วมหาวิทยาลัยทันที โดยไม่สนใจใยดีไปช่วยกิจการที่ไร่ของบิดาบ้างเลย
จนเมื่อบ่ายนี้เอง ที่เธอโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องเดือดร้อน พร้อมร่ำไห้อย่างหนักให้ฟัง ซึ่งพ่อก็ยังเป็นพ่อ เขาแนะนำให้ลูกสาวมาพบที่โคราชโดยด่วน
“ยังไม่ถึงสระบุรี แต่เจอทางลัดตรงไปโคราชได้เลยค่ะ”
“ทางลัด”
“ใช่ค่ะ อุ้มก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ” หญิงสาวตอบบิดาด้วยน้ำเสียงยินดี
“ไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึงบ้านแล้วค่ะพ่อ”
“แน่ใจนะ มันมีทางลัดด้วยเหรอแถวนั้นน่ะ”
“มีค่ะ ภพกำลังวิ่งรถอยู่นี่ไง ทางสะดวกมาก ฝนไม่ตกแล้วด้วย”
“พ่อก็เข้ากรุงเทพบ่อย ๆ ทำไมไม่เคยเห็นเส้นทางลัดนี้เลย ถ้ามันมีพ่อก็น่าจะเคยเห็น”
“หนูก็พึ่งรู้ค่ะว่ามีทางลัด พ่อคะ หนูเจอฝนกลางทางค่ะ อาจไปถึงโคราชช้าหน่อย”
“อืม ถ้างั้นบอกภพว่าขับรถดี ๆ แต่แน่ใจนะว่าเป็นทางลัดมาถึงโคราชได้จริง ๆ”
“ป้ายมันคงไม่โกหกหรอกค่ะ”
เมื่อบิดาย้ำอย่างไม่วางใจ หญิงสาวจึงบอกยืนยัน เริ่มจิตใจดีขึ้นจนหัวเราะออกมาได้ แต่แล้วสัญญาณโทรศัพท์พลันตัดขาดหายไปเฉย ๆ
อะไรกัน...เธอคิดในใจอย่างหงุดหงิด กำลังคุยกันอยู่ดี ๆ และเธอยังต้องการให้พ่อเตรียมอะไรไว้รออีกหลายอย่าง แต่ยังไม่ทันได้บอกอย่างที่ตั้งใจ สัญญาณมือถือกลับถูกตัดไปดื้อ ๆ หญิงสาวพยายามกดติดต่อบิดาใหม่อีกหลายครั้ง แต่ก็ดูเหมือนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ให้โทรออกได้ ลักขณาบ่นอย่างขัดใจ เธอเสียบโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงเรียกเข้าอีกเลย
“พ่อว่าไงบ้าง” พิภพเห็นภรรยารับโทรศัพท์แล้วเงียบ ไม่เล่าอะไรให้ฟังจึงหันมาถาม
“แกเป็นห่วงเรื่องนั้น” หญิงสาวยังอารมณ์เสียเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ที่ขัดข้อง เธอตอบเขาห้วน ๆ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่อรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” สามีถามซ้ำอย่างให้แน่ใจ ลักขณาชำเลืองมองอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่เข้าใจหรือไง ก็บอกอยู่นี่ว่าพ่อเป็นห่วงเรื่องนั้น”
ประชาสัมพันธ์สาวตวัดเสียงเข้าใส่ ทันใดนั้น รถก็พุ่งกระชากจากการเร่งเครื่องเต็มที่ของคนขับ จนหญิงสาวศีรษะกระแทกไปด้านหลังเพราะไม่ทันระวัง
“ว้าย จะบ้าเหรอไง ขับรถภาษาอะไร เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก”
