เตือนภัย ใช้จ่ายบัตร VISA ในต่างประเทศ

สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนครับ หลังจากที่ได้เป็นแฟนติดตามอ่านกระทู้เรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนๆ ที่นี่เป็นเวลานาน ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะเป็นคนมาแชร์เรื่องราวของตัวเอง เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างซะที นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของผม ดังนั้นหากมีความผิดพลาดอะไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวยุโรปกับภรรยา และระหว่างเที่ยวก็มีการลงประชามติ Brexit ขึ้นในวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งผลของการลงคะแนนทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนลงอย่างมาก เลยทำให้ผมถือเป็นโอกาสในการซื้อของขวัญครบรอบแต่งงานให้กับภรรยา ทั้งนี้ในวันก่อนโหวต Brexit ค่าเงินยูโรจะอยู่ที่ประมาณ 40 บาท แต่หลัง Brexit ค่าเงินลงมาอยู่ที่ประมาณ 39 บาทต่อยูโร



ของที่ผมซื้อให้ภรรยามีมูลค่าประมาณหนึ่งหมื่นยูโร ผมคำนวณคร่าวๆ ผมน่าจะซื้อได้ถูกลงกว่าเดิมไปราวๆ 1 หมื่นบาท เลยทำให้ผมตัดสินใจซื้อของชิ้นนั้นด้วยบัตรเครดิต VISA ของ KTC ในวันที่ 24 มิ.ย. หนึ่งวันหลังการลงประชามติ ค่าเงินในตลาดวันนั้นที่ผมเห็นซื้อขายอยู่ในช่วง 38.42-39.22 (ข้อมูลจาก yahoo)

เวลาผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ ผมเดินทางกลับถึงประเทศไทย หลังจากที่เคลียร์ข้าวเคลียร์ของอะไรเสร็จเรียบร้อย ผมก็มาตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่ายบัตรเครดิต ก็พบรายการดังกล่าว ตามนี้ครับ



พอมาเคาะเครื่องคิดเลขดู ปรากฎว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้คิดสำหรับรายการนี้อยู่ที่ 41.2398 บาทต่อยูโร ซึ่งผิดปกติอย่างมาก ตอนแรกผมคิดว่ารายการนี้ค่าเงินน่าจะอยู่ที่ 39 บาทกว่าๆ อย่างมากก็ 40 แต่พอค่าเงินที่ใช้คิดขึ้นไปถึง 41 นี่ผมว่ามันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแล้ว เลยทำให้ผมพยายามตรวจสอบเพิ่มเติม

รายการนี้หากสังเกตดูจะพบว่า ได้มีการใช้จ่ายวันที่ 24 มิ.ย. แต่มีการส่งยอดไปเรียกเก็บในวันที่ 26 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ตามปกติหากมีการใช้จ่ายในวันอาทิตย์ค่าเงินที่ใช้ก็จะไป rate ของวันจันทร์ ซึ่งในเคสนี้ตรงกับวันที่ 27 มิ.ย. และหากดูกราฟจะพบว่าค่าเงินในวันจันทร์ต่ำลงไปจากเดิมอีก ซึ่งการที่ผมโดนเรียกเก็บที่ 41.24 บาทนี้ผิดปกติอย่างมาก เพราะอย่างในวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันลงประชามติก่อนที่ยูโรจะลง อัตราแลกเปลี่ยนที่เรียกเก็บจะอยู่ที่ประมาณ 40.84 บาทต่อยูโร

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแทนที่ผมจะจ่ายเงินถูกลง ไฉนมันกลายเป็นว่าผมจ่ายเงินแพงขึ้นได้ มันต้องมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ผมจึงโทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่ Call Center ของ KTC

เจ้าหน้าที่ Call Center ก็ให้บริการอย่างดีมาก เค้าได้อธิบายว่าค่าเงินนี้เค้าคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนของทาง VISA แล้วบวกด้วยค่าธรรมเนียม 2% ซึ่งผมสามารถตรวจสอบได้จาก https://usa.visa.com/support/consumer/travel-support/exchange-rate-calculator.html

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของ KTC บอกว่าจะทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง แล้วให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดต่อกลับ

เมื่อผมได้มาตรวจสอบข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนจากทาง VISA ก็พบว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่ทาง KTC ใช้ถูกต้องตรงกับทาง VISA ทุกอย่าง



เท่าที่ดู KTC ทำถูกทุกอย่าง แต่ที่แปลกคือทาง VISA ผมได้ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนหลายๆ วันทั้งก่อนและหลังของที่ทำรายการ โดยเทียบกับทั้งทาง Master Card และ Bloomberg พบว่า ค่าเงินของทาง VISA ในช่วงวันที่ 24-27 มิ.ย. มันผิดปกติอย่างมาก (สังเกต Highligt สีส้ม)



แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะ ผมได้โทรเข้าที่ Call Center ของทาง VISA ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อสอบถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของทาง VISA ก็บอกให้ส่งรายละเอียดมาทาง e-mail ซึ่งหลังจากส่งข้อมูล ก็มีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมาผ่านทาง e-mail

