ร้อยเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
วัดกุฎีดาว
พระตำหนักกำมะเลียน ภายในบริเวณวัดกุฎีดาว
พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ"มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์ พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับ อย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ดังนี้... ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดินมากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตาเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทางซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดินจำนวนเท่าไร? โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับเพื่อฝังทรัพย์สมบัติอันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจนหมดเมืองเจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทางพวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้
บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืมหรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุดเอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลานญาติของตน
ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคลที่เจ้าของทรัพย์เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง
ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษาอยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่านจึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง
ลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วย
รงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้
ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมาย
เป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่าสูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็น
ผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!
ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง
หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบเห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!
หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ
อักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด
ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!!
พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่น
ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติ
ไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆ
จะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงาน
ในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)
เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตรมีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆ
ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่
โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก
หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา
มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหา
สมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น
เพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!
คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหาย
ลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา
เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน
วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหา
ไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่
เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม
ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือ
เครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุด
พักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้
อาภรรพ์ขุมทรัพย์วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!
ร้อยเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
วัดกุฎีดาว
พระตำหนักกำมะเลียน ภายในบริเวณวัดกุฎีดาว
พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ"มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์ พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับ อย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ดังนี้... ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดินมากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตาเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทางซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดินจำนวนเท่าไร? โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับเพื่อฝังทรัพย์สมบัติอันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจนหมดเมืองเจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทางพวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้
บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืมหรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุดเอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลานญาติของตน
ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคลที่เจ้าของทรัพย์เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง
ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษาอยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่านจึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง
ลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วย
รงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้
ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมาย
เป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่าสูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็น
ผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!
ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง
หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบเห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!
หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ
อักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด
ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!!
พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่น
ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติ
ไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆ
จะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงาน
ในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)
เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตรมีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆ
ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่
โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก
หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา
มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหา
สมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น
เพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!
คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหาย
ลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา
เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน
วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหา
ไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่
เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม
ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือ
เครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุด
พักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้