หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท
โดย สายป่านสีชมพู
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดบริษัทประกันชีวิตแห่งใหม่ของเมืองไทยซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่าแปดร้อยล้านบาท ภูวภาสหนุ่มหล่อเจ้าของกิจการวัยสามสิบห้าก็เดินทางจากกรุงเทพฯ มาทำบุญด้วยการถวายจีวรณ์แก่ภิกษุสงฆ์โดยลำพัง ณ วัดชนบทแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัยบ้านเกิด แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักที่เขาดั้นด้นมาที่นี่...
ทุกอย่างต่างไปจากเดิมมากทีเดียวหลังจากเวลาล่วงเลยไปถึงสิบปี ทางลูกรังสีแดงอิฐและบ้านไม้หลังคามุงสังกะสีที่เคยมีอยู่กว่าครึ่งของหมู่บ้านเล็กๆ กลายเป็นภาพในอดีตไป ถนนคอนกรีตถูกขนาบข้างด้วยที่อยู่อาศัยทรงสมัยใหม่และอาณาเขตของชุมชนซึ่งขยายใหญ่กว่าเดิม คือสิ่งที่ภูวภาสกำลังยืนมองจากหน้าต่างศาลาการเปรียญใต้ถุนโล่งยกสูง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเพียงไม่กี่อย่างของที่นี่ที่ยังใช้วัสดุไม้ทำทั้งหลัง เมื่อก่อนมันเคยอยู่ท้ายหมู่บ้านแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นจุดกึ่งกลางของความเจริญที่แผ่ออกไปเสียแล้ว
“ได้ข่าวว่าไปทำธุรกิจกับฝรั่งเจริญรุ่งเรือง ทำไมถึงได้กลับเมืองไทยล่ะโยม” เสียงทุ่มของหลวงพี่ปัญญาสะกิดให้ภูวภาสต้องหันกลับมาหาผู้พูด
“ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเราหรอกครับหลวงพี่” ชายหนุ่มตอบคำถามพร้อมกับรอยยิ้มจืดๆ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายสูงอายุถือปิ่นโตเดินขึ้นบันไดมา
กิริยาผิดปกติของภูวภาสทำให้คู่สนทนาของเขาต้องหันหลังกลับไปมองถึงสาเหตุ “โยมปั้น...มีอะไรหรือโยม”
“เปล่า...ไม่มีอะไรครับหลวงพี่” ภูวภาสมองต่ำหลบสายตาอีกฝ่าย ถึงอาการของชายหนุ่มจะฟ้องชัดว่ามีบางอย่างปิดบังแต่หลวงพี่ปัญญาก็ไม่คิดจะซักไซร้ถามไถ่หาต้นตอเนื่องด้วยไม่ใช่กิจของสงฆ์ จึงได้แต่สงสัยอยู่ในใจเท่านั้น
“ไปนั่งรวมกับคนอื่นสิโยมเดี๋ยวจัดภัตราหารเสร็จพระจะให้ศีลให้พรแล้ว” เมื่อหลวงพี่เอ่ยอย่างนั้นภูวภาสก็หันซ้ายหันขวาสำรวจก่อนจะยกมือไหว้และค้อมตัวเดินออกจากหน้าต่างผ่านหน้าผู้พูดไปนั่งรวมกับทุกคนที่ด้านหน้าปรัมพิธี
“ผมช่วยนะครับ” ภูวภาสยื่นมือขอ...เมื่อเห็นชายชราทำท่าจะถอดชั้นบนสุดของปิ่นโตออกเพื่อเปลี่ยนภาชนะ
ลุงปั้นเงยหน้าขึ้นมองผู้อาสาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะส่งสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการให้โดยไม่พูดอะไร
ตลอดเวลาที่นั่งรับศีลรับพรจนถึงกรวดน้ำภูวภาสมีท่าทีคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับลุงปั้น แต่ก็ลังเลไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว
“เอ็งกลับมาทำไม” ภูวภาสเดินตามหลังลุงปั้นด้วยอาการละล่ำละลักจนเกือบจะถึงประตูวัด อยู่ๆ ชายชราก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“เรื่องลูกสาวลุง...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มสะดุ้งกับคำถามที่ไม่คาดคิดก่อนจะตั้งสติตอบกลับไป