“ถามก็หัดตอบดี ๆ หน่อย นี่ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ ยังมาทำปากดีอีก ที่ถามเพราะถ้าพ่อรู้ก็จะช่วยได้มาก เรื่องมันจะได้ง่ายเข้า” พิภพพูดด้วยอาการกัดกรามกรอด
“อ้อ โยนความผิดมาที่นี่คนเดียวเลยนะ ส่วนคุณบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
“จะชวนทะเลาะอีกแล้วเหรอ หุบปากไปเลย นั่งเฉย ๆ แล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก ถ้าไม่อยากติดคุกหัวโต”
ใบหน้าคมสันหันมาสั่งเสียงดุ สำทับเธอเสร็จก็เบือนหน้าหนี ลักขณาอึ้ง หุบปากเงียบลงทันทีตามเสียงสั่ง เพราะสะเทือนใจกับคำว่า “ติดคุกหัวโต”
ใช่สิ เพราะความรักที่มีต่อเขามากมายนั่นเอง ซึ่งมันอาจทำให้เธอถึงกับติดคุกติดตะราง แต่เขาจะเห็นใจก็หาไม่ กลับพูด-ดันให้เจ็บช้ำน้ำใจ ลักขณาขุ่นแค้นอย่างยิ่ง แต่ก็พยายามหักห้ามเอาไว้ไม่เอะอะหรือระเบิดอารมณ์ใส่เขาอีก ในยามนี้เธอกับสามีต้องหันมาสามัคคีกันเท่านั้น จึงจะสามารถรอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ไปได้
หญิงสาวกล้ำกลืนความเจ็บช้ำลงแล้วหันไปสนใจเส้นทางแทน ละแวกนี้สองข้างทางเริ่มเห็นเป็นทุ่งนา มีโรงนาใกล้ไกล ตั้งให้เห็นอยู่เป็นระยะ
บรรยากาศมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ยังพอมองเห็นท้องทุ่งกว้างไกลและกอข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปหมดทุ่ง เหลือเพียงตอข้าวซึ่งจะถูกไถกลบต่อไปเมื่อถึงเวลาเพาะปลูกครั้งใหม่ หลังจากนั้นละแวกนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งนาเขียวขจีอีกครั้งหนึ่ง วนเวียนสลับกันเรื่อยไปตามวิถีเกษตรกรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวสังเกตเห็นก็คือ ข้างทางไม่มีเสาไฟฟ้าเรียงราย แสดงว่าอีกไม่นานเส้นทางนี้จะตกอยู่ในความมืด และพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาในเส้นทางนี้ ยังไม่มีรถขับสวนทางมาแม้แต่คันเดียว มองกระจกส่องหลังก็ไม่เห็นมีรถตามมา ส่วนด้านหน้าก็เป็นถนนยาวเหยียด และทอดกลืนหายเข้าไปในความมืด ซึ่งกำลังดักหน้ารออยู่ ความวิตกกังวลก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้เธอบอกสามีให้รีบเปิดไฟหน้ารถ เพื่อใช้แสงสว่างเป็นเพื่อนนำทาง
สำหรับพิภพเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรน่ากลัว...เส้นทางลัดก็มักเป็นแบบนี้ สาเหตุที่ไม่มีรถวิ่งสวนทางก็เพราะมันไม่ได้ออกมาจากตัวเมือง ส่วนกรณีไม่มีรถวิ่งตามมาคงเป็นเพราะ ไม่มีรถคันไหนวิ่งขึ้นไปโคราชในช่วงเวลานี้...มันก็เท่านั้น...
