1.กองทัพญี่ปุ่นได้ทำการวางระเบิดเอาไว้บนรางรถไฟในปี 1931 และทำการป้ายสีว่า ประเทศจีนเป็นคนทำ จึงเป็นข้ออ้างในการนำกองทัพญี่ปุ่นบุกไปที่แมนจูเรีย เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ “กรณีมุกเดน” หรือ “กรณีแมนจูเรีย” ทางด้านศาลทหารระหว่างประเทศกรุงโตเกียวพบว่า “มีผู้สมคบคิดในการวางแผนหลายคน ประกอบไปด้วยฮาชิโมโต้ (เป็นเจ้าหน้าที่กองทัพระดับสูงของญี่ปุ่น) ซึ่งยอมรับว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและแถลงว่า เป้าหมายในเหตุการณ์ก็คือ หาข้ออ้างในการยึดครองแมนจูเรียจากกองทัพกวางตุ้ง...”
2.กองกำลัง SS ของนาซียอมรับว่า ได้รับคำสั่งจากหัวหน้า Gestapo ทั้งเขาและพวกของเขาบางส่วนได้ดำเนินการจัดฉากจู่โจมประชาชนของพวกเขาเองและป้ายสีให้กับชาวโปแลนด์เพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกที่ประเทศโปแลนด์
3.นายพลนาซี Franz Halder ยืนยันว่า ผู้นำนาซี Hermann Goering ออกมายอมรับว่าได้ทำการจัดฉากเผาอาคารรัฐสภาเยอรมันในปี 1933 และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นคนวางเพลิง
4.ผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ ยอมรับผ่านทางลายมือเขียนว่า กองทัพแดงโซเวียตได้ระดมยิงหมู่บ้านรัสเซียที่ Mainila ในปี 1939 โดยทำการป้ายสีว่าฟินแลนด์ได้ทำการโจมตี จึงก่อให้เกิดชนวน “สงครามฤดูหนาว” กับประเทศฟินแลนด์ ทางด้านประธานาธิบดีรัสเซียบอริส เยลซินยอมรับว่า รัสเซียเป็นผู้จุดชนวนสงครามฤดูหนาว
5.ทางรัฐสภารัสเซียโดยประธานาธิบดีทั้งปูตินกับอดีตผู้นำโซเวียตกอร์บาชอฟ ออกมายอมรับว่า ผู้นำโซเวียตโจเซฟ สตาลินได้ออกคำสั่งให้ตำรวจลับของเขาสังหารเจ้าหน้าที่กองทัพชาวโปแลนด์ 22000 คนและพลเมืองในปี 1940 และจากนั้นก็ป้ายสีว่า เป็นฝีมือของฝ่ายนาซี
6.ทางรัฐบาลอังกฤษยอมรับว่า ในช่วงปี 1946 กับ 1948 ได้ทำการวางระเบิดเรือลำเลียงของชาวยิว 5 ลำที่พยายามหลบหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยมาอยู่ที่ปาเลสไตน โดยตั้งชื่อกลุ่มหลอกๆที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มพิทักษ์อาหรับปาเลสไตน” และจากนั้นก็ทำการป้ายสีกลุ่มหลอกโดยอ้างว่า เป็นต้นเหตุของการวางระเบิด
7.ทางอิสราเอลยอมรับว่า ในปี 1954 กลุ่มก่อการร้ายอิสราเอลได้ปฎิบัติการลับที่ประเทศอียิปต์โดยทำการวางแผนวางระเบิดตึกหลายแห่ง รวมไปถึงสถานทูตของประเทศอเมริกา จากนั้นก็ทิ้ง “หลักฐาน” โดยป้ายสีว่าชาวอาหรับมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (มีการระเบิดขึ้นก่อนจุดหนึ่ง ทำให้ชาวอียิปต์พยายามหาตัวมือระเบิดและต่อมาทางด้านอิสราเอลก็สารภาพกับความจริงที่เกิดขึ้น)
8. CIA ยอมรับว่าได้ว่าจ้างชาวอิหร่านในปี 1950 โดยวางบทให้เป็นคอมมิวนิสต์และทำการวางระเบิดที่ประเทศอิหร่านจากการให้ใบสั่งโดยทำการต่อต้านการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตย
9.นายกรัฐมนตรีตุรกียอมรับว่า ทางรัฐบาลตุรกีได้ทำการวางระเบิดในปี 1955 ที่สถานกงสุลตุรกีประจำกรีก ซึ่งสร้างความเสียหายบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงบ้านเกิดของผู้สร้างตุรกีสมัยใหม่และก็ทำการป้ายสีให้กับกรีก โดยใช้เป็นข้ออ้างในการส่งเสริมใช้ความรุนแรงกับฝ่ายต่อต้านชาวกรีก
10.นายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษยอมรับต่อรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมว่า ทั้งเขากับประธานาธิบดีอเมริกาดไวต์ ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติแบบแผนในปี 1957 ในการโจมตีซีเรียและทำการป้ายสีให้กับรัฐบาลซีเรียจนส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
