==============
แก้ว......กลางใจ
==============
แก้วรีบหลบวูบไปก่อนที่พ่อของผมจะโผล่มาบริเวณหลังบ้าน
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมพ่อถึงไม่ชอบเธอ...หรือผมอาจจะรู้ แต่อาจแกล้งไมรู้ก็ได้
แก้วเป็นเด็กผู้หญิง ตัวเล็กๆ รูปร่างหน้าตาไม่ได้น่ารักสวยงามเหมือนเด็กๆ ในละครหลัง ข่าวผิวของเธอกร้านดำเพราะการทำงานหนัก เส้นผมของเธอหยาบกร้าน เพราะอยู่ท่ามกลางแสงแดดของชนบท
เด็กหญิงอายุประมาณสิบกว่าขวบต้นๆ ซึ่งก็อยู่ในวัยเดียวกับผมเอง เราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกัน เรียนอยู่ห้องเดียวกัน แม้ว่าบ้านจะอยู่คนละฟากของหมู่บ้าน แต่ด้วยความที่มีนิสัยหลายๆ อย่างคล้ายๆ กัน ทำให้เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด แก้วอาศัยอยู่กับยายท้ายหมู่บ้าน พ่อแม่ไปทำงานในกรุงเทพ นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยพูดเหมือนกัน พวกเรารู้จักกันตั้งแต่อายุ6 – 7 ขวบ จากการที่ผมตอนเด็กๆ มักออกไปปีนต้นไม้แถวทุ่งนาซึ่งห่างหมู่บ้านไม่มากนัก ก็ไม่ได้ต้องการจะกินผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ หากเป็นความสนุกและซุกซนตามประสาเด็กมากกว่า
ผมเองก็ใช่ว่าจะดีกว่าเธอ...ผมและแก้วเคยชวนกันไปดูทีวีที่บ้านของกำนัน ผู้มีทีวีเครื่องเดียวในหมู่บ้าน แต่กำนันใจดี วันเสาร์และอาทิตย์จะเปิดบ้านให้พวกเราขึ้นไปนั่งดูทีวีในบ้านของลุงกำนัน จะรู้สึกไม่ดีบ้าง ก็ตรงลูกสาวลุงกำนันชอบมองพวกเราแบบเหยียดๆ เหมือนว่าพวกเราต้องไปง้อ เพราะอยากดูทีวี
แต่พวกเราชาวทุ่ง ไม่มีใครถือสา..เส้นแบ่งของสังคมมีอยู่เสมอและพวกเราก็ยอมรับได้ ไม่แปลกอะไรเลยกับการวันหยุดเรียน ที่พวกเราจะจับกลุ่มไปดูทีวีที่บ้านกำนัน
ผมเคยชวนแก้วให้ไปดูการ์ตูนน่ารักทางจอทีวี ที่บ้านลุงกำนัน แก้วมักปฏิเสธเสมอ
จะไปเก็บผักให้คุณยาย..............จะไปหุงข้าวให้คุณยาย...
เป็นข้ออ้างเสมอ.. แก้วนะแก้ว..
รู้กันว่าแก้วอาศัยอยู่กับคุณยายท้ายหมู่บ้าน ผมว่าใครที่เคยไปคุยกับคุณยายจะต้องรักคุณยาย เพราะรอยยิ้มดูแล้วอบอุ่นเหลือเกิน จนเติมเต็มอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปได้ สายตาของคุณยายเหมือนผ่านเรื่องราวมามากมาย และคุณยายไม่เคยทำร้ายใครว่าไม่ว่าคำพูดหรือการกระทำ
จนบางครั้งผมเองยังอยากวิ่งไปกอดคุณยายเลย.เพราะรู้สึกถึงความอบอุ่นแลจริงใจแบบอธิบายไม่ได้
แก้วไม่เคยเที่ยวกลางคืน แม้จะมีงานวัด งานสนุก บางคืนมีหนังขายยาละหนังน่าสนุก ผมชวนแก้วให้ไปดูด้วยกัน โดยผมจะเป็นคนแบกเสื่อพากันไปนั่งดูหนังขายยา และอาสาจะเดินเป็นเพื่อนส่งแก้วถึงบ้าน
แต่แก้วไม่เคยไปเที่ยวกลางคืนกับผมเลย
แก้วชอบเล่นขายของแบบเด็กๆ อยู่กับบ้าน เอาใบไม้แทนเงิน เอาดินแทนอาหาร เอาผมแทนลูกค้า
พวกเราจะแอบเล่นกันเสมอ บางครั้งผมเป็นพ่อ แก้วเป็นแม่....ครอบครัวสมมุติ ดูเด็ก แต่มีความหมาย จนเย็นวันหนึ่ง ที่ทำให้ผมเกลียดพ่อผมเหลือเกิน ทำไมพวกผู้ใหญ่ไม่เข้าใจถึงจินตนาการและโลกของเด็กเอาเสียเลย...พ่อครับ..แม่ครับ....พ่อแม่ก่อนจะมาเป็นพ่อแม่ผม ก็เคยเป็นเด็กมาก่อนไม่ใช่หรือครับ
พ่อผมเริ่มสังเกตได้....ผมรู้..