(มีต่อ)
ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 15
โดย...ล. วิลิศมาหรา & Phycho man
ขณะนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว ข้างนอกเงียบสงบ เพราะในหมู่บ้านจัดสรรแบบนี้ เวลากลางวันคนมักออกไปทำงานกันหมด นี่เป็นช่วงนาทีสำคัญ พิภพต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้นแล้วเขาก็ตัดสินใจเลือก
“โทรหาแพมด่วน บอกว่าจะพาอรไปโรงพยาบาลอื่น ขอร้องเธออย่าบอกเรื่องนี้กับใคร แล้วค่อยหาทางอธิบายให้แพมฟังทีหลัง เราจะไปหาคุณพ่อคุณที่โคราชเดี๋ยวนี้ ให้ท่านช่วยอำพรางศพ คุณมาช่วยผมเอาอรใส่กระโปรงท้ายรถเร็วเข้า”
สีหน้าของคนเป็นภรรยาดีขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก รีบควักมือถือจากในกระเป๋าเสื้อออกมากดโทรหาเพื่อนสาวที่พึ่งจากไป สั่งกำชับทางนั้นด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนจริงจังตามที่คนเป็นสามีบอก ไม่ทันให้เพื่อนสาวซักถามเธอกดสายทิ้งทันที ซึ่งขณะเดียวกัน พิภพก็วางร่างไร้วิญญาณของอรวีลงบนเบาะนั่ง ชายหนุ่มลงมาจากรถ พลางเหลียวมองซ้ายขวา สำรวจไปรอบ ๆ
ขณะนี้บ้านทุกหลังปิดบ้านเงียบไร้วี่แววผู้คน ช่างเป็นโอกาสเหมาะที่จะขนย้ายร่างของอรวี
พิภพเปิดกระโปรงท้ายรถออก แล้วสองคนกับลักขณาช่วยกันยกร่างของหญิงชะตาขาดขึ้นใส่ท้ายรถ หลังปิดฝากระโปรงรถเก๋งเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกลับเข้าไปปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ กำจัดคราบเลือดบนพื้นให้สะอาด ชายหนุ่มควักปากกาขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ปลอมลายมืออรวีว่าเธอเดินทางไปต่างประเทศเพื่อคลอดลูก และไม่อยากติดต่อกับใคร เอามันวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานในห้องนั้น ก่อนสั่งให้ลักขณาขึ้นรถ
พิภพปิดล็อคประตูบ้านจนเรียบร้อยเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนขับรถออกไปจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังออกจากบ้านเกิดเหตุ ขณะขับรถกลับไปที่ทำงานของสามีในศูนย์การค้าชื่อดัง ลักขณาโทรติดต่อหาบิดา หญิงสาวร่ำไห้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังไปตลอดทาง ซึ่งแน่นอนว่าสมศักดิ์ เรืองเดชา บิดาของเธอตกใจ เขากำชับให้บุตรสาวกลับมาที่โคราชโดยเร็ว
ทันทีที่มาถึงจุดหมาย พิภพจอดรถไว้ตรงลานจอด แล้วตรงดิ่งเข้าไปในสำนักงาน เขาอยู่ในนั้นครู่ใหญ่ ก่อนรีบร้อนออกมาขึ้นรถ แล้วขับพาลักขณาย้อนกลับออกมา ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นการสร้างหลักฐานต่าง ๆ สำหรับการหายตัวไประยะหนึ่งของคนสามคนก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ซึ่งในที่สุด ทั้งคู่ก็อยู่บนรถที่กำลังแล่นไปตามถนนออกสู่นอกเมือง สองสามีภรรยารีบเร่งหลบหนีความผิด แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ตนเองไม่มีทางหนีพ้นเวรกรรมที่ได้กระทำเอาไว้
