โลกที่ไร้อิสลาม

กระทู้สนทนา
ไปอ่านเจอบทความนี้มาค่ะ เลยขอนำมาแบ่งปันเพื่อเสนอทัศนะในอีกมุมหนึ่ง ของผู้เขียนในเรื่องนี้


บทความ ชำนาญ จันทร์เรือง : โลกที่ไร้อิสลาม (A World without Islam) 


มีคนบางคนเชื่อว่าหากโลกนี้ไม่มีอิสลามแล้วไซร้ โลกเราจะไม่มีการก่อการร้าย โลกเราจะไม่มีความรุนแรง โลกเราจะไม่มีสงครามศาสนา ฯลฯ ซึ่งในความน่าจะเป็นตามความเชื่อดังกล่าว จะเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะหรือ

Graham E Fuller อดีตรองประธานสภาข่าวกรองแห่งชาติของซีไอเอ (CIA) ได้เขียนเรื่อง A World without Islam ตีพิมพ์ในวารสาร Foreign Policy ฉบับล่าสุด ( ม.ค.-ก.พ.2008) และ สฤณี อาชวานันทกุล ได้แปลเผยแพร่ในเว็บไซต์โอเพน ออนไลน์ (www.onopen.com) และเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน(www.midnightuniv.org) : ซึ่งผมเห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อท่านผู้อ่านโดยย่อ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและมีมุมมองที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงต่อพี่น้องมุสลิม

บทความชิ้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่มุสลิมตกเป็นแพะรับบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการก่อการร้ายที่เป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุด ที่โลกตะวันตกมักผูกโยงเข้ากับอิสลามในปัจจุบัน หากจะกล่าวอย่างรวบรัดที่สุดว่า โศกนาฏกรรม 9/11 จะเกิดขึ้นหรือไม่ถ้าโลกไม่มีอิสลาม ถ้าความเจ็บแค้นของตะวันออกกลาง ซึ่งมีรากฐานมาจากความโกรธแค้นต่อนโยบายและพฤติกรรมของอเมริกาที่บ่มเพาะมานานหลายสิบปี ถูกห่อหุ้มด้วยธงที่ไม่ใช่อิสลาม เหตุการณ์จะออกมาเหมือนเดิมหรือไม่

กรณีนี้ก็เหมือนกับกรณีอื่นๆ คือ เราต้องระลึกให้ได้ว่าเป็นเรื่องง่ายเพียงใดที่จะยกศาสนาขึ้นมาบังหน้า ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ คือความเจ็บแค้นเรื่องอื่นที่มีมานานหลายสิบปี สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2001 ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่องสำหรับผู้ก่อการร้าย อัลกออิดะห์ที่จี้เครื่องบินในวันนั้น อิสลามเปรียบเสมือนแว่นขยายในแสงแดดจ้าที่รวบรวมความเจ็บแค้นร่วมหลายๆ ประการเข้าด้วยกัน แล้วนำความเจ็บแค้นเหล่านั้นมาขมวดเข้าด้วยกัน เป็นรังสีที่รุนแรง เป็นชั่วขณะแห่งความชัดเจนว่าจะต้องจัดการกับผู้บุกรุกชาวต่างชาติอย่างไร

ในมุมมองของโลกตะวันตกที่เน้นการก่อการร้ายว่าเป็น ‘ฝีมือ’ ของอิสลามนั้นลืมไปว่าทหารกองโจรของอิสราเอลก็ใช้วิธีการก่อการร้ายกับชาวอังกฤษในปาเลสไตน์, ชาวทมิฬ ‘ไทเกอร์’ ในศรีลังกาผู้นับถือศาสนาฮินดู เป็นผู้คิดค้นศิลปะแห่งการใช้เสื้อเกราะติดระเบิดพลีชีพ และทำสถิตินำหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆ ในการใช้วิธีระเบิดพลีชีพมานานนับทศวรรษ รวมทั้งในการสังหารราจีฟ คานธี นายกรัฐมนตรีอินเดีย, ผู้ก่อการร้ายชาวกรีกสังหารเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันหลายครั้งในกรุงเอเธนส์, ขบวนการก่อการร้ายชาวซิกข์ที่ทำงานอย่างเป็นระบบสังหารนางอินทิรา คานธี และทำให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดียตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก

ผู้ก่อการร้ายชาวมาซีโดเนีย (Macedonia ดินแดนตอนใต้ของกรีซ) เป็นที่หวาดผวาไปทั่วคาบสมุทรบัลข่านในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, การลอบสังหารผู้นำหลายสิบครั้งในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เป็นฝีมือของ ‘นักอนาธิปไตย’ ชาวยุโรปและอเมริกัน ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่ว, กองทัพกู้ชาติไอริช (Irish Republican Army หรือ IRA) ใช้วิธีก่อการร้ายอันโหดเหี้ยมนานัปการในการต่อสู้กับอังกฤษต่อเนื่องนานหลายสิบปี

เช่นเดียวกับที่กองโจรคอมมิวนิสต์และกลุ่มผู้ก่อการร้ายในเวียดนามใช้ในการต่อสู้กับทหารอเมริกัน, คอมมิวนิสต์ในมลายูใช้ต่อสู้กับทหารอังกฤษในทศวรรษ 1950, ผู้ก่อการร้ายชาวเมาเมา (Mau Mau) ใช้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่อังกฤษในเคนยา, และกรณีอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายไม่จำเป็นต้องเป็นชาวมุสลิมเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่