11.อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอิตาลี ผู้พิพากษาอิตาลีกับอดีตหัวหน้าฝ่ายต่อต้านข่าวกรองของอิตาลีได้ยอมรับว่า ทาง NATO พร้อมกับทางเพตากอนกับ CIA ได้ทำการวางระเบิดที่ประเทศอิตาลีและประเทศอื่นๆในยุโรปในช่วงปี 1950 และทำการป้ายสีให้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยมีการชักชวนให้ผู้คนออกมาสนับสนุนรัฐบาลของพวกเขาในยุโรปในการต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์ มีผู้ร่วมปฎิบัติการลับคนหนึ่งได้กล่าวว่า “คุณโจมตีประชาชน ทั้งพลเรือน ผู้หญิง เด็กเล็ก ผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเหตุผลเกมการเมือง เหตุผลฟังดูเลอะเทอะดี พวกเขาคาดหวังว่าประชาชนอิตาลีจะเข้าสู่รัฐที่มีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น” (ทั้งอิตาลีกับประเทศอื่นๆในยุโรปก็มีการปฎิบัติการลับโดยให้ความร่วมมือกับทาง NATO ก่อนที่จะมีการวางระเบิดเกิดขึ้น) และก็ทำการเฝ้าดูข่าวด่วนจากช่อง BBC เช่นกันพวกเขาก็ยังสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายทั้งในฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เดนมาร์ก เยอรมนี กรีก เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ โปรตุเกส อังกฤษและประเทศอื่นๆ
12.ในปี 1960 วุฒิสภาชาวอเมริกัน George Smathers แนะนำว่า ทางอเมริกาควรที่จะ “จัดฉากการโจมตีที่อ่าวกัวตานาโมเพื่อที่จะทำให้เป็นข้ออ้างในการจู่โจมและโค่นล้มคาสโตร
13.เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาได้เปิดเผยว่า ในปี 1961 ประธานคณะเสนาธิการร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆได้ทำการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความรุนแรงในโดมินิกันเพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกประเทศ แผนการยังไม่ได้ดำเนินการ แต่พวกเขาทุกคนต่างก็หารือเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
14.ทางรัฐบาลอเมริกายอมรับว่า เอกสารลับเผยให้เห็นว่า ในปี 1962 ประธานคณะเสนาธิการร่วมได้ทำการลงนามอนุมัติในการวางระเบิดเครื่องบินหลายลำของอเมริกัน (โดยมีการวางแผนสับเปลี่ยนเครื่องบิน) และเช่นกันมีการอนุมัติในการปฎิบัติการก่อการร้ายกับชาวอเมริกัน และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่าชาวคิวบาเป็นคนทำเพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกประเทศคิวบา
15.ในปี 1963 กระทรวงกลาโหมของอเมริกาได้ลงนามอนุมัติในการโจมตีประเทศที่ทางอเมริกาสนับสนุนเช่น ประเทศตรินิแดดและโตเบโกกับจาเมก้า และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่าประเทศคิวบาเป็นคนทำ
16.กระทรวงกลาโหมอเมริกาแนะนำอย่างลับๆว่า จะต้องติดสินบนคนในรัฐบาลคาสโตรให้ทำการโจมตีอเมริกา “จะต้องทำการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ที่เหมาะต่อการโจมตี จากนั้นก็ทำการติดสินบนให้กับคนของคาสโตรโดยมอบหมายให้โจมตีที่กัวตานาโม”
17.ทาง NSA ออกมายอมรับว่า เหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ยในปี 1964 จริงๆแล้วเป็นเรื่องโกหก โดยมีการเติมแต่งข้อมูลว่า เรือของฝ่ายเวียดนามเหนือยิงเรือรบของอเมริกาเพื่อเป็นข้ออ้างในการจุดชนวนสงครามเวียดนาม
18.ทางด้านคณะกรรมการรัฐสภาของอเมริกายอมรับว่า โครงการ Cointelpro นั้น ทางด้าน FBI ได้ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากในช่วงปี 1950 จนถึง 1970 ก่อความรุนแรงและป้ายสีให้กับฝ่ายนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