รถเก๋งคันงามมุ่งหน้าออกสู่ถนนนอกเมือง คนขับมีท่าทางเคร่งเครียด คิ้วเข้มของพิภพขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้เป็นภรรยานั่งมองตรงไปข้างหน้า เธอนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด คนทั้งคู่ยังอยู่ในชุดทำงาน พิภพสวมสูทสีเข้ม ผูกเนกไท ลักขณาก็ยังแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงแบบสาวออฟฟิศ ชายหนุ่มเหลือบตามองดูนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถยนต์คู่ชีพ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างเป็นกังวล
ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครกลับมืดครึ้มกว่าปกติเหมือนฝนทำท่าจะตก และพอรถแล่นออกนอกเมืองมาได้พักหนึ่ง สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก การจราจรบนเส้นทางสายหลักจึงเริ่มติดขัด ลักขณาบ่นอย่างไม่พอใจ
“ยังอีกตั้งไกล ฝนก็มาตกเอาวันนี้เสียได้ จะทันเวลาไหมนะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่นั่งคู่กันมาในรถ คนเป็นสามีเหลียวมองหน้าภรรยาแวบหนึ่ง เขาเพียงถอนหายใจอีกเฮือกอย่างกลัดกลุ้ม ไม่ตอบคำถามนั้น เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวแค่บ่นออกมาจากความวิตกกังวล ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง นี่ถ้าเพียงแต่เธอไม่ใจร้อน และเขารอบคอบกว่านี้อีกนิด เรื่องวุ่นวายอย่างในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น
ความฉุกละหุกทำให้เขากับหล่อนต้องรีบขับรถออกจากเมืองกรุง มุ่งหน้าสู่ที่หมายกะทันหันโดยไม่ทันได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ใด ๆ ติดตัวมาเลย
หลังฝนเทลงมาราวฟ้ารั่ว ไม่นานก็ซาเม็ดลง การจราจรบนท้องถนนคล่องตัวมากขึ้น พิภพรู้สึกโล่งอกเมื่อรถสามารถวิ่งทำความเร็วเพิ่มได้ดั่งใจ เขาขับรถตรงไปยังไร่องุ่นของบิดาฝ่ายหญิง ท่ามกลางบรรยากาศยามอาทิตย์ใกล้สนธยา
ฉับพลัน ชายหนุ่มต้องรีบชะลอความเร็วรถลง เพราะสังเกตพบป้ายบอกทางด้านซ้ายมือ มันเขียนด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่อันน่ายินดี มองเห็นชัดอยู่ข้างทางเบื้องหน้าว่า
...เส้นทางลัดแยกไป โคราช อีก 2 กิโลเมตร...
ชายหนุ่มเผยอยิ้ม มองพิจารณาป้ายอย่างรวดเร็ว เห็นสัญลักษณ์บอกให้เลี้ยวซ้าย ขึ้นชื่อว่าทางลัดย่อมต้องสั้นกว่าเส้นทางสายปกติแน่นอน และมันน่าจะลัดตัดตรงไปสู่โคราชได้เลย เขาหันไปบอกภรรยาว่าจะไปเส้นทางลัดนี้
รถแล่นมาอีกหน่อยก็เจอทางแยกตามที่ป้ายบอก ไวเท่าความคิด เขาเหลือบตามองกระจกส่องหลัง พอได้จังหวะก็ปาดรถคู่ชีพออกทางซ้ายมือ เข้าสู่เส้นทางลัดสายนั้นทันที
ในที่สุด ชายหนุ่มก็พบว่าขับรถอยู่บนถนนสองเลน ซึ่งแยกมาจากถนนสายหลัก ทางโล่งและเรียบน่าวิ่ง...แบบนี้คงถึงโคราชได้เร็วแน่นอน
ถึงจะเป็นถนนสองเลนแต่ก็กว้างพอให้รถวิ่งสบาย ถนนอยู่ในสภาพดีมาก สองข้างทางเป็นเทือกสวนไร่นารกร้างเห็นแต่หญ้าคาขึ้นสูง ไร้พืชผลทางการเกษตรเพาะปลูก บางแห่งเป็นป่าละเมาะ
“ต้องแบบนี้สิ”
ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างพึงใจกับเส้นทางลัด สีหน้าผ่อนคลายสบายใจขึ้น และในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของลักขณา ซึ่งเสียบไว้บนที่เสียบโทรศัพท์ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งานหน้าคอนโซลรถ ก็มีสัญญาณสายเข้าดังขึ้น มองปราดเดียวหญิงสาวก็รู้ว่าเป็นเบอร์โทรเข้าของบิดา ซึ่งรู้เรื่องการมาหาที่ไร่ในวันนี้ของทั้งคู่ดี
“อุ้ม...ถึงไหนแล้ว.....”
