ความทรงจำที่ได้พูดคุยกับ “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” อดีต ส.ส. และวีรบุรุษตำนานตำรวจเมืองใต้ ของ จขกท. ผุดขึ้นเมื่อได้ไปชมภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์” ที่แสดงโดย “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” เข้าโรงค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ แล้วเก็บความประทับใจ ไว้เงียบๆ คนเดียว แต่เมื่อมาคิดไตร่ตรองดูอีกที ในชีวิตนี้ การได้สัมภาษณ์ “ท่านขุนพันธ์” นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว เจ้าของฉายา “อัศวิน พริกขี้หนู” แห่งดินแดนด้ามขวานทองท่านนี้ ถือเป็นงานสัมภาษณ์มาสเตอร์พีซชิ้นสุดยอดที่สุดชิ้นหนึ่งของ จขกท. และนับเป็นเกียรติอย่างสูงสุดในชีวิตอีกเกียรติเลยก็ว่าได้ เพราะน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้ ดังนั้น อย่ากระนั้นเลย NOT AS I KNOW IT จขกท.จึงขอนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปและแฟนหนังท่านขุนพันธ์ได้ร่วมประทับใจไปด้วยกันดีกว่า กระทู้นี้จึงได้เกิดขึ้นค่ะ
เหตุที่ไปสัมภาษณ์ท่านถึงบ้านใน ซ.ราชเดช อันเป็นชื่อราชทินนามของท่านที่บ้านของท่านจังหวัดนครศรีธรรมราชได้นั้น ก็เนื่องจาก จขกท.เป็นลูกหลานคนนคร และยังเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นครอุทิศ ที่ลูกสาวของท่าน คือ คุณครูฐีติพันธ์ พันธรักษ์ราชเดช เป็นครูสอนอยู่ ท่านเลยเมตตาเพราะเห็นเป็นลูกหลานชาวนครด้วยกัน ทั้งๆที่ในวัยบั้นปลายชีวิตในตอนนั้น ท่านต้องการพักผ่อนอยู่กับลูกหลานอย่างสงบและไม่ต้องการออกสื่อให้วุ่นวายอีกต่อไปแล้ว นับว่าเป็นบุญของ จขกท.มากๆค่ะ
ตอนที่ไปกราบสัมภาษณ์นั้น ท่านอายุ 101 ปี แต่สุขภาพของท่านยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงมาก สามารถเดินเหินได้คล่องแคล่ว ท่านพูดคุยเสียงดังฟังชัด เต็มใจเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังอย่างไม่รู้เบื่อ ท่านใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ตา” และเรียก จขกท.ว่า หนู ประดุจว่าเราเป็นลูกหลานที่ท่านให้ความเมตตา ฟังแล้วเกิดความอบอุ่นมากๆ ค่ะ ที่สำคัญท่านมีอารมณ์ขัน คอยเรียกเสียงฮาช่วงที่พูดคุยกันได้เป็นระยะๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามและมีบารมี อุปสรรคอย่างเดียวที่มีตอนนั้นคือท่าน “หูตึง” ค่ะ เวลาคุยกับท่านจึงต้องกระซิบคำถามข้างหูท่านอยู่ตลอด และท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีและน่านับถือมากที่สุด เช่น ตอนที่คุยกันถึง ว่านสมุนไพรที่ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ให้อยู่ยงคงพระพัน ชื่อ “ใบตูดหมูตูดหมา” ท่านก็ได้กรุณาพาเดินไปเด็ดใบนี้ที่หน้าบ้านของท่าน แล้วลองให้ จขกท.ลองชิมดูด้วยค่ะ