พ่อของผมมองพื้นดินใต้ต้นมะม่วงอย่างสงสัย ซึ่งมีของเล่นแบบเด็กๆ หลายชิ้นวางอยู่ ตะเกียงดวงเล็กๆ ตั้งอยู่บนแคร่ให้แสงสลัววับแวมใต้ร่มเงามืดและเงาเมฆ
“ผมเอามาเล่นเองครับ.....” ผมรีบบอก แต่ไม่ได้บอกว่าแก้วเธอมาชวนไปจับแมงจินูน และถ้าพ่อรู้ความจริงก็คงไม่ยอมให้ผมไปแน่ๆเพราะว่ามืดแล้ว บ้านนอกคอกนาแค่ทุ่มกว่าๆก็ดูมืดและเงียบสงัด พอถึงสองทุ่มกว่าแทบทุกบ้านก็จะดับไฟนอนกันแล้ว พวกเรานอนเร็วเพราะต้องการเอาแรงไว้เผชิญหน้ากับวันรุ่งขึ้น
ผมรู้ว่าพ่อรู้แล้วตั้งแต่วันนั้น..แต่พ่อคือพ่อ....นั่นล่ะที่ผมรักท่านเหลือเกิน ขอบคุณครับคุณพ่อ..
หน้าร้อนอากาศร้อนจัด สายลมหน้าร้อนไม่เคยปรานี หน้านี้เป็นหน้าแมงจินูน สัตว์ตัวเล็กๆ ที่ออกมาจับอยู่ตามต้นไม้ วิธิการจับก็ง่ายมาก แค่ถือตะเกียงและกระป๋องน้ำออกไป หาต้นไม้ริมหมู่บ้านต้นเหมาะๆ แล้วออกแรงเขย่า สัตว์ที่น่าสงสารแต่น่ากินก็จะร่วงลงมาให้เราเก็บใส่ในกระป๋องน้ำ ความหิวและความยากจนบวกกับความเป็นเด็กทำให้เราไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษเท่าไรนัก และมีหลายครั้งที่เราต้องเจอคู่แข่งหลายกลุ่มที่ออกล่าแมงจินูนเหมือนกัน
พอได้แมงจินูนมาในปริมาณพอเพียง ผมก็จะให้แก้วจัดการเอาไปคั่วเป็นอาหารเมื่อเที่ยงของโรงเรียน รสมันจากแมงจินูนความเค็มของเกลือที่โรยลงตอนคั่ว และกลิ่นหอมที่เกิดจากการคั่วด้วยหม้อเก่าๆ ทำให้เรากินข้าวมื้อเที่ยงกันอย่างอร่อย ไม่ได้อิจฉาเพื่อนฐานะดีที่ไม่เคยห่อข้าว หากแวะเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียน
ผมกับแก้วเคยไปยืนดูพวกเพื่อนเหล่านั้นกินอาหารจากจานสวยๆ และส่งกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ได้นึกอิจฉาตาร้อนอะไร บางวันเด็กๆยากจนอย่างพวกเราจะโชคดีได้น้ำแข็งมากินฟรีๆ น้ำแข็งที่เทออกจากรถขายไอติมของครูท่านหนึ่ง ภรรยาของครูท่านนั้นเป็นคนขาย วันไหนขายหมดจะล้างรถขายไอติมโดยการเทน้ำแข็งออกจากรถเข็น นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเราจะวิ่งเข้าไปแย่งก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเทลงบนพื้นดิน แต่เอามาล้างเศษดินออกก็กินได้แล้ว
ผมจำภาพแก้วถือเสียมถือข้องออกไปหาหอยตามผืนนาที่แห้งแล้งในหน้าร้อน และเธอนั่นเองเป็นคนสอนให้ผมรู้จักการเอาเสียมงัดพื้นดินแตกระแหงหาหอยซึ่งซุกตัวหลบร้อนอยู่ใต้พื้นดิน เธอแหงนหน้ามองผมผู้กำลังเอกเขนกอยู่บนต้นมะไฟซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น เธอไม่ได้ร้องขอ แต่ผมโยนลงไปให้เธอเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ
ผมไม่เคยลืมภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มอมแมม ในเสื้อผ้าเก่าๆสีซีดๆ แต่คล่องแคล่วในการทำมาหากิน ได้ติดตาติดใจจนทุกวันนี้
ในขณะนักเรียนๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในโรงอาหารตอนเที่ยง บางคนจะกระจายกันอยู่รอบๆ สระน้ำข้างอาคาร เปิดห่อข้าวออกมากินกันตามประสา บางครั้งบางคนก็จะมีมื้อเที่ยงที่พิเศษ โดยการวิ่งไปซื้อส้มตำมาจากโรงอาหารมาเสริมบารมีให้กับอาหารมื้อนั้นแม้ค้าจะห่อด้วยใบตองเป็นห่อเล็กๆ คล้ายๆ ห้อหมก และราคาก็ไม่แพง เหมาะกับนักเรียนส่วนใหญ่
ผมกับแก้วเลือกเอาใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟากหนึ่งของสนามฟุตบอล กินไปและมักจะนั่งคุยกัน หรือดูเด็กผู้ชายเตะฟุตบอลกันกลางแดดร้อนๆ จนเสียงระฆังหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น นักเรียนต่างมุ่งหน้าสู่ห้องเรียนของตนเอง ไม่มีที่ให้ไปแบบสูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน เพราะว่าโรงเรียนอยู่ในพื้นที่โล่งแบบบ้านนอกคอกนา ถ้าใครคิดจะหนีเรียน ก็จะมองเห็นทั้งหมู่บ้าน
“แก้วอยากไปเรียนในเมือง”
เธอเคยบอกอย่างนั้น นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นและฝันไกล
“แก้วอยากเรียนในโรงเรียนดีๆ จะได้ความรู้มากๆ โตขึ้นจะทำงานมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆๆ”
ความคิดแบบนั้นก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ ไม่ได้หมายถึงความทะเยอทะยาน อะไรมากมาย วัยเด็กก็ย่อมมีความฝันแบบเด็กๆ
“เรียนที่นี่ไม่ดีเหรอแก้ว..” ผมถามเรื่อยๆ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดแบบนั้นของเพื่อนต่างเพศคนแรก
“มันก็ดีนะ...แต่ไม่รู้สิ แก้วอยากไปในเมือง “
“กลับมาก็จะกลายเป็นเด็กในไห...กินปลาร้าไม่ได้ แต่งหน้าทาแดงแดงแจ๋”
แก้วหัวเราะให้กับคำพูดของผม แน่นอนเธอไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่ เธอไม่ใช่คนที่จะได้ดีแล้วลืมตัวแบบนั้น หลายคนในชนบทที่มีฐานะมักจะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือในเมือง แต่สังเกตว่าหลายคนเรียนไม่จบ บางคนกลายเป็นคนติดยาหรืออันธพาลไปเลยก็มี ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“แก้วอยากหาเงินมาสร้างบ้านให้คุณยาย”
แก้วเคยวาดภาพฝันไว้อย่างนั้นจริงๆ
ถ้าจะว่ากันตรง ๆ ฐานะของเธอดูจะแย่กว่าครอบครัวของผมเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ที่ไปทำงานในกรุงก็คงไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนคิดและอยากจะไป คนเรียนจบป. 4 งานในกรุงก็คงไม่พ้นการใช้แรงกายเป็นพื้นฐาน ผลการเรียนของแก้วอยู่ในระดับดี ไม่เคยต่ำกว่าอันดับที่สี่ของห้อง ในขณะที่ผมมักจะได้อันดับค่อนไปทางท้ายๆ แก้วเป็นที่รักของเอนและคุณครุ อันเนื่องมาจากนิสัยที่มีน้ำใจและความสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม้แต่นักเรียนที่เกเรที่สุดในโรงเรียนก็ไม่กล้ามาตอแยกับแก้ว
แต่ด้วยความที่เรามักเป็นเงาของกันและกัน ทำให้ถูกล้อว่าเป็นแฟนกัน ตามธรรมดาคู่ไหนโดนล้อแบบนั้นมักจะอายจนบางคู่แทบไม่กล้าคุยกันแต่หน้าเพื่อนๆ แต่ผมกับแก้วไม่อยู่ในกฎมาตรฐานนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความเป็นเพื่อนของเราได้ และฟงแฟนอะไรที่ว่าพวกเราก็ยังไม่เข้าใจสักนิด เรื่องความรักแบบผู้ใหญ่ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ไม่เข้าถึง รู้แค่ว่าเราเป็นเพื่อนกันและจะเป็นตลอดไป