19.ทางด้านนายพลระดับสูงของตุรกีออกมายอมรับว่า กองทัพตุรกีได้ทำการเผามัสยิดที่ไซปรัสในปี 1970 และทำการป้ายสีให้กับฝ่ายตรงข้าม เขาอธิบายว่า “ในสงครามพิเศษนั้น แน่นอนว่าจะต้องมีการปฎิบัติการก่อวินาศกรรมเป็นขั้นเป็นตอนและทำการป้ายสีให้กับฝ่ายศัตรูเพื่อเพิ่มกระแสความเกลียดชังของประชาชน พวกเราทำแบบนี้ที่ไซปรัส แม้ว่าพวกเราได้ทำการเผามัสยิดแล้วก็ตาม” มีนายพลที่พูดออกมาอย่างน่าแปลกใจว่า “ผมจะแสดงตัวอย่างให้ดู”
20.เอกสารลับของ CIA มีการเปิดเผยว่า ในปี 1973 ได้มีการวางแผนปฎิบัติการฝึกฝนตำรวจต่างชาติกับกองทหารว่า จะทำกับดักระเบิดได้อย่างไร โดยพวกเขาได้ทำการฝึกฝนว่า จะทำการสืบสวนผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร :
“เจ้าหน้าที่ทำการติดต่อประสานงานกับฝ่ายตำรวจต่างชาติ/เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตลอดจนถึงฝ่ายทหาร
CIA ได้จัดเตรียมการฝึกฝนดังนี้คือ
a.ให้ผู้ฝึกฝนมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสารและการวางระเบิดกับการวางเพลิง โดยพวกเขาอาจจะต้องยอมรับแนวทางการก่อการร้ายและปฎิบัติการก่อวินาศกรรม
b.ให้ผู้ฝึกฝนทำการติดต่อสื่อสารอย่างมีเหตุมีผลและฝึกฝนทดลองที่บ้าน เช่นกันก็จะต้องเรียนรู้ในการประดิษฐ์วัตถุระเบิดและการวางเพลิงแบบผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่อวินาศกรรม
c.ให้ผู้ฝึกฝนมีแนวคิดการในวิเคราะห์เป้าหมายและการวางแผนปฎิบัติการแบบเดียวกับผู้ก่อวินาศกรรมหรือผู้ก่อการร้ายจริงๆ
d.ให้ผู้ฝึกฝนรู้จักการวางกับดักระเบิดและเรียนรู้เทคนิคจากประสบการณ์จริงทั้งจากการประดิษฐ์และทำการประดิษฐ์แบบฉับพลัน
โปรแกรมได้ทำให้ผู้ฝึกฝนเข้าใจถึงความรู้ความชำนาญเบื้องต้นและทำการรับมือ เตรียมการและประดิษฐ์ระเบิดทางเลือกต่างๆ ทั้งในแบบวางเพลิง แบบก่อการร้ายและเทคนิคการก่อวินาศกรรม
21.รัฐบาลเยอรมันยอมรับว่า ในปี 1978 หน่วยราชการลับของเยอรมันได้ทำการวางระเบิดบริเวณด้านนอกกำแพงเรือนจำและใช้เครื่องมือหลบหนีกับนักโทษซึ่งเป็นสมาชิกกองทัพแดง โดยทางหน่วยราชการลับหวังว่าจะทำการป้ายสีว่าอีกฝ่ายวางระเบิด
22.สายลับ Mossad ยอมรับว่า ในปี 1984 Mossad ได้ทำการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณวิทยุบริเวณที่พักของกัดดาฟีที่ตริโปลี ประเทศลิเบีย โดยทำการจัดฉากส่งสัญญาณการก่อการร้ายโดย Mossad เพื่อป้ายสีว่า กัดดาฟีเป็นผู้สนับสนุนลัทธิการก่อการร้าย หลังจากนั้นโรนัลด์ แรแกนก็ได้สั่งการทิ้งระเบิดที่ลิเบียทันที
23.คณะกรรมการแสวงหาความจริงเพื่อความสมานฉันท์ของประเทศแอฟริกาใต้พบว่า ในปี 1989 CCB (เป็นองค์กรลับของหน่วยความมั่นคงของแอฟริกา) ได้ค้นหาผู้เชี่ยวชาญวางระเบิดและว่าจ้างเขา “ให้เป็นผู้เข้าร่วมปฎิบัติการโดยตั้งเป้าหมายดิสเครดิตพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกาจากการวางระเบิดรถเจ้าหน้าที่สืบสวนจนมีผู้เสียชีวิต” เพื่อเป็นการป้ายสีว่า พรรคสมัชชาเป็นผู้วางระเบิด
24.เอกอัครราชทูตแอลจีเรียกับเจ้าหน้าที่กองทัพในแอลจีเรียหลายคนยอมรับว่า ในปี 1990 กองทัพแอลจีเรียได้ทำการสังหารหมู่ชาวแอลจีเรียด้วยกันเองและทำการป้ายสีว่า ชาวอิสลามเป็นคนฆ่า