เกร็ดน่ารู้ที่ได้จากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ก็คือ ท่านฟันหักซี่แรก เมื่ออายุ 87 ปี ผ่าตัดทำเลสิกตาครั้งแรกเมื่ออายุ 96 ปี ความจำยังคงแม่น ไม่หลงๆ ลืมๆ และคอยติดตามอ่านข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์ทุกวัน ท่านจะมีความสุขมากเมื่อลูกหลานพาไปกินสุกี้เอ็มเคที่ร้าน และได้ดูละครบ้านทรายทอง ซึ่งเป็นละครที่กำลังโด่งดังอยู่ในสมัยนั้น
เนื่องจากบทสัมภาษณ์นี้ยาวมาก จขกท.จึงขออนุญาตตัดตอนจากงานของเดิมมาลง โดยเลือกประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ดังนี้นะคะ
ท่านเล่าว่า
“ ตาเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2442 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนที่ท่านสวรรคต ตาอายุ 7 ขวบ ตาเกิดที่บ้านไอ้เขียว ต.ดอนตะโก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เดิมตาชื่อ “บุตร์” นามสกุล “พันธรักษ์” พ่อชื่ออ้วน แม่ชื่อทองจันทร์ มีอาชีพทำสวนหมากสวนพลู สวนทุเรียน ช่วงเด็กๆ ตาก็ได้เรียนหนังสือตามเกณฑ์ เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (ปัจจุบันคือโรงเรียนเบญจมราชูทิศ) เรียนถึงชั้น ม.2 ก็เข้าบางกอก แล้วเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเบญจมบพิตร หลังจากนั้นก็มาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดราชาธิวาสจนจบชั้น ม.8 เรียนหนังสือเก่งไหม เก่งไม่เก่งไม่รู้ละ ไม่เคยสอบได้ที่ 1 แต่ก็ไม่เคยสอบตก เรียนได้จนจบก็แล้วกัน
ระหว่างนั้น ตาได้เรียนพวกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย มวยฝรั่ง กระบี่กระบอง ดาบ ยูโด แล้วก็ยิมนาสติก ยิมนาสติกนี่เล่นจนชนะเลิศ เป็นแชมป์ 4 ปีซ้อนเชียวนะ แต่การเล่นยิมนาสติกมากนี้มันมาส่งผลตอนแก่ ทำให้เป็นโรคไส้เลื่อน เพราะสมัยก่อนไม่มีซัพพอร์ตเตอร์ ต้องใช้ผ้าขาวม้ามัดแทน ตาก็ใช้ผ้าขาวม้ามัดตลอด (หัวเราะ)
ตอนจบชั้นมัธยมก็ไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ นครปฐม ที่อยากเป็นตำรวจเพราะนุ่งผ้าไม่เป็น สมัยก่อนถ้ารับราชการต้องนุ่งโจงกระเบน ตานุ่งไม่เป็น กลัวหลุด อยากนุ่งกางเกง ก็เลยมาเรียนตำรวจ ใช้เวลาเรียน 5 ปีถึงจะจบ
เมื่อเรียนจบปี พ.ศ.2473 ก็เข้าทำงานรับราชการตำรวจ ตำแหน่งแรกคือ นักเรียนทำการนายร้อยตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ได้เงินเดือน 80 บาท ซึ่งก็ถือว่ามาพอสมควร เมื่อเทียบกับค่าเงินสมัยนั้น
ตอนที่อยู่สงขลา ยังไม่ได้ปราบจอมโจรเสือร้ายเลย ไปปราบตอนไปอยู่พัทลุงนู่น ที่พัทลุงนี่แหละที่ตาได้ปราบเสือสังข์และผู้ร้ายอื่นๆ อีกเกือบ 20 คนได้สำเร็จ และได้รับยศเป็นนายร้อยตรีและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนพันธรักษ์ราชเดช จากนั้นก็ย้ายไปรับราชการหลายจังหวัดเลย เช่น กำแพงเพชร อยุธยา พิจิตร ชัยนาท แล้วก็กลับมาภาคใต้อีกครั้ง ยศสุดท้ายคือ พลตำรวจตรี