วันหยุดถ้าผมไม่ไปขลุกอยู่ที่บ้านของแก้ว ไปช่วยยายกวาดบ้านถูพื้นเท่าที่จะทำได้ แก้วก็จะเป็นฝ่ายมาหาที่บ้านพร้อมกับมาช่วยกวาดลานหน้าบ้านถูบ้านซักผ้าเป็นการแลกเปลี่ยนมิตรภาพ คนทั้งหมู่บ้านพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าคู่นี้โตขึ้นต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันของผู้ใหญ่ ทุกอย่างดูราบรื่นเหลือเกิน แต่อย่างว่าล่ะครับ ผมกับแก้วไม่เคยคิดอะไรไกลไปกว่าความเป็นเพื่อน
“โตขึ้นถ้าเธอแต่งงานจะเลือกผู้หญิงแบบไหน”
แก้วเคยถามแบบนั้น จำได้ว่าผมยิ้มและยึดอกตอบอย่างภาคภูมิใจในความคิดของตัวเองว่า
“แน่นอนแก้ว แฟนฉันต้องสวยๆๆรวยๆๆใจดีเรียนเก่งเหมือนแก้ว แต่สวยกว่าแก้ว.แล้วเธอล่ะจะมีแฟนแบบไหน”
“แน่นอนเหมือนกันว่า แฟนแก้วต้องหล่อๆสูงๆรวยๆ ใจดี”
“แบบนี้เราก็เป็นแฟนกันไม่ได้สิ”
แล้วพวกเราก็หัวเราะให้กับคำพูดแบบนั้น ไม่มีอะไรติดใจหรือค้างคาใจ คำพูดแบบนั้นไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรือเก็บเอาไปคิด เพราะพวกเราต่างรู้นิสัยกันจนเกินกว่าจะถือสากับคำพูดสมเพลมพัด
“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ”
“แน่นอนแก้ว....” เป็นคำพุดที่ผมไม่เคยลืมเลย
แสงตะเกียงสั่นไฟวูบวาบตามสายลมเยือกเย็น พ่อของผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปยังเงาไม้หลังบ้าน สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ แต่ผมกลับรู้สึกร้อนวูบไปทั้งแผ่นหลัง กลัวพ่อจะเจอแก้วที่เพิ่งหลบออกไป
“ไปกันได้แล้ว” ในที่สุดพ่อก็พูดสั้นๆ หันหลังเดินกลับไป คงจะไปจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น คนอย่างพ่อไม่มีวันเข้าใจ แต่ผมเห็นน้ำตาของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต
ผมยืนรออยู่ครู่หนึ่ง พยายามมองหาแก้วในความมืด แต่ตอนนี้เหลือเพียงความมืดเท่านั้น ความมืดอันน่าใจหาย
“ฉันต้องไปก่อนนะแก้ว” ผมพูดเบาๆ หันหน้ามองหลัง เกรงว่าพ่อจะได้ยิน กลัวได้ยินเสียงน้ำตาของตัวเอง
“ฉันต้องไปกับพ่อ ไปงานศพของเธอ แล้วกลับมาค่อยคุยกันใหม่นะแก้ว”
หูเหมือนได้ยินเสียงของแก้วตอบมาเบาๆ ปนกับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกที ดวงจันทร์หลบเข้าเงาเมฆ เงาไม้ไหวสะบัดดูไปเหมือนภูติผีกำลังเริงร่า เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นดังมาจากท้ายหมู่บ้านฟังดูเยือกเย็นและวังเวง อย่างน่าขนลุก แสงไฟวับแวมจากตะเกียงเป็นพิเศษในคืนนี้ คืนซึ่งมีงานศพของแก้ว... ผู้ซึ่งตายไปจากโรคไข้เลือดออกอย่างไม่คาดฝัน โรคที่สมัยนี้ดูธรรมดาเหลือเกิน.....
“ฉันไปล่ะนะแก้ว......”
เสียงของผมหายไปเพราะก้อนสะอื้นและน้ำตา แก้วคงไม่ลืมเพื่อนคนนี้นะ เพื่อนคนนี้จะรอแก้วตลอดไป....