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยโต้ตอบไปมาหลายรอบ ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ของทาง VISA จะทำหน้าที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์ เป็นเหมือน bot ที่ตอบแต่ข้อความซ้ำๆ ว่าทางเราใช้หลักการอะไรในการคำนวณ มีวิธีการคำนวณอย่างไร แต่ไม่ตอบถึงประเด็นที่ค่าเงินของ VISA แพงกว่าตลาดเป็นอย่างมาก พอผมส่งรูป ส่งอะไรอธิบายถึงจุดหนึ่ง พี่ท่านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ติดต่ออะไรกลับมาอีก

โทรกลับไปหาทางเจ้าหน้าที่ของ VISA ที่เป็นมนุษย์อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ก็พยายามโยนเรื่องกลับไปที่ KTC แล้วก็จับผมโอนสายส่งกลับไปที่ KTC ทาง KTC ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ได้ เพราะ มันเป็นข้อตกลงว่าเค้าจะใช้ rate ของ VISA ในการคิด สุดท้ายดูเหมือนว่าผมคงจะจำเป็นต้องจ่ายเงินแพงขึ้นไปหมื่นกว่าบาทอย่างไม่จำเป็น และไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้

จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม เลยทำให้ผมรู้สึกว่า ผมคงจำเป็นต้องแชร์ข้อมูลที่ได้เจอกับตัว รวมไปถึงข้อมูลที่ผมศึกษามา ถึงภยันตรายของบัตรเครดิต VISA ที่ผมเจอ จนทำให้ผมอยากที่จะเลิกใช้บัตร VISA ทุกใบที่ผมมีอยู่

ถามว่าแล้วเรามีทางออกไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องไปยึดติดกับการใช้บัตร VISA ไหม?

ถ้าสังเกตดูกราฟที่ผมนำเสนอก่อนหน้า ผมได้นำข้อมูลจาก Master ตามเว็บไซต์ https://www.mastercard.com/global/currencyconversion/index.html มาคำนวณและเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นกับ VISA และ Bloomberg ซึ่งผมพบว่าอัตราแลกเปลี่ยนของทาง Master มีความสอดคล้องกับตลาดมากกว่าของ VISA ดูเหมือนว่า VISA จะพยายามหากินกับลูกค้าในช่วงจังหวะที่ตลาดมีความผิดปกติ

บางคนอาจจะรู้สึกว่า มันอาจจะเป็น Error แค่วันสองวันหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ผมจึงลองวิเคราะห์ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างละเอียด โดยพิจารณาถึงอัตรา bid/offer และส่วนต่างระหว่าง bid/offer ตามตารางนี้



ในการพิจารณาว่าสถาบันการเงินไหน ให้อัตราแลกเปลี่ยนดีกว่ากัน ตามปกติเราจะพิจารณาจาก spread (ส่วนต่างระหว่าง bid/offer) หากสถาบันการเงินไหนกำหนดส่วนต่างต่ำกว่า ก็เรียกได้ว่าสถาบันนั้นให้อัตราแลกเปลี่ยนดีกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าทาง Master นอกจากจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้สอดคล้องกับตลาดแล้ว Master ยังคิด bid/offer spread ที่ต่ำกว่า VISA พอสมควร

และจุดที่ร้ายกาจที่สุดของ VISA คือ ตามปกติทาง VISA จะคิด spread ประมาณ 1.5% แต่ในวันที่ 27 มิ.ย. (ที่ผมโดน) กลับคิด spread สูงถึง 4.82% ซึ่งถือว่าเป็นการขูดรีดผู้บริโภคชัดๆ

ข้อสรุปของตัวผมเองก็คือ ต่อแต่นี้ไป ผมคงจะลาขาดกับ VISA แล้วครับ เท่าที่ผมเห็นร้านค้าต่างๆ ที่ไหนรับ VISA ที่นั่นรับ Master ดังนั้นการเปลี่ยนไปใช้ Master คงจะไม่มีปัญหาอะไรกับการใช้งานมากนัก ดีกว่าเสี่ยงที่วันดีคืนดีจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก และเดี๋ยวนี้เราแค่บอกว่ากับทางธนาคารเจ้าของบัตรเราว่า เราอยากเปลี่ยนเป็นบัตร Master ทางธนาคารก็จะออกบัตรใหม่เพิ่มให้กับเราทันทีโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม โดยเราก็ยังใช้บัตรได้ทั้ง VISA และ Master ซึ่งก็คงจะเป็นทางออกทางหนึ่งสำหรับผม

ปล. ไม่ทราบว่าพี่ๆ เพื่อนๆ มีใครเคยเจอเคสแบบนี้มาแชร์กันบ้างไหมครับ? หรือมีใครมีคำแนะนำไหมว่าผมควรที่จะทำอย่างไรในการที่จะเรียกร้องเงินที่จ่ายแพงอย่างที่ไม่สมควรจะเป็น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่