น้ำเสียงของบิดาถามอย่างห่วงใย ลักขณาใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นพ่อ น้ำตารื้นออกมาคลอเบ้า ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอมีพ่อผู้ให้กำเนิดคอยดูแลช่วยเหลืออยู่เสมอ รวมทั้งครั้งนี้ด้วย
บิดาของลักขณาได้รับมรดกไร่องุ่นจากพี่สาวที่เสียชีวิตไป และตัดสินใจเลิกทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หันมาดูแลไร่องุ่นอยู่ที่โคราชแทน หลังจากส่งเสียลูกสาวคนเดียวเรียนจนจบคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเมืองกรุงแล้ว ลูกสาวของเขาก็ตกลงปลงใจแต่งงานกับพิภพชายคนรัก ซึ่งพบกันในรั้วมหาวิทยาลัยทันที โดยไม่สนใจใยดีไปช่วยกิจการที่ไร่ของบิดาบ้างเลย
จนเมื่อบ่ายนี้เอง ที่เธอโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องเดือดร้อน พร้อมร่ำไห้อย่างหนักให้ฟัง ซึ่งพ่อก็ยังเป็นพ่อ เขาแนะนำให้ลูกสาวมาพบที่โคราชโดยด่วน
“ยังไม่ถึงสระบุรี แต่เจอทางลัดตรงไปโคราชได้เลยค่ะ”
“ทางลัด”
“ใช่ค่ะ อุ้มก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ” หญิงสาวตอบบิดาด้วยน้ำเสียงยินดี
“ไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึงบ้านแล้วค่ะพ่อ”
“แน่ใจนะ มันมีทางลัดด้วยเหรอแถวนั้นน่ะ”
“มีค่ะ ภพกำลังวิ่งรถอยู่นี่ไง ทางสะดวกมาก ฝนไม่ตกแล้วด้วย”
“พ่อก็เข้ากรุงเทพบ่อย ๆ ทำไมไม่เคยเห็นเส้นทางลัดนี้เลย ถ้ามันมีพ่อก็น่าจะเคยเห็น”
“หนูก็พึ่งรู้ค่ะว่ามีทางลัด พ่อคะ หนูเจอฝนกลางทางค่ะ อาจไปถึงโคราชช้าหน่อย”
“อืม ถ้างั้นบอกภพว่าขับรถดี ๆ แต่แน่ใจนะว่าเป็นทางลัดมาถึงโคราชได้จริง ๆ”
“ป้ายมันคงไม่โกหกหรอกค่ะ”
เมื่อบิดาย้ำอย่างไม่วางใจ หญิงสาวจึงบอกยืนยัน เริ่มจิตใจดีขึ้นจนหัวเราะออกมาได้ แต่แล้วสัญญาณโทรศัพท์พลันตัดขาดหายไปเฉย ๆ
อะไรกัน...เธอคิดในใจอย่างหงุดหงิด กำลังคุยกันอยู่ดี ๆ และเธอยังต้องการให้พ่อเตรียมอะไรไว้รออีกหลายอย่าง แต่ยังไม่ทันได้บอกอย่างที่ตั้งใจ สัญญาณมือถือกลับถูกตัดไปดื้อ ๆ หญิงสาวพยายามกดติดต่อบิดาใหม่อีกหลายครั้ง แต่ก็ดูเหมือนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ให้โทรออกได้ ลักขณาบ่นอย่างขัดใจ เธอเสียบโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงเรียกเข้าอีกเลย
“พ่อว่าไงบ้าง” พิภพเห็นภรรยารับโทรศัพท์แล้วเงียบ ไม่เล่าอะไรให้ฟังจึงหันมาถาม
“แกเป็นห่วงเรื่องนั้น” หญิงสาวยังอารมณ์เสียเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ที่ขัดข้อง เธอตอบเขาห้วน ๆ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่อรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” สามีถามซ้ำอย่างให้แน่ใจ ลักขณาชำเลืองมองอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่เข้าใจหรือไง ก็บอกอยู่นี่ว่าพ่อเป็นห่วงเรื่องนั้น”