++
จบแล้วครับ งือๆๆๆๆ
แก้ว......กลางใจ
แก้ว......กลางใจ
==============
แก้วรีบหลบวูบไปก่อนที่พ่อของผมจะโผล่มาบริเวณหลังบ้าน
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมพ่อถึงไม่ชอบเธอ...หรือผมอาจจะรู้ แต่อาจแกล้งไมรู้ก็ได้
แก้วเป็นเด็กผู้หญิง ตัวเล็กๆ รูปร่างหน้าตาไม่ได้น่ารักสวยงามเหมือนเด็กๆ ในละครหลัง ข่าวผิวของเธอกร้านดำเพราะการทำงานหนัก เส้นผมของเธอหยาบกร้าน เพราะอยู่ท่ามกลางแสงแดดของชนบท
เด็กหญิงอายุประมาณสิบกว่าขวบต้นๆ ซึ่งก็อยู่ในวัยเดียวกับผมเอง เราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกัน เรียนอยู่ห้องเดียวกัน แม้ว่าบ้านจะอยู่คนละฟากของหมู่บ้าน แต่ด้วยความที่มีนิสัยหลายๆ อย่างคล้ายๆ กัน ทำให้เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด แก้วอาศัยอยู่กับยายท้ายหมู่บ้าน พ่อแม่ไปทำงานในกรุงเทพ นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยพูดเหมือนกัน พวกเรารู้จักกันตั้งแต่อายุ6 – 7 ขวบ จากการที่ผมตอนเด็กๆ มักออกไปปีนต้นไม้แถวทุ่งนาซึ่งห่างหมู่บ้านไม่มากนัก ก็ไม่ได้ต้องการจะกินผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ หากเป็นความสนุกและซุกซนตามประสาเด็กมากกว่า
ผมเองก็ใช่ว่าจะดีกว่าเธอ...ผมและแก้วเคยชวนกันไปดูทีวีที่บ้านของกำนัน ผู้มีทีวีเครื่องเดียวในหมู่บ้าน แต่กำนันใจดี วันเสาร์และอาทิตย์จะเปิดบ้านให้พวกเราขึ้นไปนั่งดูทีวีในบ้านของลุงกำนัน จะรู้สึกไม่ดีบ้าง ก็ตรงลูกสาวลุงกำนันชอบมองพวกเราแบบเหยียดๆ เหมือนว่าพวกเราต้องไปง้อ เพราะอยากดูทีวี
แต่พวกเราชาวทุ่ง ไม่มีใครถือสา..เส้นแบ่งของสังคมมีอยู่เสมอและพวกเราก็ยอมรับได้ ไม่แปลกอะไรเลยกับการวันหยุดเรียน ที่พวกเราจะจับกลุ่มไปดูทีวีที่บ้านกำนัน
ผมเคยชวนแก้วให้ไปดูการ์ตูนน่ารักทางจอทีวี ที่บ้านลุงกำนัน แก้วมักปฏิเสธเสมอ
จะไปเก็บผักให้คุณยาย..............จะไปหุงข้าวให้คุณยาย...
เป็นข้ออ้างเสมอ.. แก้วนะแก้ว..
รู้กันว่าแก้วอาศัยอยู่กับคุณยายท้ายหมู่บ้าน ผมว่าใครที่เคยไปคุยกับคุณยายจะต้องรักคุณยาย เพราะรอยยิ้มดูแล้วอบอุ่นเหลือเกิน จนเติมเต็มอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปได้ สายตาของคุณยายเหมือนผ่านเรื่องราวมามากมาย และคุณยายไม่เคยทำร้ายใครว่าไม่ว่าคำพูดหรือการกระทำ
จนบางครั้งผมเองยังอยากวิ่งไปกอดคุณยายเลย.เพราะรู้สึกถึงความอบอุ่นแลจริงใจแบบอธิบายไม่ได้
แก้วไม่เคยเที่ยวกลางคืน แม้จะมีงานวัด งานสนุก บางคืนมีหนังขายยาละหนังน่าสนุก ผมชวนแก้วให้ไปดูด้วยกัน โดยผมจะเป็นคนแบกเสื่อพากันไปนั่งดูหนังขายยา และอาสาจะเดินเป็นเพื่อนส่งแก้วถึงบ้าน
แต่แก้วไม่เคยไปเที่ยวกลางคืนกับผมเลย
แก้วชอบเล่นขายของแบบเด็กๆ อยู่กับบ้าน เอาใบไม้แทนเงิน เอาดินแทนอาหาร เอาผมแทนลูกค้า
พวกเราจะแอบเล่นกันเสมอ บางครั้งผมเป็นพ่อ แก้วเป็นแม่....ครอบครัวสมมุติ ดูเด็ก แต่มีความหมาย จนเย็นวันหนึ่ง ที่ทำให้ผมเกลียดพ่อผมเหลือเกิน ทำไมพวกผู้ใหญ่ไม่เข้าใจถึงจินตนาการและโลกของเด็กเอาเสียเลย...พ่อครับ..แม่ครับ....พ่อแม่ก่อนจะมาเป็นพ่อแม่ผม ก็เคยเป็นเด็กมาก่อนไม่ใช่หรือครับ
พ่อผมเริ่มสังเกตได้....ผมรู้..
