(เรียงบรรทัดไม่ค่อยสวยครับ ขออภัยหากอ่านยาก) เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องตอนที่ผมได้มาใช้ชีวิตเป็นเด็กหอครับ มีเรื่องราวหลายๆอย่างที่มันหักมุมโน่นสะท้อนมุมนี้จนทำให้ผมได้มาอยู่หอพัก
แห่งนี้จนได้ประมาณตอนกำลังเรียน ปวช ปีที่สอง
หอพักแห่งนี้ที่ผมจะเข้าอาศัย เป็นเหมือนตึกแถวลักษณะเป็นแนวยาว มีสองชั้น ชั้นละประมาณสิบกว่าห้อง สภาพหอมันเก่าและทรุดโทรมมาก ไม่น่าจะ
เรียกว่าหอได้น่าจะเรียกว่าหอร้างมากกว่าเหมาะเป็นไหนๆ สีฟ้าที่เคยเป็นสีของหอนี้ เดี่ยวนี้เหลือเพียงแค่รอยสีฟ้าเป็นคราบจางๆเท่านั้น มันบ่งบอกได้ว่าหอแห่งนี้ได้สร้างมานานมากแล้ว และได้ให้ผู้พักอาศัย อาศัยผ่านมาจนไม่รู้กี่ต่อกี่คนที่ผ่านมา สภาพห้องก็ไม่แตกต่างกันครับ คงต้องเรียกผ่านการใช้มาหลายปีจนดูน่าวังเวงอยู่ชอบกล ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะดีใจซักเท่าไรนักที่ต้องมาอยู่ห้องพักเก่าๆแบบนี้นัก
เพราะเนื่องด้วยสภาพหอเก่ามากจึงไม่ค่อยเป็นนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษาเท่าไรนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาเหมือนผม นอกนั้นก็เป็นวัยทำงาน ประกอบกับผมเป็นคนที่กลัวสิ่งที่ตามองไม่เห็นแบบสุดๆอีกด้วยแล้ว ไหนจะต้องมาอยู่คนเดียวอีกด้วย ถือว่าซวยๆสุด และสามวันผ่านไปก็ไม่มีอะไรในความมืดครับ แน่นอนว่าผมดีใจสุดที่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งในคืนที่สี่เที่ยงคืนกว่าๆ ในขณะผมกำลังนอนหลับอยู่สบายอยู่ จู่ได้ยินเสียงร้องครางลอยลอดหน้าต่างเข้ามา
“ฮืออออออ ฮือๆๆ” เสียงนี้มันทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นท่านกลางความมืด และตั้งใจฟังเสียงดังกล่าว
“ฮือๆๆ” เสียงนั้น คล้ายเสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด แต่ก็น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความแค้น อาฆาตอีกด้วย
เสียงโหยหวนดังเป็นระลอกอยู่เกือบชั่วโมงทำเอาผมข่มตาหลับไม่ได้ ผมที่ทำได้เพียงนั่งเอาผ้าคลุมโปรง สวดนมะโน ตัสสะ แข่งกับเสียงโหยหวนนั้นเอาจนเกือบรุ่งสาง
วันรุ่งขึ้นด้วยผมรีบอาบน้ำแต่งตัวไปวิลัย แต่นั้นเป็นเวลาสิบโมงครึ่งเสียแล้ว
ในตอนเย็นวันนั้นผมและเพื่อนอีกสามคนนัดกันกินเหล้าที่ห้องผม แน่นอนว่าถ้าไม่มีเหล้ามันก็ไม่มา จริงๆแล้วเหตุผลหลักก็คือ ผมจะได้มีเพื่อนนอนด้วย และจะได้พิสูจน์ว่าเจ้าเสียงนั้นมันคืออะไรแน่
