ในยุคสมัยชุนชิว มีอยู่ปีหนึ่งอากาศหนาวมาก ลมหนาวพัดกระโชกมาอย่างไม่ปรานี ที่รัฐฉีหิมะตกหนัก
โดยตกติด ๆ กันอยู่นานสามวันสามคืนไม่หยุด ปุยหิมะปลิวว่อนปกคลุมทั่วปฐพีเป็นสีขาวโพลน ไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์ชาวเมืองฉีต่างตกอยู่ในสภาพที่หนาวเหน็บและอดอยากไปตาม ๆ กัน
มีอยู่วันหนึ่ง กษัตริย์ฉีจิ่งกงแห่งรัฐฉีทรงฉลองพระองค์ด้วยหนังสัตว์อันอ่อนนุ่ม นั่งประทับทอดพระเนตร
ชมทิวทัศน์หิมะในพระตำหนักที่อบอุ่นอย่างเพลิดเพลิน พระทัยพระองค์ยิ่งพิศยิ่งทรงรู้สึกแปลกพระทัยยิ่ง ทรง
คิดในใจว่าถ้าหิมะตกหนักติดต่อกันไปอีกหลายวัน ทัศนียภาพก็จะงามล้ำยิ่งกว่านี้เป็นแน่ ในยามนี้เอี้ยนจื่อได้
มาเข้าเฝ้า ปุยหิมะที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวร่วงหล่นเต็มไปหมด กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงเกษมสำราญยิ่งตรัส
กับเอี้ยนจื่อว่า“ปีนี้อากาศประหลาดมาก ท่านดูซิ หิมะตกลงมาติด ๆ กันสามวันแล้วบนพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วย
หิมะหนาเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนาว ดูอบอุ่นเหมือนยามฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน”
เอี้ยนจื่อมองดูฉลองพระองค์หนังสัตว์อันอ่อนนุ่มของกษัตริย์ฉีจิ่งกง และกวาดดูพระตำหนักอันอบอุ่นแล้ว
ก็แกล้งทูลว่า“อากาศไม่หนาวเลยหรือพะยะค่ะ?” กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงแย้มพระสรวลคล้ายกับจะตรัสว่า ข้าโต
ขนาดนี้แล้วอากาศหนาวหรือร้อนมีหรือยังไม่รู้สึก?
เอี้ยนจื่อทราบว่ากษัตริย์ฉีจิ่งกงไม่ได้เข้าใจความหมายของเขา จึงกราบทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า“ข้าพระองค์
เคยฟังมาว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในสมัยโบราณนั้น เมื่อเสวยพระกายาหารอิ่มแล้ว ยังทรงนึก
ถึงความอดอยากของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ทรงฉลองพระองค์อบอุ่นแล้วยังทรงนึกถึงความหนาวเหน็บของประชาราษฎร์
แต่การที่จะทำให้ได้เช่นนี้เป็นเรื่องยากแสนยาก” กษัตริย์ฉีจิ่งกงฟังคำพูดของเอี้ยนจื่อแล้วทรงตรัสอะไรไม่ออก
นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า คนเรานั้นจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่คำนึงถึงผู้อื่นไม่ได้ หากต้องคิดถึงหัวอกของคนอื่นบ้าง
จากนิทานเรื่องต่อมาผู้คนได้นำไปผูกเป็นสำนวนซึ่งภาษาจีนอ่านว่า“tui ji ji ren ”( ทุย จี่ จี๋ เหริน ) หมายความว่าให้
นึกถึงใจเขาใจเรา ให้เข้าใจเห็นอกเห็นใจและคิดถึงหัวอกคนอื่น
http://www.hschinese.com/th/node/9355
推己及人 ใจเขาใจเรา
ในยุคสมัยชุนชิว มีอยู่ปีหนึ่งอากาศหนาวมาก ลมหนาวพัดกระโชกมาอย่างไม่ปรานี ที่รัฐฉีหิมะตกหนัก
โดยตกติด ๆ กันอยู่นานสามวันสามคืนไม่หยุด ปุยหิมะปลิวว่อนปกคลุมทั่วปฐพีเป็นสีขาวโพลน ไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์ชาวเมืองฉีต่างตกอยู่ในสภาพที่หนาวเหน็บและอดอยากไปตาม ๆ กัน
มีอยู่วันหนึ่ง กษัตริย์ฉีจิ่งกงแห่งรัฐฉีทรงฉลองพระองค์ด้วยหนังสัตว์อันอ่อนนุ่ม นั่งประทับทอดพระเนตร
ชมทิวทัศน์หิมะในพระตำหนักที่อบอุ่นอย่างเพลิดเพลิน พระทัยพระองค์ยิ่งพิศยิ่งทรงรู้สึกแปลกพระทัยยิ่ง ทรง
คิดในใจว่าถ้าหิมะตกหนักติดต่อกันไปอีกหลายวัน ทัศนียภาพก็จะงามล้ำยิ่งกว่านี้เป็นแน่ ในยามนี้เอี้ยนจื่อได้
มาเข้าเฝ้า ปุยหิมะที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวร่วงหล่นเต็มไปหมด กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงเกษมสำราญยิ่งตรัส
กับเอี้ยนจื่อว่า“ปีนี้อากาศประหลาดมาก ท่านดูซิ หิมะตกลงมาติด ๆ กันสามวันแล้วบนพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วย
หิมะหนาเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนาว ดูอบอุ่นเหมือนยามฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน”
เอี้ยนจื่อมองดูฉลองพระองค์หนังสัตว์อันอ่อนนุ่มของกษัตริย์ฉีจิ่งกง และกวาดดูพระตำหนักอันอบอุ่นแล้ว
ก็แกล้งทูลว่า“อากาศไม่หนาวเลยหรือพะยะค่ะ?” กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงแย้มพระสรวลคล้ายกับจะตรัสว่า ข้าโต
ขนาดนี้แล้วอากาศหนาวหรือร้อนมีหรือยังไม่รู้สึก?
เอี้ยนจื่อทราบว่ากษัตริย์ฉีจิ่งกงไม่ได้เข้าใจความหมายของเขา จึงกราบทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า“ข้าพระองค์
เคยฟังมาว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในสมัยโบราณนั้น เมื่อเสวยพระกายาหารอิ่มแล้ว ยังทรงนึก
ถึงความอดอยากของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ทรงฉลองพระองค์อบอุ่นแล้วยังทรงนึกถึงความหนาวเหน็บของประชาราษฎร์
แต่การที่จะทำให้ได้เช่นนี้เป็นเรื่องยากแสนยาก” กษัตริย์ฉีจิ่งกงฟังคำพูดของเอี้ยนจื่อแล้วทรงตรัสอะไรไม่ออก
นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า คนเรานั้นจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่คำนึงถึงผู้อื่นไม่ได้ หากต้องคิดถึงหัวอกของคนอื่นบ้าง
จากนิทานเรื่องต่อมาผู้คนได้นำไปผูกเป็นสำนวนซึ่งภาษาจีนอ่านว่า“tui ji ji ren ”( ทุย จี่ จี๋ เหริน ) หมายความว่าให้
นึกถึงใจเขาใจเรา ให้เข้าใจเห็นอกเห็นใจและคิดถึงหัวอกคนอื่น
http://www.hschinese.com/th/node/9355