25.กองทัพอเมริกาได้ทำการตีพิมพ์เอกสารหัวข้อ Special Forces Foreign Internal Defense Tactics Technique And Procedures For Special Forces ในปี 1994 แต่มีการอัพเดทข้อมูลในปี 2004 โดยมีการแนะนำว่า จะต้องว่าจ้างผู้ก่อการร้ายจัดฉากสร้างสถานการณ์ในประเทศที่เป็นฝ่ายซ้ายในแถบลาตินอเมริกา การจัดฉากสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายก็ประสบความสำเร็จในลาตินอเมริกาและเป็นส่วนหนึ่งของการทำ “สงครามสกปรก” ของ CIA
26.เช่นเดียวกัน CIA ได้ “ปฎิบัติการทางด้านจิตวิทยา” โดย CIA ได้ทำข้อตกลงกับกลุ่มกบฎนิคารากัวในการลอบสังหารบางคนที่เป็นพวกของตัวเองเพื่อเป็นการ “เรียกร้องความสนใจ” จากการจุดชนวน โดยทางรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีสำนักข่าวเผยแพร่ข้อมูลนี้ทั้ง Associated Press,Washington Post กับสำนักอื่นๆ ในช่วงปี 1984 ที่มีการดีเบตประธานาธิบดีนั้น ประธานาธิบดีเรแกนก็ได้เผชิญกับการตั้งคำถามต่างๆทางเนชั่นแนล เทเลวิชั่น
“ในช่วงเวลานี้ พวกเราได้เผชิญกับเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการที่ CIA มีความพัวผันกับกลุ่มกฎหมายที่พวกเราอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่เพียงแค่สนับสนุนการลอบสังหารคนพวกเดียวกันเองเท่านั้น แต่ยังว่าจ้างอาชญากรในการลอบสังหารกลุ่มกบฎที่พวกเราสนับสนุนเพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจขึ้นมา”
27.ทางอินโดนีเซียยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจากการสืบสวนการใช้ความรุนแรงก่อจลาจลที่เกิดขึ้นในปี 1998 และลงความเห็นว่า “ทางกองทัพได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อจลาจล ซึ่งนำไปสู่ชนวนก่อความรุนแรง”
28.ทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงกองทัพกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของรัสเซียยอมรับว่า KGB ได้ทำการระเบิดอพาร์ทเม้นท์ในปี 1999 และทำการป้ายสีให้กับกลุ่ม Chechens จึงเป็นข้ออ้างในการบุกรุกสาธารณรัฐเชเชน
29.สำนักข่าว BBC,The New York Times กับ Associated Press ,เจ้าหน้าที่มาซิโดเนียยอมรับว่า ทางรัฐบาลได้ทำการสังหารผู้อพยพที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ 7 คนอย่างเลือดเย็นและป้ายสีว่า คนทำเป็นทหารของอัลเคด้าที่พยายามจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจมาซิโดเนีย เพื่อนำไปสู่การทำสงครามการก่อการร้าย
30.เดือนกรกฎาคม ปี 2001 ที่ประชุมกลุ่ม G8 เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี มีชายชุดดำถูกบันทึกวีดีโอเอาไว้ตอนที่กำลังออกจากรถตำรวจและมีชาวอิตาลีกำลังถือประแจเหล็กอยู่ข้างในสถานีตำรวจ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในเมืองเจนัวออกมายอมรับว่า ทางตำรวจได้จัดตั้งชาย 2 คนถือระเบิดเพลิงและจัดฉากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในที่ประชุม G8 เพื่อเป็นข้ออ้างในการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงกับฝ่ายผู้ชุมนุมประท้วง
รวมคำสารภาพการจัดฉากสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลทั่วโลก
1.กองทัพญี่ปุ่นได้ทำการวางระเบิดเอาไว้บนรางรถไฟในปี 1931 และทำการป้ายสีว่า ประเทศจีนเป็นคนทำ จึงเป็นข้ออ้างในการนำกองทัพญี่ปุ่นบุกไปที่แมนจูเรีย เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ “กรณีมุกเดน” หรือ “กรณีแมนจูเรีย” ทางด้านศาลทหารระหว่างประเทศกรุงโตเกียวพบว่า “มีผู้สมคบคิดในการวางแผนหลายคน ประกอบไปด้วยฮาชิโมโต้ (เป็นเจ้าหน้าที่กองทัพระดับสูงของญี่ปุ่น) ซึ่งยอมรับว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและแถลงว่า เป้าหมายในเหตุการณ์ก็คือ หาข้ออ้างในการยึดครองแมนจูเรียจากกองทัพกวางตุ้ง...”
