Sequoia National Park คืออุทยานแห่งชาติที่เราจะไปท้าแดดกันในครั้งนี้ แบบเช้ากลับเย็นซะด้วย 6 ชีวิตวัยละอ่อนเหลือน้อย นับอายุแล้วรวมกันเกือบ 300 ก็ไปลุยป่าต้นไม้ยักษ์โบราณที่อายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี วัยขนาดนี้จะไปดูต้นไม้อายุไม่กี่ปีก็กระไรอยู่ อุทยานแห่งนี้เขาโด่งดังในเรื่องความมหึมาของต้น Red wood สายพันธุ์ Sequoia tree และ General Sherman Tree ต้นไม้ที่ใหญ่และมีอายุยืนยาวที่สุดในโลกและไม่ได้มีแค่ต้นเดียว แต่มีเป็นป่าเลย
[CR] Sequoia National Park ผจญภัยป่าดึกดำดรรพ์กับต้นไม้ที่ใหญ่และอายุยืนที่สุดในโลก
Sequoia National Park คืออุทยานแห่งชาติที่เราจะไปท้าแดดกันในครั้งนี้ แบบเช้ากลับเย็นซะด้วย 6 ชีวิตวัยละอ่อนเหลือน้อย นับอายุแล้วรวมกันเกือบ 300 ก็ไปลุยป่าต้นไม้ยักษ์โบราณที่อายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี วัยขนาดนี้จะไปดูต้นไม้อายุไม่กี่ปีก็กระไรอยู่ อุทยานแห่งนี้เขาโด่งดังในเรื่องความมหึมาของต้น Red wood สายพันธุ์ Sequoia tree และ General Sherman Tree ต้นไม้ที่ใหญ่และมีอายุยืนยาวที่สุดในโลกและไม่ได้มีแค่ต้นเดียว แต่มีเป็นป่าเลย
เมื่อไปถึงต้องเสียค่าเข้าอุทยานด้วย รถ 1 คันเสีย $30 มอเตอร์ไซค์คันละ $25 ใช้ได้ 7 วัน หรือแบบเที่ยวได้ทั้งปีก็เสีย $50 ภายในอุทยานจะมีจุดท่องเที่ยวรายทาง จุดแรกที่ทุกคนจะได้เจอคือ Tunnel Rock อุโมงค์หินแกรนิตขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ใครผ่านไปมาก็ต้องแวะจอดถ่ายรูปกัน มีทางเดินขึ้นไปยืนบนยอดหินได้ด้วย
ขับรถต่อมาอีกไม่ไกลก็จะถึง Hospital rock ตรงส่วนนี้จะเป็น Picnic area ด้วย ตรงจุดนี้จะมองเห็น Moro Rock หินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ดูไปดูมาเหมือนหัวช้างเลย เดินไปนิดหน่อยก็เจอหินขนาดใหญ่ (อีกแล้ว)ในอดีตเคยเป็นที่อาศัยของชาวอเมริกันพื้นเมืองหรืออินเดียแดงไป จะมีภาพเขียนโบราณที่ผนังหินก้อนนี้ และหลุมบนโขดหินที่เขาทำขึ้นไว้ใช้แทนครกเพื่อตำลูกโอ็คสำหรับนำไปประกอบอาหาร และเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะเคยมีนักสำรวจอุทยานแห่งนี้ได้รับบาดเจ็บและชาวอินเดียแดงก็ใช้ถ้ำที่ใต้หินก้อนนี้เป็นที่รักษานักสำรวจคนนั้น จนเขาได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า Hospital rock นั่นเอง ภายในบริเวณนี้มีทางเดินลงไปที่น้ำตกด้วย เสียดายไม่ได้เดินลงไปเพราะทางเดินลงลำบาก
พอเริ่มขับรถลึกเข้าไปก็จะเริ่มเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ในยุคจูลาสสิคพารค์ยังไงอย่างงั้นเลย
ที่นี้ก็มาถึง Giant forest museum ตรงนี้จะเป็นจุดรวมของนักท่องเที่ยว เพราะสามารถเดินชมต้น Redwood ที่ยืนต้นอวดศักดา สูงเสียดฟ้ามากมายหลายต้น อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปชมประวัติความเป็นมาของที่นี่ได้อีกด้วย
ถัดมาไปต่อกันที่ Auto log ซากต้นไม้ที่ล้มตั้งแต่ปี 1917 ความยาวถึง21 ฟุต ที่รากไม้กลายเป็นประติมากรรมอันสวยงามให้รถเกือบทุกคันต้องแวะจอดและปีนขึ้นไปแอคชั่นถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันยกใหญ่
และที่พลาดไม่ได้เลยคือ Moro rock ตั้งแต่ที่ขับรถเข้ามาที่นี่ทุกคนจะต้องเห็นภูเขาลูกนี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่เลย เขาว่ากันว่าถ้ามาแล้วขึ้นไปไม่ถึงเหมือนมาไม่ถึงที่นี่ เอาก็เอา กะอีแค่บันได 400 ขั้นท่ามกลางอากาศร้อน 40 องศาไปไม่ถึงให้มันรู้ไป ก็ขนาดพ่อลูกคู่นี้กับความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อที่มีต่อลูก ยังยอมแบกลูกที่เดินไม่ได้เดินขึ้นไปสู่ยอดเขาเลย
ในอดีตที่นี่เป็นบันไดไม้ ต่อมาภูมิสถาปนิกของอุทยานก็ได้ออกแบบบันไดหินให้กลมกลืมกับธรรมชาติมากที่สุด ทำเป็นทางขึ้นเพื่อใหชมความงดงามของอุทยานแห่งนี้แบบพาโนรามากันเลยทีเดียว (แก๊งเราไป 6 ถอดใจไม่ขึ้นเลย 1 คน ถอดใจระหว่างทาง 2 เหลือแค่ 3 ขึ้นไปถึงจุดสุดยอด เย้เย้เย้)
และอีกหนึ่งไฮไล์ของที่นี่ก็คือ Tunnel log รถทุกคันจะขับมาที่นี่เข้าแถวรอลอดผ่านอุโมงค์ต้นซาโคยย่ายักษ์ที่ล้มปิดถนนตั้งแต่ปี 1937 และด้วยความชาญฉลาดในการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่จึงเจาะเป็นอุโมงค์ให้รถวิ่งผ่าน จนกลายเป็นภาพที่ฮิตฮอตของที่นี่กันเลยทีเดียว
ทริปร้อนๆ วันนี้ก็หมดแบบร้อนๆ ไปอีกวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกรูขุมขนก็ยังรับรู้ถึงไอแดดที่ร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงจะร้อน ป่าจะแล้งไปนิด ก็ยังมีความสวยงามอยู่เสมอ ทุกฤดูมีงามที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะฤดูไหนโลกภายนอกก็ยังคงงดงามอยู่เสมอ