เสือร้ายที่ปราบมีเยอะแยะ เสือสังข์เอย เสือฝ้ายเอย เสือใบเอย เสือดำเอย เสือมเหศวรเอย ไหนจะเสือผ่อน เสืออ้วน เสือปลั่ง รวมทั้งเสือฝ้าย เจ้าพ่อสุพรรณและจอมโจรอะแวสะดอตาและ ขุนโจรร้ายจอมแบ่งแยกแผ่นดินของภาคใต้ด้วย
(ประเด็นเรื่องเสือนี้ท่านเล่าละเอียดมาก เล่าเรื่องเป็นคนๆ ไปเลย เช่น เล่าเรื่องเสือสังข์ว่าไปดักซุ่มจับตั้งแต่ตี 4 ตอนต่อสู้กันนั้น ท่านได้กัดเสือสังข์จนเสื้อขาด แผลเท่าปาก เลือดเสือสังข์ไหลลงมาตามคางบ้าง ไหลลงมาตามคอท่านบ้าง พอจนมุมท่านก็ใช้มือขวาล้วงไปบีบเม็ดสำคัญของเสือสังข์จนสุดท้ายเสือสังข์หน้าเขียวมืออ่อนตีนอ่อนตายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เป็นต้น แต่ จขกท.ขออนุญาตไม่เล่านะคะ เพราะว่าเนื้อหายาวมาก ใครอยากรู้ต้องไปดูในหนังเอาเองว่าจะมีหรือเปล่านะคะ)
ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ได้ถามท่านเกี่ยวกับวิชาอาคมของท่านนะคะ
- ทราบมาว่าท่านขุนพันธ์มีวิชาอาคมด้านคงกระพันชาตรี ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรคะ
สมัยเรียนนายร้อย ก็ไปเรียนอาคมกับหลวงตาแช่ม วัดตาก้อง ก็ได้วิทยาอาคมติดตัวมา ต่อมารับราชการที่พัทลุง ก็ได้ไปเรียนที่สำนักเขาอ้อ เขาอ้อเป็นสำนักไสยศาสตร์ชื่อดัง มีชื่อด้านเวทมนตร์ คาถาไสยศาสตร์ คงกระพันชาตรี และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พระอาจารย์ที่สอนเสกว่านให้กิน และสอนให้เสกว่านด้วย ว่านนี้กินแล้วจะช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน ทุกวันนี้ตาก็ยังกินอยู่ ปลูกไว้ที่หน้าบ้านเต็มไปหมด
ว่านที่กินประจำคือ ว่านตูดหมูตูดหมา (ภาษาใต้เรียกว่าใบตด หรือ ใบพังโหม) ตื่นเช้ามาก็เด็ดมากิน ก่อนกินก็เสกคาถาอาคมแล้วหันหน้าไปตามทิศ วันจันทร์ทิศไหน วันอังคารทิศไหน ตอนเด็ดก็ว่าคาถานึง ตอนกินก็ว่าอีกคาถา ตอนเคี้ยวก็ว่าอีกคาถา ตอนกลืนก็ต้องว่าอีกคาถา กว่าจะกินเสร็จ มีกรรมวิธีเยอะ
-
ได้ยินว่าคุณตามียาทิพย์ เวลาไปปราบโจรในป่า ไม่ต้องกินข้าวได้นานถึง 4 ปี
มียา อาจารย์เสกให้เป็นเม็ดยาขนาดลูกกวาด กินแล้วจะไม่หิวข้าว กินแต่ผลไม้แทนก็อยู่ท้อง ยานี้กินเช้าเม็ดเย็นเม็ด ตาเห็นว่าถ้ากินยานี้แล้ว จะได้ต่อสู้กับผู้ร้ายได้เต็มที่ ไม่เสียเวลาไปหาข้าวกิน ถ้ามัวแต่ไปหุงหาอาหารอยู่ โจรก็หนีไปหมด
ฯลฯ
-
คุณตาเล่าถึงภรรยา 2 คน ของท่านให้ฟังด้วยค่ะ ว่า
“ ใครว่าตามีเมีย 2 คน มี 3-4-5 ต่างหาก สมัยก่อนเวลาไปรับราชการที่ไหนก็จะไปได้ผู้หญิงที่นั่น ที่ต้องยุ่งกับผู้หญิงเพราะตามีของขลัง อาจารย์ที่ให้ของห้ามไปยุ่งกับโสเภณี เมื่อไปยุ่งกับหญิงงามเมืองไม่ได้ ก็ต้องไปยุ่งกับลูกสาวเขา แต่ว่าไม่ได้มีลูกด้วยกัน
- เมียที่มีลูกด้วยกัน มี 2 คน คนแรกชื่อ เฉลา เป็นลูกหลานเจ้าเมืองเก่าพัทลุง อยู่กันมาจนอยู่ๆ เขาก็ไม่หายใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะเราไม่ใช่หมอ พูดเล่นน่ะ (หัวเราะ) เขาออกลูกมากแล้วเดินทางไกล ลูกคนสุดท้องเพิ่งเกิด เขาก็ตาย