2.กองกำลัง SS ของนาซียอมรับว่า ได้รับคำสั่งจากหัวหน้า Gestapo ทั้งเขาและพวกของเขาบางส่วนได้ดำเนินการจัดฉากจู่โจมประชาชนของพวกเขาเองและป้ายสีให้กับชาวโปแลนด์เพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกที่ประเทศโปแลนด์
3.นายพลนาซี Franz Halder ยืนยันว่า ผู้นำนาซี Hermann Goering ออกมายอมรับว่าได้ทำการจัดฉากเผาอาคารรัฐสภาเยอรมันในปี 1933 และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นคนวางเพลิง
4.ผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ ยอมรับผ่านทางลายมือเขียนว่า กองทัพแดงโซเวียตได้ระดมยิงหมู่บ้านรัสเซียที่ Mainila ในปี 1939 โดยทำการป้ายสีว่าฟินแลนด์ได้ทำการโจมตี จึงก่อให้เกิดชนวน “สงครามฤดูหนาว” กับประเทศฟินแลนด์ ทางด้านประธานาธิบดีรัสเซียบอริส เยลซินยอมรับว่า รัสเซียเป็นผู้จุดชนวนสงครามฤดูหนาว
5.ทางรัฐสภารัสเซียโดยประธานาธิบดีทั้งปูตินกับอดีตผู้นำโซเวียตกอร์บาชอฟ ออกมายอมรับว่า ผู้นำโซเวียตโจเซฟ สตาลินได้ออกคำสั่งให้ตำรวจลับของเขาสังหารเจ้าหน้าที่กองทัพชาวโปแลนด์ 22000 คนและพลเมืองในปี 1940 และจากนั้นก็ป้ายสีว่า เป็นฝีมือของฝ่ายนาซี
6.ทางรัฐบาลอังกฤษยอมรับว่า ในช่วงปี 1946 กับ 1948 ได้ทำการวางระเบิดเรือลำเลียงของชาวยิว 5 ลำที่พยายามหลบหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยมาอยู่ที่ปาเลสไตน โดยตั้งชื่อกลุ่มหลอกๆที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มพิทักษ์อาหรับปาเลสไตน” และจากนั้นก็ทำการป้ายสีกลุ่มหลอกโดยอ้างว่า เป็นต้นเหตุของการวางระเบิด
7.ทางอิสราเอลยอมรับว่า ในปี 1954 กลุ่มก่อการร้ายอิสราเอลได้ปฎิบัติการลับที่ประเทศอียิปต์โดยทำการวางแผนวางระเบิดตึกหลายแห่ง รวมไปถึงสถานทูตของประเทศอเมริกา จากนั้นก็ทิ้ง “หลักฐาน” โดยป้ายสีว่าชาวอาหรับมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (มีการระเบิดขึ้นก่อนจุดหนึ่ง ทำให้ชาวอียิปต์พยายามหาตัวมือระเบิดและต่อมาทางด้านอิสราเอลก็สารภาพกับความจริงที่เกิดขึ้น)
8. CIA ยอมรับว่าได้ว่าจ้างชาวอิหร่านในปี 1950 โดยวางบทให้เป็นคอมมิวนิสต์และทำการวางระเบิดที่ประเทศอิหร่านจากการให้ใบสั่งโดยทำการต่อต้านการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตย
9.นายกรัฐมนตรีตุรกียอมรับว่า ทางรัฐบาลตุรกีได้ทำการวางระเบิดในปี 1955 ที่สถานกงสุลตุรกีประจำกรีก ซึ่งสร้างความเสียหายบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงบ้านเกิดของผู้สร้างตุรกีสมัยใหม่และก็ทำการป้ายสีให้กับกรีก โดยใช้เป็นข้ออ้างในการส่งเสริมใช้ความรุนแรงกับฝ่ายต่อต้านชาวกรีก
10.นายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษยอมรับต่อรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมว่า ทั้งเขากับประธานาธิบดีอเมริกาดไวต์ ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติแบบแผนในปี 1957 ในการโจมตีซีเรียและทำการป้ายสีให้กับรัฐบาลซีเรียจนส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