ประชาสัมพันธ์สาวตวัดเสียงเข้าใส่ ทันใดนั้น รถก็พุ่งกระชากจากการเร่งเครื่องเต็มที่ของคนขับ จนหญิงสาวศีรษะกระแทกไปด้านหลังเพราะไม่ทันระวัง
“ว้าย จะบ้าเหรอไง ขับรถภาษาอะไร เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก”
“ถามก็หัดตอบดี ๆ หน่อย นี่ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ ยังมาทำปากดีอีก ที่ถามเพราะถ้าพ่อรู้ก็จะช่วยได้มาก เรื่องมันจะได้ง่ายเข้า” พิภพพูดด้วยอาการกัดกรามกรอด
“อ้อ โยนความผิดมาที่นี่คนเดียวเลยนะ ส่วนคุณบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
“จะชวนทะเลาะอีกแล้วเหรอ หุบปากไปเลย นั่งเฉย ๆ แล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก ถ้าไม่อยากติดคุกหัวโต”
ใบหน้าคมสันหันมาสั่งเสียงดุ สำทับเธอเสร็จก็เบือนหน้าหนี ลักขณาอึ้ง หุบปากเงียบลงทันทีตามเสียงสั่ง เพราะสะเทือนใจกับคำว่า “ติดคุกหัวโต”
ใช่สิ เพราะความรักที่มีต่อเขามากมายนั่นเอง ซึ่งมันอาจทำให้เธอถึงกับติดคุกติดตะราง แต่เขาจะเห็นใจก็หาไม่ กลับพูด-ดันให้เจ็บช้ำน้ำใจ ลักขณาขุ่นแค้นอย่างยิ่ง แต่ก็พยายามหักห้ามเอาไว้ไม่เอะอะหรือระเบิดอารมณ์ใส่เขาอีก ในยามนี้เธอกับสามีต้องหันมาสามัคคีกันเท่านั้น จึงจะสามารถรอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ไปได้
หญิงสาวกล้ำกลืนความเจ็บช้ำลงแล้วหันไปสนใจเส้นทางแทน ละแวกนี้สองข้างทางเริ่มเห็นเป็นทุ่งนา มีโรงนาใกล้ไกล ตั้งให้เห็นอยู่เป็นระยะ
บรรยากาศมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ยังพอมองเห็นท้องทุ่งกว้างไกลและกอข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปหมดทุ่ง เหลือเพียงตอข้าวซึ่งจะถูกไถกลบต่อไปเมื่อถึงเวลาเพาะปลูกครั้งใหม่ หลังจากนั้นละแวกนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งนาเขียวขจีอีกครั้งหนึ่ง วนเวียนสลับกันเรื่อยไปตามวิถีเกษตรกรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวสังเกตเห็นก็คือ ข้างทางไม่มีเสาไฟฟ้าเรียงราย แสดงว่าอีกไม่นานเส้นทางนี้จะตกอยู่ในความมืด และพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาในเส้นทางนี้ ยังไม่มีรถขับสวนทางมาแม้แต่คันเดียว มองกระจกส่องหลังก็ไม่เห็นมีรถตามมา ส่วนด้านหน้าก็เป็นถนนยาวเหยียด และทอดกลืนหายเข้าไปในความมืด ซึ่งกำลังดักหน้ารออยู่ ความวิตกกังวลก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้เธอบอกสามีให้รีบเปิดไฟหน้ารถ เพื่อใช้แสงสว่างเป็นเพื่อนนำทาง
สำหรับพิภพเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรน่ากลัว...เส้นทางลัดก็มักเป็นแบบนี้ สาเหตุที่ไม่มีรถวิ่งสวนทางก็เพราะมันไม่ได้ออกมาจากตัวเมือง ส่วนกรณีไม่มีรถวิ่งตามมาคงเป็นเพราะ ไม่มีรถคันไหนวิ่งขึ้นไปโคราชในช่วงเวลานี้...มันก็เท่านั้น...
(มีต่อ)