ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นั่งรถเมล์เท่าไร ส่วนใหญ่ก็เดินทางด้วยรถไฟฟ้า
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราเดินเยอะ (เดินจากเค-วิลเลจ มาสวนเบญจกิตติ)
ก็คิดว่าป้ายรถเมล์อยู่หน้าสวน ขึ้นรถเมล์กลับนี่แหละวันอาทิตย์รถไม่ติดหรอก
รอรถเมล์นานเป็นชั่วโมง จะเดินไปขึ้น MRT ก็เสียดายกลัวรถเมล์จะมา ป้าที่นั่งรอก็ชวนนั่งรอเป็นเพื่อนแก
เราก็ไม่รีบไม่ได้มีนัดไปไหนต่อ ป้าแกก็รอไปสัพพะหงกไป เราชวนป้าแกไปขึ้น MRT แกก็ไม่ไป บอกว่าไกลจากป้ายที่จะลง
แล้วรถเมล์ก็มา พอได้ขึ้นแทบไม่มีที่นั่ง มีคุณแม่ลูก1 ใจดีเบี่ยงตัวให้เรานั่งข้างใน (ตรงล้อพอดี)
ปกติก็แมนๆยืนได้ แต่คุณแม่เค้ามีน้ำใจ เราก็ยิ้มแล้วเข้าไปนั่ง แล้วรถก็ติดตามปกติ อโศก
เรารู้สึกกระหายน้ำ คิดว่าลงรถเมไผต้องแวะซื้อน้ำหวานๆกิน ตอนนั้นยังไม่มีอาการหน้ามืดอะไร สายตายังเห็นชัดปกติ
และพอตอนรถติดไฟแดงเราก็ลุกเตรียมตัวเพื่อลงป้ายหน้าแยกพระรามเก้า เราเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว เก็บมือถือใส่กระเป๋าเรียบร้อย
อยู่ๆก็มีอาการลมตีขึ้น หายใจไม่สะดวก ตอนนั้นเราคิดว่าเราหิวมาก แต่เริ่มไม่ใช่ละ หูเริ่มอื้อ ภาพที่ตาเริ่มหายไป
มือซ้ายกำกนะเป๋าแน่นมาก มือขวาจับเสารถเมล์ เรายังยืนเราไม่ได้นั่ง แต่เราชาไปทั้งตัวและมองไม่เห็นอะไรแล้ว
มีเสียงผู้หญิงเบาๆ "น้องไหวมั้ย" แล้วจับแขนเราเอาไว้ หน้ามืดเป็นลมบนรถเมล์ เป็นลมครั้งแรกในชีวิต และไม่รู้จะทำยังไง
พี่กระเป๋ารถเมล์ กับพี่อีกสองคนที่ลงป้ายเดียวกับเรา ประคองเราลงจากรถ และขอที่นั่งให้เรานั่งพัก ช่วยกันพัดและคนที่นั่งรออยู่ที่ป้ายส่งยาดมมาให้ดม
หลังจากนั้นตาเราค่อยๆสว่างขึ้น พี่สองคนที่ลงจากป้ายพร้อมเราอยู่เป็นเพื่อนจนเราเริ่มดีขึ้น เราได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณพี่ๆเค้าไป
เค้าย้ำถามว่าไหวมั้ย ให้อยู่เป็นเพื่อนคนที่บ้านมารับมั้ย และเราก็ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย
โชคดีที่มีคนช่วย โชคดีที่เราไม่ล้มหัวฟาดพื้น โชคดีที่บ้านเรามีคนใจดี สังคมบ้านเรายังมีคนดีๆมีน้ำใจ
อ่านหนังสือมาเยอะแค่ไหน ต่อให้เรามีสติมากแค่ไหน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยตัวเองจริงๆ
ขอขอบคุณพี่กระเป๋ารถเมล์สาย 136 และพี่อีกสองคนที่ลงป้ายเดียวกัน และคนที่ให้ยืมยาดมที่ป้ายรถเม