พ่อของผมมองพื้นดินใต้ต้นมะม่วงอย่างสงสัย ซึ่งมีของเล่นแบบเด็กๆ หลายชิ้นวางอยู่ ตะเกียงดวงเล็กๆ ตั้งอยู่บนแคร่ให้แสงสลัววับแวมใต้ร่มเงามืดและเงาเมฆ
“ผมเอามาเล่นเองครับ.....” ผมรีบบอก แต่ไม่ได้บอกว่าแก้วเธอมาชวนไปจับแมงจินูน และถ้าพ่อรู้ความจริงก็คงไม่ยอมให้ผมไปแน่ๆเพราะว่ามืดแล้ว บ้านนอกคอกนาแค่ทุ่มกว่าๆก็ดูมืดและเงียบสงัด พอถึงสองทุ่มกว่าแทบทุกบ้านก็จะดับไฟนอนกันแล้ว พวกเรานอนเร็วเพราะต้องการเอาแรงไว้เผชิญหน้ากับวันรุ่งขึ้น
ผมรู้ว่าพ่อรู้แล้วตั้งแต่วันนั้น..แต่พ่อคือพ่อ....นั่นล่ะที่ผมรักท่านเหลือเกิน ขอบคุณครับคุณพ่อ..
หน้าร้อนอากาศร้อนจัด สายลมหน้าร้อนไม่เคยปรานี หน้านี้เป็นหน้าแมงจินูน สัตว์ตัวเล็กๆ ที่ออกมาจับอยู่ตามต้นไม้ วิธิการจับก็ง่ายมาก แค่ถือตะเกียงและกระป๋องน้ำออกไป หาต้นไม้ริมหมู่บ้านต้นเหมาะๆ แล้วออกแรงเขย่า สัตว์ที่น่าสงสารแต่น่ากินก็จะร่วงลงมาให้เราเก็บใส่ในกระป๋องน้ำ ความหิวและความยากจนบวกกับความเป็นเด็กทำให้เราไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษเท่าไรนัก และมีหลายครั้งที่เราต้องเจอคู่แข่งหลายกลุ่มที่ออกล่าแมงจินูนเหมือนกัน
พอได้แมงจินูนมาในปริมาณพอเพียง ผมก็จะให้แก้วจัดการเอาไปคั่วเป็นอาหารเมื่อเที่ยงของโรงเรียน รสมันจากแมงจินูนความเค็มของเกลือที่โรยลงตอนคั่ว และกลิ่นหอมที่เกิดจากการคั่วด้วยหม้อเก่าๆ ทำให้เรากินข้าวมื้อเที่ยงกันอย่างอร่อย ไม่ได้อิจฉาเพื่อนฐานะดีที่ไม่เคยห่อข้าว หากแวะเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียน
ผมกับแก้วเคยไปยืนดูพวกเพื่อนเหล่านั้นกินอาหารจากจานสวยๆ และส่งกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ได้นึกอิจฉาตาร้อนอะไร บางวันเด็กๆยากจนอย่างพวกเราจะโชคดีได้น้ำแข็งมากินฟรีๆ น้ำแข็งที่เทออกจากรถขายไอติมของครูท่านหนึ่ง ภรรยาของครูท่านนั้นเป็นคนขาย วันไหนขายหมดจะล้างรถขายไอติมโดยการเทน้ำแข็งออกจากรถเข็น นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเราจะวิ่งเข้าไปแย่งก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเทลงบนพื้นดิน แต่เอามาล้างเศษดินออกก็กินได้แล้ว
ผมจำภาพแก้วถือเสียมถือข้องออกไปหาหอยตามผืนนาที่แห้งแล้งในหน้าร้อน และเธอนั่นเองเป็นคนสอนให้ผมรู้จักการเอาเสียมงัดพื้นดินแตกระแหงหาหอยซึ่งซุกตัวหลบร้อนอยู่ใต้พื้นดิน เธอแหงนหน้ามองผมผู้กำลังเอกเขนกอยู่บนต้นมะไฟซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น เธอไม่ได้ร้องขอ แต่ผมโยนลงไปให้เธอเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ
ผมไม่เคยลืมภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มอมแมม ในเสื้อผ้าเก่าๆสีซีดๆ แต่คล่องแคล่วในการทำมาหากิน ได้ติดตาติดใจจนทุกวันนี้
ในขณะนักเรียนๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในโรงอาหารตอนเที่ยง บางคนจะกระจายกันอยู่รอบๆ สระน้ำข้างอาคาร เปิดห่อข้าวออกมากินกันตามประสา บางครั้งบางคนก็จะมีมื้อเที่ยงที่พิเศษ โดยการวิ่งไปซื้อส้มตำมาจากโรงอาหารมาเสริมบารมีให้กับอาหารมื้อนั้นแม้ค้าจะห่อด้วยใบตองเป็นห่อเล็กๆ คล้ายๆ ห้อหมก และราคาก็ไม่แพง เหมาะกับนักเรียนส่วนใหญ่
ผมกับแก้วเลือกเอาใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟากหนึ่งของสนามฟุตบอล กินไปและมักจะนั่งคุยกัน หรือดูเด็กผู้ชายเตะฟุตบอลกันกลางแดดร้อนๆ จนเสียงระฆังหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น นักเรียนต่างมุ่งหน้าสู่ห้องเรียนของตนเอง ไม่มีที่ให้ไปแบบสูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน เพราะว่าโรงเรียนอยู่ในพื้นที่โล่งแบบบ้านนอกคอกนา ถ้าใครคิดจะหนีเรียน ก็จะมองเห็นทั้งหมู่บ้าน
“แก้วอยากไปเรียนในเมือง”
เธอเคยบอกอย่างนั้น นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นและฝันไกล
“แก้วอยากเรียนในโรงเรียนดีๆ จะได้ความรู้มากๆ โตขึ้นจะทำงานมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆๆ”
ความคิดแบบนั้นก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ ไม่ได้หมายถึงความทะเยอทะยาน อะไรมากมาย วัยเด็กก็ย่อมมีความฝันแบบเด็กๆ
“เรียนที่นี่ไม่ดีเหรอแก้ว..” ผมถามเรื่อยๆ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดแบบนั้นของเพื่อนต่างเพศคนแรก
“มันก็ดีนะ...แต่ไม่รู้สิ แก้วอยากไปในเมือง “
“กลับมาก็จะกลายเป็นเด็กในไห...กินปลาร้าไม่ได้ แต่งหน้าทาแดงแดงแจ๋”
แก้วหัวเราะให้กับคำพูดของผม แน่นอนเธอไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่ เธอไม่ใช่คนที่จะได้ดีแล้วลืมตัวแบบนั้น หลายคนในชนบทที่มีฐานะมักจะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือในเมือง แต่สังเกตว่าหลายคนเรียนไม่จบ บางคนกลายเป็นคนติดยาหรืออันธพาลไปเลยก็มี ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“แก้วอยากหาเงินมาสร้างบ้านให้คุณยาย”
แก้วเคยวาดภาพฝันไว้อย่างนั้นจริงๆ
ถ้าจะว่ากันตรง ๆ ฐานะของเธอดูจะแย่กว่าครอบครัวของผมเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ที่ไปทำงานในกรุงก็คงไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนคิดและอยากจะไป คนเรียนจบป. 4 งานในกรุงก็คงไม่พ้นการใช้แรงกายเป็นพื้นฐาน ผลการเรียนของแก้วอยู่ในระดับดี ไม่เคยต่ำกว่าอันดับที่สี่ของห้อง ในขณะที่ผมมักจะได้อันดับค่อนไปทางท้ายๆ แก้วเป็นที่รักของเอนและคุณครุ อันเนื่องมาจากนิสัยที่มีน้ำใจและความสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม้แต่นักเรียนที่เกเรที่สุดในโรงเรียนก็ไม่กล้ามาตอแยกับแก้ว
แต่ด้วยความที่เรามักเป็นเงาของกันและกัน ทำให้ถูกล้อว่าเป็นแฟนกัน ตามธรรมดาคู่ไหนโดนล้อแบบนั้นมักจะอายจนบางคู่แทบไม่กล้าคุยกันแต่หน้าเพื่อนๆ แต่ผมกับแก้วไม่อยู่ในกฎมาตรฐานนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความเป็นเพื่อนของเราได้ และฟงแฟนอะไรที่ว่าพวกเราก็ยังไม่เข้าใจสักนิด เรื่องความรักแบบผู้ใหญ่ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ไม่เข้าถึง รู้แค่ว่าเราเป็นเพื่อนกันและจะเป็นตลอดไป