ตามีลูกกับคุณเฉลา 9 คน
ภรรยาคนที่ 2 ชื่อ สมสมัย เป็นคนมาเลเซีย มีลูกกับตา 9 คน ตอนที่เฉลาเมียคนแรกตาย ลูกคนสุดท้องของเฉลายังมากินนมของสมสมัยอยู่เลย
ฯลฯ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากการที่ได้สัมผัส "ท่านขุนพันธ์" มาอย่างใกล้ชิด จขกท. จึงคิดว่าคนที่เหมาะจะถ่ายทอดความเป็นท่านออกมาสู่จอแก้ว ก็คือ ผู้พันเบิร์ด หรือไม่ก็ เอส กันตพงศ์ หรือไม่ก็ เวียร์-ศุกลวัฒน์ ค่ะ เพราะว่าหน้าตารูปร่าง หน่วยก้านคล้ายคลึง แถมดูมีความเป็นคนใต้อยู่ด้วย ขอสารภาพว่าตอนที่รู้ว่าเป็น “อนันดา” เล่นนั้น แม้จะเป็นดาราคนโปรดและยอมรับในฝีมือ (และเคยกิ๊กกันมาก่อน แฮ่) แต่ด้วยความที่อนันดา หน้าแลดูเป็นฝรั่งเกิ๊น ถึงจะคลั่งความหล่อยังไง คลั่งความเท่ยังไง คลั่งความดิบเถื่อนเฮียจู๋ของเจ๊จิ๋มยังไง คลั่งอินทรีแดงยังไง ฯลฯ แต่แหม หน้าอนันดาไม่ไปกับการที่จะมาถ่ายทอดอัตชีวประวัติท่านขุนพันธ์ให้โลกได้จารึกไว้เลยแม้แต่น้อยค่ะ
แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพนิ่ง ได้เห็นทีเซอร์ จนกระทั่งตัดสินใจเข้าไปดูในโรง โอ้ แม่เจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่า อนันดาจะเล่นได้ลึก มีมิติ และมีอินเนอร์ในการแสดงดีมากๆ ขนาดนี้ ดีถึงขนาดลืมหน้าอันฟรั้งฝรั่งของเขาไปตอนไหนไม่รู้เลย มารู้ตัวอีกที รู้แต่ว่า เขาช่างเป็นขุนพันธ์ที่เท่และมีความเป็นวีรบุรุษที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง
สมแล้วที่ว่ากันว่า อนันดาปรามาสไม่ได้เลยจริงๆ
สุดท้าย จขกท.ไม่รู้ว่าหนังดีหรือเปล่านะคะ ใครอยากรู้ต้องไปดูเอาเอง สิ่งที่รู้อย่างเดียวคือ ความเป็นตัวตนของ "ท่านขุนพันธ์" และ "อนันดา" รวมถึงบทอัลฮาวียะลู ที่ "พี่น้อย-วงพรู" เล่นนั้น ดีถึงดีมากที่สุด และก็ยอมใจคนที่หยิบอัตชีวประวัติของท่านมาสร้างเป็นหนังให้เราได้ชมกันมากๆ เลยค่ะว่า
คุณช่างกล้ามากที่เสี่ยงแหวกตลาด หยิบชีวิตท่านมาสร้างโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มให้พวกเราคนรุ่นหลังได้ดูและได้ระลึกถึงท่านกันเยี่ยงนี้
ปลาดาว เอเวอริงแฮม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ 1 : ขออนุญาตเอารูปตอน จขกท. สัมภาษณ์ท่านออกนะคะ รูปใหญ่เท่าบ้าน งานอาจเข้า จขกท. ได้
CR ภาพจากสหมงคลฟิล์มนะคะ
หมายเหตุ 2 : ขออนุญาตแท็กดาราที่ จขกท.เคยสัมภาษณ์หรือพูดคุยมาลงพันทิป ทั้งในห้องเฉลิมไทยและห้องบางขุนพรหมแบบ Exclusive พิเศษเฉพาะพันทิปที่เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น /ณเดชน์ /เจมส์ มาร์ /เวียร์ / หมาก-ปริญ /บอย-ปกรณ์/ ป้าแจ๋ว/ หนุ่ม-อรรถพร/อา ปิ่น ณัฏฐนันท์/ พี่ แอ้ว-อำไพพร/ พี่แดง-ธัญญา / พี่แหม่ม-ธิติมา/ พี่เจสัน ยัง/ เฟิร์สต์ เอกพงษ์/ กัน เดอะ สตาร์ /เอ-ศุภชัย ฯลฯ ด้วยนะคะ