จวบจนประมาณตีสอง ไม่มีเสียงอะไรนอกจาก เสียงรถยนต์ของใครเข้ามาในหอสักคันหนึ่ง จนเวลาเวลาล่วงเลยไปจนเกือบสีสาม ในขณะที่กำลังเมามายและคุยกันอย่างออกอรรถรสนั้น จู่ๆก็มีเสียงนี้ก็ดังขึ้น
“ฮือ ฮือๆๆๆ” เสียงนั้นค่อยคลอตามลม ลอดหน้าต่างเข้ามาเช่นเคย
“พวกได้ยินไหม” ผมถาม
เสียงนั้นค่อยดังขึ้น ดังขึ้น เรื่อยๆ จนกระทั่งพวกขี้เมาเริ่มมองหน้ากัน เลิกๆลักๆ เมื่อพิษสุราเพิ่มความกล้าให้กับผม ไหนจะมีเพื่อนตั้งสามคน ผีก็ผีเถอะวะ ผมคว้าแขนเพื่อนข้างๆพามันลุกออกจากห้อง ตรงไปที่ลานนั่งเล่นหน้าหอ เพื่อดูว่าเสียงมันมาจากไหนกันแน่ แล้วเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยง จู่ๆเสียงนั้นก็ดุดันขี้นทันที
“ไอ้สาดดดดดดดด” “อ้ายสาดดดดดด” เป็นเสียงที่แผดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ผมกับเพื่อนสะดุ้งสุดชีวิตกอดกันร้อง อ๊าก แต่ต้องก็เอ๊ะว่าผีที่ไหนมันจะด่าเราได้ และทันใดนั้นมีเสียงเพิ่มขึ้น
“ตุ๊บๆ” อย่างหนักแน่น แล้วก็ตามด้วยเสียงผู้ชายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดทรมาน
“อีแนน ใช๊ไหม” ผมชะงักกึกอยู่กับที่ แล้วก็หันมองหน้าเพื่อน พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า
อีแนนคือใครวะ
ยังไม่ทันนึกออกผมก็ถึงบางอ้อก่อนซะแล้ว
“โทรหามันเลย มาคุยให้รู้เรื่องกันเดี่ยวนี้” อ๋อมือที่สามนั้นเองครับท่าน ไม่ใช่ผีและต้นเสียงก็ดังมาจากห้องๆหนึ่งที่อยู่ชั้นสองนั้นเอง ที่แท้ก็คนทะเลาะกัน
“แต่กูรักคนเดียวนะ” ผู้ชายพูดเสียงอ๋อย
“อ้าวอีแนนมันคือใคร แม่เหรอ ห๊า” ผู้หญิงแหกปากตะโกนปนร้องไห้
“ไหนบอกว่ารักกูคนเดียวไง ไอ้ๆๆ แล้วก็ต่อสารพัดคำด่า ระคนด้วยเสียง ตุ้บตั๊บๆ เป็นซาวแทรค ตามมา และในวินาทีนั้นก็มีเสียง
โครม !!
ตัดเป็นภาพช้าครับ ภาพที่ผมเห็นด้วยตาคือ ประตูทั้งบานถูกเปิดออกอย่างเร็วแรง ร่างเล็กๆของผู้หญิงที่ปลิวติดมาพร้อมกับประตู ลงไปนอนกับพื้นระเบียงทั้งประตูและผู้หญิง เสียงครางเบาๆด้วยความเจ็บปวดออกมาว่า
“โอ๊ย ถีบกูทำไม ฮือๆๆ ” ผู้ชายเดินออกมาด้วยท่าทางองอาจราวกับ นักรบผู้ที่ชนะฆ่าศึกมาเป็นร้อยๆคน
พร้อมคำพูดอันนุ่มนวลแต่เสียงดังฟังชัดว่า
“มีงทำกูก่อนนะ”
เอาละครับ ขอจบเรื่องไว้เพียงเท่านี้ ไม่ต้องไปพิสูจน์ผีแล้ว ต้องไปห้ามผัวเมียเค้าก่อน เสียงร้องที่ผมได้ยินก่อนหน้านั้นก็คือ เสียงร้องไห้ของภรรยาที่แอบจับได้ว่าสามีมีกิ๊ก ชื่อ อีแนน ส่วนวันนี้คุณสามีตัวดี เพิ่งกลับมาตอนตีสองกว่าๆ แล้วก็ทะเลาะกัน เรื่องก็เป็นมาประการฉะนี้แล