วันหยุดถ้าผมไม่ไปขลุกอยู่ที่บ้านของแก้ว ไปช่วยยายกวาดบ้านถูพื้นเท่าที่จะทำได้ แก้วก็จะเป็นฝ่ายมาหาที่บ้านพร้อมกับมาช่วยกวาดลานหน้าบ้านถูบ้านซักผ้าเป็นการแลกเปลี่ยนมิตรภาพ คนทั้งหมู่บ้านพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าคู่นี้โตขึ้นต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันของผู้ใหญ่ ทุกอย่างดูราบรื่นเหลือเกิน แต่อย่างว่าล่ะครับ ผมกับแก้วไม่เคยคิดอะไรไกลไปกว่าความเป็นเพื่อน
“โตขึ้นถ้าเธอแต่งงานจะเลือกผู้หญิงแบบไหน”
แก้วเคยถามแบบนั้น จำได้ว่าผมยิ้มและยึดอกตอบอย่างภาคภูมิใจในความคิดของตัวเองว่า
“แน่นอนแก้ว แฟนฉันต้องสวยๆๆรวยๆๆใจดีเรียนเก่งเหมือนแก้ว แต่สวยกว่าแก้ว.แล้วเธอล่ะจะมีแฟนแบบไหน”
“แน่นอนเหมือนกันว่า แฟนแก้วต้องหล่อๆสูงๆรวยๆ ใจดี”
“แบบนี้เราก็เป็นแฟนกันไม่ได้สิ”
แล้วพวกเราก็หัวเราะให้กับคำพูดแบบนั้น ไม่มีอะไรติดใจหรือค้างคาใจ คำพูดแบบนั้นไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรือเก็บเอาไปคิด เพราะพวกเราต่างรู้นิสัยกันจนเกินกว่าจะถือสากับคำพูดสมเพลมพัด
“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ”
“แน่นอนแก้ว....” เป็นคำพุดที่ผมไม่เคยลืมเลย
แสงตะเกียงสั่นไฟวูบวาบตามสายลมเยือกเย็น พ่อของผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปยังเงาไม้หลังบ้าน สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ แต่ผมกลับรู้สึกร้อนวูบไปทั้งแผ่นหลัง กลัวพ่อจะเจอแก้วที่เพิ่งหลบออกไป
“ไปกันได้แล้ว” ในที่สุดพ่อก็พูดสั้นๆ หันหลังเดินกลับไป คงจะไปจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น คนอย่างพ่อไม่มีวันเข้าใจ แต่ผมเห็นน้ำตาของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต
ผมยืนรออยู่ครู่หนึ่ง พยายามมองหาแก้วในความมืด แต่ตอนนี้เหลือเพียงความมืดเท่านั้น ความมืดอันน่าใจหาย
“ฉันต้องไปก่อนนะแก้ว” ผมพูดเบาๆ หันหน้ามองหลัง เกรงว่าพ่อจะได้ยิน กลัวได้ยินเสียงน้ำตาของตัวเอง
“ฉันต้องไปกับพ่อ ไปงานศพของเธอ แล้วกลับมาค่อยคุยกันใหม่นะแก้ว”
หูเหมือนได้ยินเสียงของแก้วตอบมาเบาๆ ปนกับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกที ดวงจันทร์หลบเข้าเงาเมฆ เงาไม้ไหวสะบัดดูไปเหมือนภูติผีกำลังเริงร่า เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นดังมาจากท้ายหมู่บ้านฟังดูเยือกเย็นและวังเวง อย่างน่าขนลุก แสงไฟวับแวมจากตะเกียงเป็นพิเศษในคืนนี้ คืนซึ่งมีงานศพของแก้ว... ผู้ซึ่งตายไปจากโรคไข้เลือดออกอย่างไม่คาดฝัน โรคที่สมัยนี้ดูธรรมดาเหลือเกิน.....
“ฉันไปล่ะนะแก้ว......”
เสียงของผมหายไปเพราะก้อนสะอื้นและน้ำตา แก้วคงไม่ลืมเพื่อนคนนี้นะ เพื่อนคนนี้จะรอแก้วตลอดไป....
++
จบแล้วครับ งือๆๆๆๆ