เหตุที่แท็กเป็นเพราะว่า คิดถึง "เพื่อนเก่า" ในพันทิปมากมาย นับแต่แยกห้องกัน แต่ละคนก็แตกกระสานซ่านกระเซ็น ถ้าใครเคยอ่านงานที่ จขกท. (PLADOWN ) สัมภาษณ์ศิลปินคนไหน รบกวนแสดงตัวให้รู้หน่อยนะคะว่า ในยุคที่คนตั้งกระทู้ในพันทิปเหมือนโพสต์สเตตัสในเฟส ฟลัดกระทู้เล่นไปวันๆ แถมมีบางคนตั้งกระทู้แล้วคุยกับตัวเองอีกต่างหากนั้น
สังคมพันทิปของเรา ยังมีคนเก่าๆ ที่ยังเป็นคนสังคมคุณภาพอยู่
Exclusive : เพราะคิดถึง เพื่อนเก่า จึงขอมาเล่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยสัมภาษณ์ “ขุนพันธ์” ที่ไม่เหมาะกับ "อนันดา"เลยสักนิด
เหตุที่ไปสัมภาษณ์ท่านถึงบ้านใน ซ.ราชเดช อันเป็นชื่อราชทินนามของท่านที่บ้านของท่านจังหวัดนครศรีธรรมราชได้นั้น ก็เนื่องจาก จขกท.เป็นลูกหลานคนนคร และยังเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นครอุทิศ ที่ลูกสาวของท่าน คือ คุณครูฐีติพันธ์ พันธรักษ์ราชเดช เป็นครูสอนอยู่ ท่านเลยเมตตาเพราะเห็นเป็นลูกหลานชาวนครด้วยกัน ทั้งๆที่ในวัยบั้นปลายชีวิตในตอนนั้น ท่านต้องการพักผ่อนอยู่กับลูกหลานอย่างสงบและไม่ต้องการออกสื่อให้วุ่นวายอีกต่อไปแล้ว นับว่าเป็นบุญของ จขกท.มากๆค่ะ
ตอนที่ไปกราบสัมภาษณ์นั้น ท่านอายุ 101 ปี แต่สุขภาพของท่านยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงมาก สามารถเดินเหินได้คล่องแคล่ว ท่านพูดคุยเสียงดังฟังชัด เต็มใจเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังอย่างไม่รู้เบื่อ ท่านใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ตา” และเรียก จขกท.ว่า หนู ประดุจว่าเราเป็นลูกหลานที่ท่านให้ความเมตตา ฟังแล้วเกิดความอบอุ่นมากๆ ค่ะ ที่สำคัญท่านมีอารมณ์ขัน คอยเรียกเสียงฮาช่วงที่พูดคุยกันได้เป็นระยะๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามและมีบารมี อุปสรรคอย่างเดียวที่มีตอนนั้นคือท่าน “หูตึง” ค่ะ เวลาคุยกับท่านจึงต้องกระซิบคำถามข้างหูท่านอยู่ตลอด และท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีและน่านับถือมากที่สุด เช่น ตอนที่คุยกันถึง ว่านสมุนไพรที่ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ให้อยู่ยงคงพระพัน ชื่อ “ใบตูดหมูตูดหมา” ท่านก็ได้กรุณาพาเดินไปเด็ดใบนี้ที่หน้าบ้านของท่าน แล้วลองให้ จขกท.ลองชิมดูด้วยค่ะ
เกร็ดน่ารู้ที่ได้จากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ก็คือ ท่านฟันหักซี่แรก เมื่ออายุ 87 ปี ผ่าตัดทำเลสิกตาครั้งแรกเมื่ออายุ 96 ปี ความจำยังคงแม่น ไม่หลงๆ ลืมๆ และคอยติดตามอ่านข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์ทุกวัน ท่านจะมีความสุขมากเมื่อลูกหลานพาไปกินสุกี้เอ็มเคที่ร้าน และได้ดูละครบ้านทรายทอง ซึ่งเป็นละครที่กำลังโด่งดังอยู่ในสมัยนั้น