“เรื่องนั้นข้าไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว เอ็งไปจากที่นี่ซะเถอะ” พูดจบลุงปั้นก็เดินต่อไป
“ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิลุง จะให้ผมชดใช้ยังไงก็ได้ ตอนนี้ผมมีเงิน ลุงอยากได้เท่าไหร่บอกผมมาเลย ผมจ่ายให้ได้นะ” ภูวภาสวิ่งมาดักหน้าคู่สนทนาก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ
“ข้าไม่อยากได้เงินของเอ็ง” ลุงปั้นเดินหลบอีกฝ่ายโดยไม่มองหน้า แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างเหลือล้น
“รับเงินผมไว้เถอะลุง ผมอยู่ต่างประเทศมาสิบปีแต่ผมไม่เคยลืมสิ่งที่ผมทำ ขอให้ผมได้ชดใช้เถอะครับ” น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาอาบสองแก้มและการคุกเข่าของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ลุงปั้นต้องหยุดฝีเท้าอีกครั้ง
“ชดใช้...เอ็งจะชดใช้เป็นเงินงั้นรึ ข้าจะบอกอะไรเอ็งให้ ตั้งแต่เมียข้าตายข้าก็ได้เงินประกันมามากโข ข้าไม่ต้องการเงินอีกแล้ว เก็บเงินเอ็งไว้เถอะ” แม้จะใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนชายชราจะไม่ยอมใจอ่อน
“ผมเป็นหนี้ลุงแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท แต่ผมจะคืนให้ลุงเป็นสิบเท่า”
เสียงตะโกนบอกของชายหนุ่มทำให้อารมณ์ครุกรุ่นของลุงปั้นเดือดดานจนต้องเดินกลับมาตบหน้าเจ้าของคำพูดจนหน้าสะบัด “สิ่งที่เอ็งเอาจากข้าไปไม่ใช่เงิน เอ็งเอาชีวิตเมียและทุกอย่างของลูกสาวข้าไป จำใส่กระโหลกเอาไว้”
เมื่อชายชราเห็นว่าไม่มีสิ่งใดมาชดใช้สิ่งที่เสียไปได้เขาจึงเดินจากไปโดยไม่คิดจะเสียเวลากับชายหนุ่มคนนี้อีก
“ผมให้ลุงหนึ่งล้าน”
“สองล้าน”
“สามล้าน”
“ห้าล้าน”
“สิบ...สิบล้าน ผมให้สิบล้าน” ตัวเลขสุดท้ายในข้อเสนอทำให้ลุงปั้นหยุดฝีเท้าลง
“สิบล้าน สิบล้าน ผมให้ลุงสิบล้านแลกกับการเลิกรวมตัวประท้วงผมที่หน้าบริษัท” ภูวภาสรู้ได้ทันทีว่าจำนวนเงินที่เขากล่าวออกไปมีน้ำหนักพอจะทำให้อีกฝ่ายหันมาเจรจาด้วย
“สิบล้านสำหรับข้า ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ คนละหนึ่งล้าน” ลุงปั้นยืนนิ่งรอฟังเสียงจากอีกฝ่าย
เมื่อเงื่อนไขถูกเพิ่มเติมจากที่เสนอไป ทำให้ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จนสองเท้าของลุงปั้นพาเจ้าของออกเดินต่อไปเป็นนัยให้รู้ว่าหากไม่ได้ตามที่ต้องการข้อตกลงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ดะ...เดี๋ยวก่อนครับลุง ตกลง...ผมให้ตามที่ลุงอยากได้ แต่ลุงและพรรคพวกต้องย้ายออกจากหน้าบริษัทผมทันทีนะ” จำนวนเงินสำหรับจ่ายลุงปั้นสิบล้านและผู้ชุมนุมยี่สิบกว่าคนนับเป็นจำนวนที่มากอยู่ แต่หากมันแลกได้กับชื่อเสียงขาวสะอาดโดยไม่มีใครมาขุดคุ้ยเรื่องในอดีต มันก็คุ้มสำหรับธุรกิจที่ต้องใช้ภาพลักษณ์ในการหาเงินจำนวนมหาศาลในอนาคต
“ข้าตกลง” ...
...สามเดือนต่อมา...