บางครั้ง เราก็ต้องไม่เชื่อ ไม่คิดไปเอง ในสิ่งที่หูได้ยิน
เรื่องสั้น ที่มันสั่นๆ เสียงร้องของผู้หญิง
แห่งนี้จนได้ประมาณตอนกำลังเรียน ปวช ปีที่สอง
หอพักแห่งนี้ที่ผมจะเข้าอาศัย เป็นเหมือนตึกแถวลักษณะเป็นแนวยาว มีสองชั้น ชั้นละประมาณสิบกว่าห้อง สภาพหอมันเก่าและทรุดโทรมมาก ไม่น่าจะ
เรียกว่าหอได้น่าจะเรียกว่าหอร้างมากกว่าเหมาะเป็นไหนๆ สีฟ้าที่เคยเป็นสีของหอนี้ เดี่ยวนี้เหลือเพียงแค่รอยสีฟ้าเป็นคราบจางๆเท่านั้น มันบ่งบอกได้ว่าหอแห่งนี้ได้สร้างมานานมากแล้ว และได้ให้ผู้พักอาศัย อาศัยผ่านมาจนไม่รู้กี่ต่อกี่คนที่ผ่านมา สภาพห้องก็ไม่แตกต่างกันครับ คงต้องเรียกผ่านการใช้มาหลายปีจนดูน่าวังเวงอยู่ชอบกล ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะดีใจซักเท่าไรนักที่ต้องมาอยู่ห้องพักเก่าๆแบบนี้นัก
เพราะเนื่องด้วยสภาพหอเก่ามากจึงไม่ค่อยเป็นนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษาเท่าไรนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาเหมือนผม นอกนั้นก็เป็นวัยทำงาน ประกอบกับผมเป็นคนที่กลัวสิ่งที่ตามองไม่เห็นแบบสุดๆอีกด้วยแล้ว ไหนจะต้องมาอยู่คนเดียวอีกด้วย ถือว่าซวยๆสุด และสามวันผ่านไปก็ไม่มีอะไรในความมืดครับ แน่นอนว่าผมดีใจสุดที่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งในคืนที่สี่เที่ยงคืนกว่าๆ ในขณะผมกำลังนอนหลับอยู่สบายอยู่ จู่ได้ยินเสียงร้องครางลอยลอดหน้าต่างเข้ามา
“ฮืออออออ ฮือๆๆ” เสียงนี้มันทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นท่านกลางความมืด และตั้งใจฟังเสียงดังกล่าว
“ฮือๆๆ” เสียงนั้น คล้ายเสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด แต่ก็น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความแค้น อาฆาตอีกด้วย
เสียงโหยหวนดังเป็นระลอกอยู่เกือบชั่วโมงทำเอาผมข่มตาหลับไม่ได้ ผมที่ทำได้เพียงนั่งเอาผ้าคลุมโปรง สวดนมะโน ตัสสะ แข่งกับเสียงโหยหวนนั้นเอาจนเกือบรุ่งสาง
วันรุ่งขึ้นด้วยผมรีบอาบน้ำแต่งตัวไปวิลัย แต่นั้นเป็นเวลาสิบโมงครึ่งเสียแล้ว
ในตอนเย็นวันนั้นผมและเพื่อนอีกสามคนนัดกันกินเหล้าที่ห้องผม แน่นอนว่าถ้าไม่มีเหล้ามันก็ไม่มา จริงๆแล้วเหตุผลหลักก็คือ ผมจะได้มีเพื่อนนอนด้วย และจะได้พิสูจน์ว่าเจ้าเสียงนั้นมันคืออะไรแน่
จวบจนประมาณตีสอง ไม่มีเสียงอะไรนอกจาก เสียงรถยนต์ของใครเข้ามาในหอสักคันหนึ่ง จนเวลาเวลาล่วงเลยไปจนเกือบสีสาม ในขณะที่กำลังเมามายและคุยกันอย่างออกอรรถรสนั้น จู่ๆก็มีเสียงนี้ก็ดังขึ้น