แชร์ประสบการณ์เป็นลมบนรถเมล์ และขอบคุณคนไทยใจดีมีน้ำใจ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราเดินเยอะ (เดินจากเค-วิลเลจ มาสวนเบญจกิตติ)
ก็คิดว่าป้ายรถเมล์อยู่หน้าสวน ขึ้นรถเมล์กลับนี่แหละวันอาทิตย์รถไม่ติดหรอก
รอรถเมล์นานเป็นชั่วโมง จะเดินไปขึ้น MRT ก็เสียดายกลัวรถเมล์จะมา ป้าที่นั่งรอก็ชวนนั่งรอเป็นเพื่อนแก
เราก็ไม่รีบไม่ได้มีนัดไปไหนต่อ ป้าแกก็รอไปสัพพะหงกไป เราชวนป้าแกไปขึ้น MRT แกก็ไม่ไป บอกว่าไกลจากป้ายที่จะลง
แล้วรถเมล์ก็มา พอได้ขึ้นแทบไม่มีที่นั่ง มีคุณแม่ลูก1 ใจดีเบี่ยงตัวให้เรานั่งข้างใน (ตรงล้อพอดี)
ปกติก็แมนๆยืนได้ แต่คุณแม่เค้ามีน้ำใจ เราก็ยิ้มแล้วเข้าไปนั่ง แล้วรถก็ติดตามปกติ อโศก
เรารู้สึกกระหายน้ำ คิดว่าลงรถเมไผต้องแวะซื้อน้ำหวานๆกิน ตอนนั้นยังไม่มีอาการหน้ามืดอะไร สายตายังเห็นชัดปกติ
และพอตอนรถติดไฟแดงเราก็ลุกเตรียมตัวเพื่อลงป้ายหน้าแยกพระรามเก้า เราเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว เก็บมือถือใส่กระเป๋าเรียบร้อย
อยู่ๆก็มีอาการลมตีขึ้น หายใจไม่สะดวก ตอนนั้นเราคิดว่าเราหิวมาก แต่เริ่มไม่ใช่ละ หูเริ่มอื้อ ภาพที่ตาเริ่มหายไป
มือซ้ายกำกนะเป๋าแน่นมาก มือขวาจับเสารถเมล์ เรายังยืนเราไม่ได้นั่ง แต่เราชาไปทั้งตัวและมองไม่เห็นอะไรแล้ว
มีเสียงผู้หญิงเบาๆ "น้องไหวมั้ย" แล้วจับแขนเราเอาไว้ หน้ามืดเป็นลมบนรถเมล์ เป็นลมครั้งแรกในชีวิต และไม่รู้จะทำยังไง
พี่กระเป๋ารถเมล์ กับพี่อีกสองคนที่ลงป้ายเดียวกับเรา ประคองเราลงจากรถ และขอที่นั่งให้เรานั่งพัก ช่วยกันพัดและคนที่นั่งรออยู่ที่ป้ายส่งยาดมมาให้ดม
หลังจากนั้นตาเราค่อยๆสว่างขึ้น พี่สองคนที่ลงจากป้ายพร้อมเราอยู่เป็นเพื่อนจนเราเริ่มดีขึ้น เราได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณพี่ๆเค้าไป
เค้าย้ำถามว่าไหวมั้ย ให้อยู่เป็นเพื่อนคนที่บ้านมารับมั้ย และเราก็ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย
โชคดีที่มีคนช่วย โชคดีที่เราไม่ล้มหัวฟาดพื้น โชคดีที่บ้านเรามีคนใจดี สังคมบ้านเรายังมีคนดีๆมีน้ำใจ
อ่านหนังสือมาเยอะแค่ไหน ต่อให้เรามีสติมากแค่ไหน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยตัวเองจริงๆ
ขอขอบคุณพี่กระเป๋ารถเมล์สาย 136 และพี่อีกสองคนที่ลงป้ายเดียวกัน และคนที่ให้ยืมยาดมที่ป้ายรถเม