หมายศาลถูกส่งไปที่บริษัทของภูวภาส ในเนื้อความระบุถึงการฉ้อโกงเมื่อสิบปีก่อน ชายหนุ่มกับพรรคพวกได้ตั้งบริษัทแชร์ลูกโซ่และหลอกเงินชาวบ้านไปเป็นมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท และหนีไปกบดานอยู่ต่างประเทศก่อนจะกลับมาเปิดธุรกิจประกันชีวิตที่เมืองไทย
“เรื่องราวผ่านมาถึงสิบปีทำไมคุณลุงถึงพึ่งจะมาฟ้องคะ” นักข่าวสาวสวยสามารถเบียดเสียดผู้มีอาชีพเดียวกันจากสำนักอื่นเข้ามายิงคำถามใส่ลุงปั้นเป็นคนแรก
“เมื่อสิบปีก่อนพวกเราไม่มีเงินมากพอจะฟ้องร้องเขาได้ แต่วันนี้เรามีสามสิบกว่าล้านมากพอที่จะจ้างทนายเก่งๆ ให้ระงับวีซ่าการเดินทางออกนอกประเทศของเขาได้” ลุงปั้นตอบคำถามด้วยรอยยิ้มแรกในรอบสิบปี
“ตอนที่ถูกหลอกให้ร่วมลงทุน คุณลุงเสียเงินไปเท่าไหร่คะ” คำถามที่สองจากนักข่าวสาว
“หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท...เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากมายสำหรับผมในตอนนี้ แต่มันมีค่ามหาศาลเมื่อสิบปีก่อน ผมเอาค่ามอบตัวเข้ามหาลัยของลูกสาวมาจ่าย เพราะหวังว่ามันจะเพิ่มเป็นแสนเป็นล้านเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้เมีย แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่บาทเดียว ลูกสาวผมน้อยใจผูกคอตายถึงจะไม่ตายแต่ก็ต้องพิการเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตเพราะกระดูกสันหลังเคลื่อน ส่วนเมียผมก็จากไปเพราะไม่มีเงินรักษา” ...
จบบริบูรณ์
หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท (เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ไม่มีลูกเล่นอะไรเลยในพล็อต วิจารณ์ได้นะ)
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดบริษัทประกันชีวิตแห่งใหม่ของเมืองไทยซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่าแปดร้อยล้านบาท ภูวภาสหนุ่มหล่อเจ้าของกิจการวัยสามสิบห้าก็เดินทางจากกรุงเทพฯ มาทำบุญด้วยการถวายจีวรณ์แก่ภิกษุสงฆ์โดยลำพัง ณ วัดชนบทแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัยบ้านเกิด แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักที่เขาดั้นด้นมาที่นี่...
ทุกอย่างต่างไปจากเดิมมากทีเดียวหลังจากเวลาล่วงเลยไปถึงสิบปี ทางลูกรังสีแดงอิฐและบ้านไม้หลังคามุงสังกะสีที่เคยมีอยู่กว่าครึ่งของหมู่บ้านเล็กๆ กลายเป็นภาพในอดีตไป ถนนคอนกรีตถูกขนาบข้างด้วยที่อยู่อาศัยทรงสมัยใหม่และอาณาเขตของชุมชนซึ่งขยายใหญ่กว่าเดิม คือสิ่งที่ภูวภาสกำลังยืนมองจากหน้าต่างศาลาการเปรียญใต้ถุนโล่งยกสูง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเพียงไม่กี่อย่างของที่นี่ที่ยังใช้วัสดุไม้ทำทั้งหลัง เมื่อก่อนมันเคยอยู่ท้ายหมู่บ้านแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นจุดกึ่งกลางของความเจริญที่แผ่ออกไปเสียแล้ว
“ได้ข่าวว่าไปทำธุรกิจกับฝรั่งเจริญรุ่งเรือง ทำไมถึงได้กลับเมืองไทยล่ะโยม” เสียงทุ่มของหลวงพี่ปัญญาสะกิดให้ภูวภาสต้องหันกลับมาหาผู้พูด
“ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเราหรอกครับหลวงพี่” ชายหนุ่มตอบคำถามพร้อมกับรอยยิ้มจืดๆ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายสูงอายุถือปิ่นโตเดินขึ้นบันไดมา
กิริยาผิดปกติของภูวภาสทำให้คู่สนทนาของเขาต้องหันหลังกลับไปมองถึงสาเหตุ “โยมปั้น...มีอะไรหรือโยม”
“เปล่า...ไม่มีอะไรครับหลวงพี่” ภูวภาสมองต่ำหลบสายตาอีกฝ่าย ถึงอาการของชายหนุ่มจะฟ้องชัดว่ามีบางอย่างปิดบังแต่หลวงพี่ปัญญาก็ไม่คิดจะซักไซร้ถามไถ่หาต้นตอเนื่องด้วยไม่ใช่กิจของสงฆ์ จึงได้แต่สงสัยอยู่ในใจเท่านั้น
“ไปนั่งรวมกับคนอื่นสิโยมเดี๋ยวจัดภัตราหารเสร็จพระจะให้ศีลให้พรแล้ว” เมื่อหลวงพี่เอ่ยอย่างนั้นภูวภาสก็หันซ้ายหันขวาสำรวจก่อนจะยกมือไหว้และค้อมตัวเดินออกจากหน้าต่างผ่านหน้าผู้พูดไปนั่งรวมกับทุกคนที่ด้านหน้าปรัมพิธี
“ผมช่วยนะครับ” ภูวภาสยื่นมือขอ...เมื่อเห็นชายชราทำท่าจะถอดชั้นบนสุดของปิ่นโตออกเพื่อเปลี่ยนภาชนะ
ลุงปั้นเงยหน้าขึ้นมองผู้อาสาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะส่งสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการให้โดยไม่พูดอะไร
ตลอดเวลาที่นั่งรับศีลรับพรจนถึงกรวดน้ำภูวภาสมีท่าทีคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับลุงปั้น แต่ก็ลังเลไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว
“เอ็งกลับมาทำไม” ภูวภาสเดินตามหลังลุงปั้นด้วยอาการละล่ำละลักจนเกือบจะถึงประตูวัด อยู่ๆ ชายชราก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“เรื่องลูกสาวลุง...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มสะดุ้งกับคำถามที่ไม่คาดคิดก่อนจะตั้งสติตอบกลับไป
“เรื่องนั้นข้าไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว เอ็งไปจากที่นี่ซะเถอะ” พูดจบลุงปั้นก็เดินต่อไป
“ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิลุง จะให้ผมชดใช้ยังไงก็ได้ ตอนนี้ผมมีเงิน ลุงอยากได้เท่าไหร่บอกผมมาเลย ผมจ่ายให้ได้นะ” ภูวภาสวิ่งมาดักหน้าคู่สนทนาก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ
“ข้าไม่อยากได้เงินของเอ็ง” ลุงปั้นเดินหลบอีกฝ่ายโดยไม่มองหน้า แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างเหลือล้น
“รับเงินผมไว้เถอะลุง ผมอยู่ต่างประเทศมาสิบปีแต่ผมไม่เคยลืมสิ่งที่ผมทำ ขอให้ผมได้ชดใช้เถอะครับ” น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาอาบสองแก้มและการคุกเข่าของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ลุงปั้นต้องหยุดฝีเท้าอีกครั้ง
“ชดใช้...เอ็งจะชดใช้เป็นเงินงั้นรึ ข้าจะบอกอะไรเอ็งให้ ตั้งแต่เมียข้าตายข้าก็ได้เงินประกันมามากโข ข้าไม่ต้องการเงินอีกแล้ว เก็บเงินเอ็งไว้เถอะ” แม้จะใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนชายชราจะไม่ยอมใจอ่อน
“ผมเป็นหนี้ลุงแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท แต่ผมจะคืนให้ลุงเป็นสิบเท่า”