เนื่องจากบทสัมภาษณ์นี้ยาวมาก จขกท.จึงขออนุญาตตัดตอนจากงานของเดิมมาลง โดยเลือกประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ดังนี้นะคะ
ท่านเล่าว่า
“ ตาเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2442 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนที่ท่านสวรรคต ตาอายุ 7 ขวบ ตาเกิดที่บ้านไอ้เขียว ต.ดอนตะโก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เดิมตาชื่อ “บุตร์” นามสกุล “พันธรักษ์” พ่อชื่ออ้วน แม่ชื่อทองจันทร์ มีอาชีพทำสวนหมากสวนพลู สวนทุเรียน ช่วงเด็กๆ ตาก็ได้เรียนหนังสือตามเกณฑ์ เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (ปัจจุบันคือโรงเรียนเบญจมราชูทิศ) เรียนถึงชั้น ม.2 ก็เข้าบางกอก แล้วเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเบญจมบพิตร หลังจากนั้นก็มาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดราชาธิวาสจนจบชั้น ม.8 เรียนหนังสือเก่งไหม เก่งไม่เก่งไม่รู้ละ ไม่เคยสอบได้ที่ 1 แต่ก็ไม่เคยสอบตก เรียนได้จนจบก็แล้วกัน
ระหว่างนั้น ตาได้เรียนพวกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย มวยฝรั่ง กระบี่กระบอง ดาบ ยูโด แล้วก็ยิมนาสติก ยิมนาสติกนี่เล่นจนชนะเลิศ เป็นแชมป์ 4 ปีซ้อนเชียวนะ แต่การเล่นยิมนาสติกมากนี้มันมาส่งผลตอนแก่ ทำให้เป็นโรคไส้เลื่อน เพราะสมัยก่อนไม่มีซัพพอร์ตเตอร์ ต้องใช้ผ้าขาวม้ามัดแทน ตาก็ใช้ผ้าขาวม้ามัดตลอด (หัวเราะ)
ตอนจบชั้นมัธยมก็ไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ นครปฐม ที่อยากเป็นตำรวจเพราะนุ่งผ้าไม่เป็น สมัยก่อนถ้ารับราชการต้องนุ่งโจงกระเบน ตานุ่งไม่เป็น กลัวหลุด อยากนุ่งกางเกง ก็เลยมาเรียนตำรวจ ใช้เวลาเรียน 5 ปีถึงจะจบ
เมื่อเรียนจบปี พ.ศ.2473 ก็เข้าทำงานรับราชการตำรวจ ตำแหน่งแรกคือ นักเรียนทำการนายร้อยตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ได้เงินเดือน 80 บาท ซึ่งก็ถือว่ามาพอสมควร เมื่อเทียบกับค่าเงินสมัยนั้น
ตอนที่อยู่สงขลา ยังไม่ได้ปราบจอมโจรเสือร้ายเลย ไปปราบตอนไปอยู่พัทลุงนู่น ที่พัทลุงนี่แหละที่ตาได้ปราบเสือสังข์และผู้ร้ายอื่นๆ อีกเกือบ 20 คนได้สำเร็จ และได้รับยศเป็นนายร้อยตรีและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนพันธรักษ์ราชเดช จากนั้นก็ย้ายไปรับราชการหลายจังหวัดเลย เช่น กำแพงเพชร อยุธยา พิจิตร ชัยนาท แล้วก็กลับมาภาคใต้อีกครั้ง ยศสุดท้ายคือ พลตำรวจตรี
เสือร้ายที่ปราบมีเยอะแยะ เสือสังข์เอย เสือฝ้ายเอย เสือใบเอย เสือดำเอย เสือมเหศวรเอย ไหนจะเสือผ่อน เสืออ้วน เสือปลั่ง รวมทั้งเสือฝ้าย เจ้าพ่อสุพรรณและจอมโจรอะแวสะดอตาและ ขุนโจรร้ายจอมแบ่งแยกแผ่นดินของภาคใต้ด้วย