11.อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอิตาลี ผู้พิพากษาอิตาลีกับอดีตหัวหน้าฝ่ายต่อต้านข่าวกรองของอิตาลีได้ยอมรับว่า ทาง NATO พร้อมกับทางเพตากอนกับ CIA ได้ทำการวางระเบิดที่ประเทศอิตาลีและประเทศอื่นๆในยุโรปในช่วงปี 1950 และทำการป้ายสีให้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยมีการชักชวนให้ผู้คนออกมาสนับสนุนรัฐบาลของพวกเขาในยุโรปในการต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์ มีผู้ร่วมปฎิบัติการลับคนหนึ่งได้กล่าวว่า “คุณโจมตีประชาชน ทั้งพลเรือน ผู้หญิง เด็กเล็ก ผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเหตุผลเกมการเมือง เหตุผลฟังดูเลอะเทอะดี พวกเขาคาดหวังว่าประชาชนอิตาลีจะเข้าสู่รัฐที่มีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น” (ทั้งอิตาลีกับประเทศอื่นๆในยุโรปก็มีการปฎิบัติการลับโดยให้ความร่วมมือกับทาง NATO ก่อนที่จะมีการวางระเบิดเกิดขึ้น) และก็ทำการเฝ้าดูข่าวด่วนจากช่อง BBC เช่นกันพวกเขาก็ยังสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายทั้งในฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เดนมาร์ก เยอรมนี กรีก เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ โปรตุเกส อังกฤษและประเทศอื่นๆ
12.ในปี 1960 วุฒิสภาชาวอเมริกัน George Smathers แนะนำว่า ทางอเมริกาควรที่จะ “จัดฉากการโจมตีที่อ่าวกัวตานาโมเพื่อที่จะทำให้เป็นข้ออ้างในการจู่โจมและโค่นล้มคาสโตร
13.เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาได้เปิดเผยว่า ในปี 1961 ประธานคณะเสนาธิการร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆได้ทำการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความรุนแรงในโดมินิกันเพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกประเทศ แผนการยังไม่ได้ดำเนินการ แต่พวกเขาทุกคนต่างก็หารือเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
14.ทางรัฐบาลอเมริกายอมรับว่า เอกสารลับเผยให้เห็นว่า ในปี 1962 ประธานคณะเสนาธิการร่วมได้ทำการลงนามอนุมัติในการวางระเบิดเครื่องบินหลายลำของอเมริกัน (โดยมีการวางแผนสับเปลี่ยนเครื่องบิน) และเช่นกันมีการอนุมัติในการปฎิบัติการก่อการร้ายกับชาวอเมริกัน และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่าชาวคิวบาเป็นคนทำเพื่อเป็นข้ออ้างในการบุกรุกประเทศคิวบา
15.ในปี 1963 กระทรวงกลาโหมของอเมริกาได้ลงนามอนุมัติในการโจมตีประเทศที่ทางอเมริกาสนับสนุนเช่น ประเทศตรินิแดดและโตเบโกกับจาเมก้า และจากนั้นก็ทำการป้ายสีว่าประเทศคิวบาเป็นคนทำ
16.กระทรวงกลาโหมอเมริกาแนะนำอย่างลับๆว่า จะต้องติดสินบนคนในรัฐบาลคาสโตรให้ทำการโจมตีอเมริกา “จะต้องทำการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ที่เหมาะต่อการโจมตี จากนั้นก็ทำการติดสินบนให้กับคนของคาสโตรโดยมอบหมายให้โจมตีที่กัวตานาโม”
17.ทาง NSA ออกมายอมรับว่า เหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ยในปี 1964 จริงๆแล้วเป็นเรื่องโกหก โดยมีการเติมแต่งข้อมูลว่า เรือของฝ่ายเวียดนามเหนือยิงเรือรบของอเมริกาเพื่อเป็นข้ออ้างในการจุดชนวนสงครามเวียดนาม
18.ทางด้านคณะกรรมการรัฐสภาของอเมริกายอมรับว่า โครงการ Cointelpro นั้น ทางด้าน FBI ได้ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากในช่วงปี 1950 จนถึง 1970 ก่อความรุนแรงและป้ายสีให้กับฝ่ายนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