เสียงตะโกนบอกของชายหนุ่มทำให้อารมณ์ครุกรุ่นของลุงปั้นเดือดดานจนต้องเดินกลับมาตบหน้าเจ้าของคำพูดจนหน้าสะบัด “สิ่งที่เอ็งเอาจากข้าไปไม่ใช่เงิน เอ็งเอาชีวิตเมียและทุกอย่างของลูกสาวข้าไป จำใส่กระโหลกเอาไว้”
เมื่อชายชราเห็นว่าไม่มีสิ่งใดมาชดใช้สิ่งที่เสียไปได้เขาจึงเดินจากไปโดยไม่คิดจะเสียเวลากับชายหนุ่มคนนี้อีก
“ผมให้ลุงหนึ่งล้าน”
“สองล้าน”
“สามล้าน”
“ห้าล้าน”
“สิบ...สิบล้าน ผมให้สิบล้าน” ตัวเลขสุดท้ายในข้อเสนอทำให้ลุงปั้นหยุดฝีเท้าลง
“สิบล้าน สิบล้าน ผมให้ลุงสิบล้านแลกกับการเลิกรวมตัวประท้วงผมที่หน้าบริษัท” ภูวภาสรู้ได้ทันทีว่าจำนวนเงินที่เขากล่าวออกไปมีน้ำหนักพอจะทำให้อีกฝ่ายหันมาเจรจาด้วย
“สิบล้านสำหรับข้า ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ คนละหนึ่งล้าน” ลุงปั้นยืนนิ่งรอฟังเสียงจากอีกฝ่าย
เมื่อเงื่อนไขถูกเพิ่มเติมจากที่เสนอไป ทำให้ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จนสองเท้าของลุงปั้นพาเจ้าของออกเดินต่อไปเป็นนัยให้รู้ว่าหากไม่ได้ตามที่ต้องการข้อตกลงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ดะ...เดี๋ยวก่อนครับลุง ตกลง...ผมให้ตามที่ลุงอยากได้ แต่ลุงและพรรคพวกต้องย้ายออกจากหน้าบริษัทผมทันทีนะ” จำนวนเงินสำหรับจ่ายลุงปั้นสิบล้านและผู้ชุมนุมยี่สิบกว่าคนนับเป็นจำนวนที่มากอยู่ แต่หากมันแลกได้กับชื่อเสียงขาวสะอาดโดยไม่มีใครมาขุดคุ้ยเรื่องในอดีต มันก็คุ้มสำหรับธุรกิจที่ต้องใช้ภาพลักษณ์ในการหาเงินจำนวนมหาศาลในอนาคต
“ข้าตกลง” ...
...สามเดือนต่อมา...
หมายศาลถูกส่งไปที่บริษัทของภูวภาส ในเนื้อความระบุถึงการฉ้อโกงเมื่อสิบปีก่อน ชายหนุ่มกับพรรคพวกได้ตั้งบริษัทแชร์ลูกโซ่และหลอกเงินชาวบ้านไปเป็นมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท และหนีไปกบดานอยู่ต่างประเทศก่อนจะกลับมาเปิดธุรกิจประกันชีวิตที่เมืองไทย
“เรื่องราวผ่านมาถึงสิบปีทำไมคุณลุงถึงพึ่งจะมาฟ้องคะ” นักข่าวสาวสวยสามารถเบียดเสียดผู้มีอาชีพเดียวกันจากสำนักอื่นเข้ามายิงคำถามใส่ลุงปั้นเป็นคนแรก
“เมื่อสิบปีก่อนพวกเราไม่มีเงินมากพอจะฟ้องร้องเขาได้ แต่วันนี้เรามีสามสิบกว่าล้านมากพอที่จะจ้างทนายเก่งๆ ให้ระงับวีซ่าการเดินทางออกนอกประเทศของเขาได้” ลุงปั้นตอบคำถามด้วยรอยยิ้มแรกในรอบสิบปี
“ตอนที่ถูกหลอกให้ร่วมลงทุน คุณลุงเสียเงินไปเท่าไหร่คะ” คำถามที่สองจากนักข่าวสาว
“หนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท...เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากมายสำหรับผมในตอนนี้ แต่มันมีค่ามหาศาลเมื่อสิบปีก่อน ผมเอาค่ามอบตัวเข้ามหาลัยของลูกสาวมาจ่าย เพราะหวังว่ามันจะเพิ่มเป็นแสนเป็นล้านเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้เมีย แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่บาทเดียว ลูกสาวผมน้อยใจผูกคอตายถึงจะไม่ตายแต่ก็ต้องพิการเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตเพราะกระดูกสันหลังเคลื่อน ส่วนเมียผมก็จากไปเพราะไม่มีเงินรักษา” ...