(ประเด็นเรื่องเสือนี้ท่านเล่าละเอียดมาก เล่าเรื่องเป็นคนๆ ไปเลย เช่น เล่าเรื่องเสือสังข์ว่าไปดักซุ่มจับตั้งแต่ตี 4 ตอนต่อสู้กันนั้น ท่านได้กัดเสือสังข์จนเสื้อขาด แผลเท่าปาก เลือดเสือสังข์ไหลลงมาตามคางบ้าง ไหลลงมาตามคอท่านบ้าง พอจนมุมท่านก็ใช้มือขวาล้วงไปบีบเม็ดสำคัญของเสือสังข์จนสุดท้ายเสือสังข์หน้าเขียวมืออ่อนตีนอ่อนตายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เป็นต้น แต่ จขกท.ขออนุญาตไม่เล่านะคะ เพราะว่าเนื้อหายาวมาก ใครอยากรู้ต้องไปดูในหนังเอาเองว่าจะมีหรือเปล่านะคะ)
ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ได้ถามท่านเกี่ยวกับวิชาอาคมของท่านนะคะ
- ทราบมาว่าท่านขุนพันธ์มีวิชาอาคมด้านคงกระพันชาตรี ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรคะ
สมัยเรียนนายร้อย ก็ไปเรียนอาคมกับหลวงตาแช่ม วัดตาก้อง ก็ได้วิทยาอาคมติดตัวมา ต่อมารับราชการที่พัทลุง ก็ได้ไปเรียนที่สำนักเขาอ้อ เขาอ้อเป็นสำนักไสยศาสตร์ชื่อดัง มีชื่อด้านเวทมนตร์ คาถาไสยศาสตร์ คงกระพันชาตรี และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พระอาจารย์ที่สอนเสกว่านให้กิน และสอนให้เสกว่านด้วย ว่านนี้กินแล้วจะช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน ทุกวันนี้ตาก็ยังกินอยู่ ปลูกไว้ที่หน้าบ้านเต็มไปหมด
ว่านที่กินประจำคือ ว่านตูดหมูตูดหมา (ภาษาใต้เรียกว่าใบตด หรือ ใบพังโหม) ตื่นเช้ามาก็เด็ดมากิน ก่อนกินก็เสกคาถาอาคมแล้วหันหน้าไปตามทิศ วันจันทร์ทิศไหน วันอังคารทิศไหน ตอนเด็ดก็ว่าคาถานึง ตอนกินก็ว่าอีกคาถา ตอนเคี้ยวก็ว่าอีกคาถา ตอนกลืนก็ต้องว่าอีกคาถา กว่าจะกินเสร็จ มีกรรมวิธีเยอะ
- ได้ยินว่าคุณตามียาทิพย์ เวลาไปปราบโจรในป่า ไม่ต้องกินข้าวได้นานถึง 4 ปี
มียา อาจารย์เสกให้เป็นเม็ดยาขนาดลูกกวาด กินแล้วจะไม่หิวข้าว กินแต่ผลไม้แทนก็อยู่ท้อง ยานี้กินเช้าเม็ดเย็นเม็ด ตาเห็นว่าถ้ากินยานี้แล้ว จะได้ต่อสู้กับผู้ร้ายได้เต็มที่ ไม่เสียเวลาไปหาข้าวกิน ถ้ามัวแต่ไปหุงหาอาหารอยู่ โจรก็หนีไปหมด
ฯลฯ
- คุณตาเล่าถึงภรรยา 2 คน ของท่านให้ฟังด้วยค่ะ ว่า
“ ใครว่าตามีเมีย 2 คน มี 3-4-5 ต่างหาก สมัยก่อนเวลาไปรับราชการที่ไหนก็จะไปได้ผู้หญิงที่นั่น ที่ต้องยุ่งกับผู้หญิงเพราะตามีของขลัง อาจารย์ที่ให้ของห้ามไปยุ่งกับโสเภณี เมื่อไปยุ่งกับหญิงงามเมืองไม่ได้ ก็ต้องไปยุ่งกับลูกสาวเขา แต่ว่าไม่ได้มีลูกด้วยกัน
- เมียที่มีลูกด้วยกัน มี 2 คน คนแรกชื่อ เฉลา เป็นลูกหลานเจ้าเมืองเก่าพัทลุง อยู่กันมาจนอยู่ๆ เขาก็ไม่หายใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะเราไม่ใช่หมอ พูดเล่นน่ะ (หัวเราะ) เขาออกลูกมากแล้วเดินทางไกล ลูกคนสุดท้องเพิ่งเกิด เขาก็ตาย
ตามีลูกกับคุณเฉลา 9 คน
ภรรยาคนที่ 2 ชื่อ สมสมัย เป็นคนมาเลเซีย มีลูกกับตา 9 คน ตอนที่เฉลาเมียคนแรกตาย ลูกคนสุดท้องของเฉลายังมากินนมของสมสมัยอยู่เลย