19.ทางด้านนายพลระดับสูงของตุรกีออกมายอมรับว่า กองทัพตุรกีได้ทำการเผามัสยิดที่ไซปรัสในปี 1970 และทำการป้ายสีให้กับฝ่ายตรงข้าม เขาอธิบายว่า “ในสงครามพิเศษนั้น แน่นอนว่าจะต้องมีการปฎิบัติการก่อวินาศกรรมเป็นขั้นเป็นตอนและทำการป้ายสีให้กับฝ่ายศัตรูเพื่อเพิ่มกระแสความเกลียดชังของประชาชน พวกเราทำแบบนี้ที่ไซปรัส แม้ว่าพวกเราได้ทำการเผามัสยิดแล้วก็ตาม” มีนายพลที่พูดออกมาอย่างน่าแปลกใจว่า “ผมจะแสดงตัวอย่างให้ดู”
20.เอกสารลับของ CIA มีการเปิดเผยว่า ในปี 1973 ได้มีการวางแผนปฎิบัติการฝึกฝนตำรวจต่างชาติกับกองทหารว่า จะทำกับดักระเบิดได้อย่างไร โดยพวกเขาได้ทำการฝึกฝนว่า จะทำการสืบสวนผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร :
“เจ้าหน้าที่ทำการติดต่อประสานงานกับฝ่ายตำรวจต่างชาติ/เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตลอดจนถึงฝ่ายทหาร
CIA ได้จัดเตรียมการฝึกฝนดังนี้คือ
a.ให้ผู้ฝึกฝนมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสารและการวางระเบิดกับการวางเพลิง โดยพวกเขาอาจจะต้องยอมรับแนวทางการก่อการร้ายและปฎิบัติการก่อวินาศกรรม
b.ให้ผู้ฝึกฝนทำการติดต่อสื่อสารอย่างมีเหตุมีผลและฝึกฝนทดลองที่บ้าน เช่นกันก็จะต้องเรียนรู้ในการประดิษฐ์วัตถุระเบิดและการวางเพลิงแบบผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่อวินาศกรรม
c.ให้ผู้ฝึกฝนมีแนวคิดการในวิเคราะห์เป้าหมายและการวางแผนปฎิบัติการแบบเดียวกับผู้ก่อวินาศกรรมหรือผู้ก่อการร้ายจริงๆ
d.ให้ผู้ฝึกฝนรู้จักการวางกับดักระเบิดและเรียนรู้เทคนิคจากประสบการณ์จริงทั้งจากการประดิษฐ์และทำการประดิษฐ์แบบฉับพลัน
โปรแกรมได้ทำให้ผู้ฝึกฝนเข้าใจถึงความรู้ความชำนาญเบื้องต้นและทำการรับมือ เตรียมการและประดิษฐ์ระเบิดทางเลือกต่างๆ ทั้งในแบบวางเพลิง แบบก่อการร้ายและเทคนิคการก่อวินาศกรรม
21.รัฐบาลเยอรมันยอมรับว่า ในปี 1978 หน่วยราชการลับของเยอรมันได้ทำการวางระเบิดบริเวณด้านนอกกำแพงเรือนจำและใช้เครื่องมือหลบหนีกับนักโทษซึ่งเป็นสมาชิกกองทัพแดง โดยทางหน่วยราชการลับหวังว่าจะทำการป้ายสีว่าอีกฝ่ายวางระเบิด
22.สายลับ Mossad ยอมรับว่า ในปี 1984 Mossad ได้ทำการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณวิทยุบริเวณที่พักของกัดดาฟีที่ตริโปลี ประเทศลิเบีย โดยทำการจัดฉากส่งสัญญาณการก่อการร้ายโดย Mossad เพื่อป้ายสีว่า กัดดาฟีเป็นผู้สนับสนุนลัทธิการก่อการร้าย หลังจากนั้นโรนัลด์ แรแกนก็ได้สั่งการทิ้งระเบิดที่ลิเบียทันที
23.คณะกรรมการแสวงหาความจริงเพื่อความสมานฉันท์ของประเทศแอฟริกาใต้พบว่า ในปี 1989 CCB (เป็นองค์กรลับของหน่วยความมั่นคงของแอฟริกา) ได้ค้นหาผู้เชี่ยวชาญวางระเบิดและว่าจ้างเขา “ให้เป็นผู้เข้าร่วมปฎิบัติการโดยตั้งเป้าหมายดิสเครดิตพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกาจากการวางระเบิดรถเจ้าหน้าที่สืบสวนจนมีผู้เสียชีวิต” เพื่อเป็นการป้ายสีว่า พรรคสมัชชาเป็นผู้วางระเบิด