“ฮือ ฮือๆๆๆ” เสียงนั้นค่อยคลอตามลม ลอดหน้าต่างเข้ามาเช่นเคย
“พวกได้ยินไหม” ผมถาม
เสียงนั้นค่อยดังขึ้น ดังขึ้น เรื่อยๆ จนกระทั่งพวกขี้เมาเริ่มมองหน้ากัน เลิกๆลักๆ เมื่อพิษสุราเพิ่มความกล้าให้กับผม ไหนจะมีเพื่อนตั้งสามคน ผีก็ผีเถอะวะ ผมคว้าแขนเพื่อนข้างๆพามันลุกออกจากห้อง ตรงไปที่ลานนั่งเล่นหน้าหอ เพื่อดูว่าเสียงมันมาจากไหนกันแน่ แล้วเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยง จู่ๆเสียงนั้นก็ดุดันขี้นทันที
“ไอ้สาดดดดดดดด” “อ้ายสาดดดดดด” เป็นเสียงที่แผดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ผมกับเพื่อนสะดุ้งสุดชีวิตกอดกันร้อง อ๊าก แต่ต้องก็เอ๊ะว่าผีที่ไหนมันจะด่าเราได้ และทันใดนั้นมีเสียงเพิ่มขึ้น
“ตุ๊บๆ” อย่างหนักแน่น แล้วก็ตามด้วยเสียงผู้ชายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดทรมาน
“อีแนน ใช๊ไหม” ผมชะงักกึกอยู่กับที่ แล้วก็หันมองหน้าเพื่อน พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า
อีแนนคือใครวะ
ยังไม่ทันนึกออกผมก็ถึงบางอ้อก่อนซะแล้ว
“โทรหามันเลย มาคุยให้รู้เรื่องกันเดี่ยวนี้” อ๋อมือที่สามนั้นเองครับท่าน ไม่ใช่ผีและต้นเสียงก็ดังมาจากห้องๆหนึ่งที่อยู่ชั้นสองนั้นเอง ที่แท้ก็คนทะเลาะกัน
“แต่กูรักคนเดียวนะ” ผู้ชายพูดเสียงอ๋อย
“อ้าวอีแนนมันคือใคร แม่เหรอ ห๊า” ผู้หญิงแหกปากตะโกนปนร้องไห้
“ไหนบอกว่ารักกูคนเดียวไง ไอ้ๆๆ แล้วก็ต่อสารพัดคำด่า ระคนด้วยเสียง ตุ้บตั๊บๆ เป็นซาวแทรค ตามมา และในวินาทีนั้นก็มีเสียง
โครม !!
ตัดเป็นภาพช้าครับ ภาพที่ผมเห็นด้วยตาคือ ประตูทั้งบานถูกเปิดออกอย่างเร็วแรง ร่างเล็กๆของผู้หญิงที่ปลิวติดมาพร้อมกับประตู ลงไปนอนกับพื้นระเบียงทั้งประตูและผู้หญิง เสียงครางเบาๆด้วยความเจ็บปวดออกมาว่า
“โอ๊ย ถีบกูทำไม ฮือๆๆ ” ผู้ชายเดินออกมาด้วยท่าทางองอาจราวกับ นักรบผู้ที่ชนะฆ่าศึกมาเป็นร้อยๆคน
พร้อมคำพูดอันนุ่มนวลแต่เสียงดังฟังชัดว่า
“มีงทำกูก่อนนะ”
เอาละครับ ขอจบเรื่องไว้เพียงเท่านี้ ไม่ต้องไปพิสูจน์ผีแล้ว ต้องไปห้ามผัวเมียเค้าก่อน เสียงร้องที่ผมได้ยินก่อนหน้านั้นก็คือ เสียงร้องไห้ของภรรยาที่แอบจับได้ว่าสามีมีกิ๊ก ชื่อ อีแนน ส่วนวันนี้คุณสามีตัวดี เพิ่งกลับมาตอนตีสองกว่าๆ แล้วก็ทะเลาะกัน เรื่องก็เป็นมาประการฉะนี้แล
บางครั้ง เราก็ต้องไม่เชื่อ ไม่คิดไปเอง ในสิ่งที่หูได้ยิน