ฯลฯ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากการที่ได้สัมผัส "ท่านขุนพันธ์" มาอย่างใกล้ชิด จขกท. จึงคิดว่าคนที่เหมาะจะถ่ายทอดความเป็นท่านออกมาสู่จอแก้ว ก็คือ ผู้พันเบิร์ด หรือไม่ก็ เอส กันตพงศ์ หรือไม่ก็ เวียร์-ศุกลวัฒน์ ค่ะ เพราะว่าหน้าตารูปร่าง หน่วยก้านคล้ายคลึง แถมดูมีความเป็นคนใต้อยู่ด้วย ขอสารภาพว่าตอนที่รู้ว่าเป็น “อนันดา” เล่นนั้น แม้จะเป็นดาราคนโปรดและยอมรับในฝีมือ (และเคยกิ๊กกันมาก่อน แฮ่) แต่ด้วยความที่อนันดา หน้าแลดูเป็นฝรั่งเกิ๊น ถึงจะคลั่งความหล่อยังไง คลั่งความเท่ยังไง คลั่งความดิบเถื่อนเฮียจู๋ของเจ๊จิ๋มยังไง คลั่งอินทรีแดงยังไง ฯลฯ แต่แหม หน้าอนันดาไม่ไปกับการที่จะมาถ่ายทอดอัตชีวประวัติท่านขุนพันธ์ให้โลกได้จารึกไว้เลยแม้แต่น้อยค่ะ
แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพนิ่ง ได้เห็นทีเซอร์ จนกระทั่งตัดสินใจเข้าไปดูในโรง โอ้ แม่เจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่า อนันดาจะเล่นได้ลึก มีมิติ และมีอินเนอร์ในการแสดงดีมากๆ ขนาดนี้ ดีถึงขนาดลืมหน้าอันฟรั้งฝรั่งของเขาไปตอนไหนไม่รู้เลย มารู้ตัวอีกที รู้แต่ว่า เขาช่างเป็นขุนพันธ์ที่เท่และมีความเป็นวีรบุรุษที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง
สมแล้วที่ว่ากันว่า อนันดาปรามาสไม่ได้เลยจริงๆ
สุดท้าย จขกท.ไม่รู้ว่าหนังดีหรือเปล่านะคะ ใครอยากรู้ต้องไปดูเอาเอง สิ่งที่รู้อย่างเดียวคือ ความเป็นตัวตนของ "ท่านขุนพันธ์" และ "อนันดา" รวมถึงบทอัลฮาวียะลู ที่ "พี่น้อย-วงพรู" เล่นนั้น ดีถึงดีมากที่สุด และก็ยอมใจคนที่หยิบอัตชีวประวัติของท่านมาสร้างเป็นหนังให้เราได้ชมกันมากๆ เลยค่ะว่า
คุณช่างกล้ามากที่เสี่ยงแหวกตลาด หยิบชีวิตท่านมาสร้างโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มให้พวกเราคนรุ่นหลังได้ดูและได้ระลึกถึงท่านกันเยี่ยงนี้
ปลาดาว เอเวอริงแฮม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ 1 : ขออนุญาตเอารูปตอน จขกท. สัมภาษณ์ท่านออกนะคะ รูปใหญ่เท่าบ้าน งานอาจเข้า จขกท. ได้
CR ภาพจากสหมงคลฟิล์มนะคะ
หมายเหตุ 2 : ขออนุญาตแท็กดาราที่ จขกท.เคยสัมภาษณ์หรือพูดคุยมาลงพันทิป ทั้งในห้องเฉลิมไทยและห้องบางขุนพรหมแบบ Exclusive พิเศษเฉพาะพันทิปที่เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น /ณเดชน์ /เจมส์ มาร์ /เวียร์ / หมาก-ปริญ /บอย-ปกรณ์/ ป้าแจ๋ว/ หนุ่ม-อรรถพร/อา ปิ่น ณัฏฐนันท์/ พี่ แอ้ว-อำไพพร/ พี่แดง-ธัญญา / พี่แหม่ม-ธิติมา/ พี่เจสัน ยัง/ เฟิร์สต์ เอกพงษ์/ กัน เดอะ สตาร์ /เอ-ศุภชัย ฯลฯ ด้วยนะคะ
เหตุที่แท็กเป็นเพราะว่า คิดถึง "เพื่อนเก่า" ในพันทิปมากมาย นับแต่แยกห้องกัน แต่ละคนก็แตกกระสานซ่านกระเซ็น ถ้าใครเคยอ่านงานที่ จขกท. (PLADOWN ) สัมภาษณ์ศิลปินคนไหน รบกวนแสดงตัวให้รู้หน่อยนะคะว่า ในยุคที่คนตั้งกระทู้ในพันทิปเหมือนโพสต์สเตตัสในเฟส ฟลัดกระทู้เล่นไปวันๆ แถมมีบางคนตั้งกระทู้แล้วคุยกับตัวเองอีกต่างหากนั้น
สังคมพันทิปของเรา ยังมีคนเก่าๆ ที่ยังเป็นคนสังคมคุณภาพอยู่