24.เอกอัครราชทูตแอลจีเรียกับเจ้าหน้าที่กองทัพในแอลจีเรียหลายคนยอมรับว่า ในปี 1990 กองทัพแอลจีเรียได้ทำการสังหารหมู่ชาวแอลจีเรียด้วยกันเองและทำการป้ายสีว่า ชาวอิสลามเป็นคนฆ่า
25.กองทัพอเมริกาได้ทำการตีพิมพ์เอกสารหัวข้อ Special Forces Foreign Internal Defense Tactics Technique And Procedures For Special Forces ในปี 1994 แต่มีการอัพเดทข้อมูลในปี 2004 โดยมีการแนะนำว่า จะต้องว่าจ้างผู้ก่อการร้ายจัดฉากสร้างสถานการณ์ในประเทศที่เป็นฝ่ายซ้ายในแถบลาตินอเมริกา การจัดฉากสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายก็ประสบความสำเร็จในลาตินอเมริกาและเป็นส่วนหนึ่งของการทำ “สงครามสกปรก” ของ CIA
26.เช่นเดียวกัน CIA ได้ “ปฎิบัติการทางด้านจิตวิทยา” โดย CIA ได้ทำข้อตกลงกับกลุ่มกบฎนิคารากัวในการลอบสังหารบางคนที่เป็นพวกของตัวเองเพื่อเป็นการ “เรียกร้องความสนใจ” จากการจุดชนวน โดยทางรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีสำนักข่าวเผยแพร่ข้อมูลนี้ทั้ง Associated Press,Washington Post กับสำนักอื่นๆ ในช่วงปี 1984 ที่มีการดีเบตประธานาธิบดีนั้น ประธานาธิบดีเรแกนก็ได้เผชิญกับการตั้งคำถามต่างๆทางเนชั่นแนล เทเลวิชั่น
“ในช่วงเวลานี้ พวกเราได้เผชิญกับเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการที่ CIA มีความพัวผันกับกลุ่มกฎหมายที่พวกเราอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่เพียงแค่สนับสนุนการลอบสังหารคนพวกเดียวกันเองเท่านั้น แต่ยังว่าจ้างอาชญากรในการลอบสังหารกลุ่มกบฎที่พวกเราสนับสนุนเพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจขึ้นมา”
27.ทางอินโดนีเซียยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจากการสืบสวนการใช้ความรุนแรงก่อจลาจลที่เกิดขึ้นในปี 1998 และลงความเห็นว่า “ทางกองทัพได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อจลาจล ซึ่งนำไปสู่ชนวนก่อความรุนแรง”
28.ทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงกองทัพกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของรัสเซียยอมรับว่า KGB ได้ทำการระเบิดอพาร์ทเม้นท์ในปี 1999 และทำการป้ายสีให้กับกลุ่ม Chechens จึงเป็นข้ออ้างในการบุกรุกสาธารณรัฐเชเชน
29.สำนักข่าว BBC,The New York Times กับ Associated Press ,เจ้าหน้าที่มาซิโดเนียยอมรับว่า ทางรัฐบาลได้ทำการสังหารผู้อพยพที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ 7 คนอย่างเลือดเย็นและป้ายสีว่า คนทำเป็นทหารของอัลเคด้าที่พยายามจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจมาซิโดเนีย เพื่อนำไปสู่การทำสงครามการก่อการร้าย
30.เดือนกรกฎาคม ปี 2001 ที่ประชุมกลุ่ม G8 เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี มีชายชุดดำถูกบันทึกวีดีโอเอาไว้ตอนที่กำลังออกจากรถตำรวจและมีชาวอิตาลีกำลังถือประแจเหล็กอยู่ข้างในสถานีตำรวจ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในเมืองเจนัวออกมายอมรับว่า ทางตำรวจได้จัดตั้งชาย 2 คนถือระเบิดเพลิงและจัดฉากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในที่ประชุม G8 เพื่อเป็นข้ออ้างในการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงกับฝ่ายผู้ชุมนุมประท้วง