สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้เราจะมาบอกเก้าเล่าสิบถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อำเภอๆหนึ่งค่ะ ธรรมชาติจริงๆค่ะ!
อุดมสมบูรณ์มาก!!! มากถึงขั้นหันขวาเจอแต่ต้นไม้ หันซ้ายก็เจอน้ำตก มองบนฟ้าก็เห็นนก ก้มหน้าก็เจอหนอน
ใครที่ชอบเสพติดธรรมชาติ ชอบน้ำตก ชอบภูเขา ชอบต้นไม้ และที่สำคัญ
ชอบเที่ยวหลายๆที่แถมสบายเงินในกระเป๋าตังค์
ต้องลองมาเที่ยวที่นี่ดูแล้วแหละค่ะ เพียงหนึ่งวัน เที่ยวได้ทั้งอำเภอ
สถานที่นี้ก็คือ!!!
อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
วันนี้ เราจะขอเล่าถึงในส่วนที่เราได้ไปเที่ยวมานะคะ เราและเพื่อนๆได้ทำการแวะเที่ยวทุกสถานที่ของอำเภอวังทอง
ที่อยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข12 พาหนะที่ใช้ก็สะดวกคล่องแคล่วดีค่ะ "มอเตอร์ไซค์คู่ใจ" อยากแวะตรงไหนก็แวะได้ตามใจชอบ ประหยัดอีกด้วย เราถือคติที่ว่า
อยากเที่ยวที่ไหนก็ไป ไม่มีตังค์ก็ไปได้ ขอให้น้ำมันเต็มถัง
จุดที่ 1 ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง
เริ่มต้นกันด้วยที่นี่นะคะ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง หรือที่เรียกว่า "ดอยสุเทพสอง" อยู่บนเขาสมอแคลง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สถานที่แห่งนี้เป็นโรงเจที่สวยงามมาก และเป็นสถานที่จัดวางเทวรูปต่างๆ และยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิถีชีวิตของประชาชนโดยรอบ
**ที่โรงเจมีอาหารหวานคาว ผลไม้ และอีกมากมายให้เลือกทานเลยค่ะ ของขึ้นชื่อคือ
หมี่ซั่วค่ะ ใครไปแล้วไม่ได้ทานถือว่าพลาดมาก พวกเราไม่ได้ไปเพราะเห็นแก่ของฟรีนะคะ
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
ข้างในจะมีตู้รับบริจาคสำหรับค่าอาหารเจด้วยค่ะ เราก็ทำบุญด้วย
จุดที่ 2 วัดเขาสมอแคลง
หลังจากลงมาจากโรงเจ เราก็มาที่นี่ต่อเลยค่ะ วัดเขาสมอแคลง หรือ "วัดราชคีรีหิรัญยาราม" นั่นเอง โดยภายในบริเวณวัดมีการพบรอยพระพุทธบาทจำลอง และบนเขาซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของวัด มีรอยพระบาทตะแคงอยู่กับหน้าผา ระยะทางก็ห่างจากโรงเจไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ ถ้านับจากทางเข้าที่ติดถนนของทั้งสองแห่งนี้ ระยะทางจะห่างกันเพียง 200 เมตรเองค่ะ
ที่วัดมีลูกสุนัขน่ารักด้วยค่ะ ใครว่าสนัขวัดไม่น่ารัก เถียงขาดใจเลย
จุดที่ 3 วัดกกไม้แดง
เราก็มาต่อกันด้วยวัดกกไม้แดงซึ่งขอออกนอกเส้นทางไปทางแยกถนนสายพิษณุโลก-หล่มสักนิดนึงนะคะ วัดนี้มีองค์พระนอนงดงามมาก มีทั้งเจดีย์พระสารีริกธาตุ รูปปั้นสัตว์ และอุทยานปลาขนาดเล็ก ซึ่งสวยงามสงบ ร่มเย็น มีมีพิธีเดินลอดพระนอนด้วยค่ะ ตอนนี้พวกเราก็เป็นวัยรุ่นไทยสายธรรมะธรรมโมเที่ยวสักการะไหว้พระ แทนการไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแล้วนะคะ
จุดที่ 4 น้ำตกสกุโณทยาน
กลับมาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข12กันต่อค่ะ ตอนนี้เราก็มาแวะเล่นน้ำกันที่ "น้ำตกสกุโณทยาน" เดิมน้ำตกแห่งนี้เคยมีชื่อว่า “น้ำตกวังนกแอ่น” ต่อมาภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อไปตามชื่อของวนอุทยานฯ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้ดีทีเดียวค่ะ อากาศสดชื่นมาก ติดกับสวนพฤษศาสตร์ ซึ่งเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยทีเดียว แถมแม่ค้าที่นี่ใจดีมากเลยค่า ใจดีให้ยืมกระติกน้ำกับเสื่อด้วย ส้มตำไก่ย่างที่นี่รสเลิศมากค่า ไม่แพงด้วย เราหุ้นกันกับเพื่อนหลายคนก็หมดไปคนละ 70 บาทเอง
คนที่กลัว
หนอนไม่ควรไปที่น้ำตกนี้นะคะ เพราะมีหนอนเยอะมากค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอันตรายกับเราหรอกค่ะ แต่สำหรับคนที่กลัว เขาก็อาจจะรู้สึกไม่โอเคสักเท่าไหร่ แต่จำนวนหนอนที่เยอะๆนี่แหละค่ะ เป็นอีกดัชนีหนึ่งที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่เหมือนกัน
จุดที่ 5 น้ำตกแก่งซอง
หลังออกจากน้ำตกสกุโณทยาน ยังเล่นน้ำไม่หนำใจค่ะ ร่างกายต้องการกระโดดน้ำอีก เราก็มุ่งหน้าไปสู่น้ำตกแก่งซอง เป็นหนึ่งในน้ำตกหลาย ๆ แห่งของ อ.วังทอง จ.พิษณุโลกซึ่งมีการวางตัวของแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกลางทางไหลของลำน้ำเข็ก มีความกว้างโดยประมาณ 150 เมตร สูงราว ๆ 10 เมตร ตัวน้ำตกไหลผ่านแก่งและโขดหินน้อยใหญ่ซึ่งเรียงตัวสะเปะสะปะเกิดเป็นความสลับซับซ้อนที่สวยงาม
บริเวณใกล้ ๆ กับตัวน้ำตกแก่งซองมีสะพานแขวนข้ามลำน้ำเข็กซึ่งมีความยาวประมาณ 100 เมตร เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันอีกด้วย
ที่นี่มีเรือเป็ดด้วยนะคะ มีอาหารขายด้วยค่ะ ราคาไม่แพง
จุดที่ 6 น้ำตกปอย
เราก็ยังมุ่งหน้าไปจนกว่าจะสุดเขตวังทองกันต่อ จุดนี้มาแวะที่ "น้ำตกปอย" เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม ห่างออกไปทางช่วงปลายของน้ำตกปอยประมาณ 400 – 500 เมตรเป็นที่ตั้งของ “สวนป่าเขากระยาง” บริเวณโดยรอบมีบรรยากาศที่ร่มรื่นรายล้อมไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ มีการจัดสร้างทางเดินปูนเลาะเลียบตามริมลำน้ำเข็กเอาไว้ นักท่องเที่ยวสามารถพักเลือกค้างแรม ณ สวนป่าฯแล้วเดินตามเส้นทางดังกล่าวไปจนถึงน้ำตกปอยได้ไม่ลำบาก
สวนป่าเขากระยางมีบ้านพักหลากแบบหลายขนาดเปิดให้บริการ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท/คืน (ห้องพัดลม จุได้ 2 คน/ห้อง) ไปจนกระทั่งสูงสุดถึง 3,000 บาท/คืน (เรือนนอนรวมติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จุได้ 15 – 20 คน) แต่หากใครอยากสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดสนิทแนบแน่นโดยการเลือกนำเต็นท์มากางนอนเอง ทางสวนป่าฯจะเก็บค่าใช้บริการสถานที่ 100 บาท/เต็นท์ 1 หลัง
เพิงจำหน่ายอาหารริมตลิ่งใกล้ ๆ กับ "น้ำตกปอย"
จุดที่ 7 น้ำตกแก่งโสภา
ถึงแล้วค่ะสำหรับสถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ สองล้อคู่ใจจะได้พักแล้วหลังจากที่ถูกใช้งานกว่าร้อยกิโลเมตร เรารีบจอดรถและลงไปูดโอโซนข้างล่างกันเลยค่ะ อากาศสดชื่นและสงบมาก "น้ำตกแก่งโสภา" หรือ “ไนแองการาเมืองไทย” ถ้าจะให้พิเศษแล้วจะต้องไปในช่วงฤดูหนาว-ฤดูร้อนนั้นก็คือตั้งแต่ช่วงสิ้นปีไปจนถึงเดือนที่ร้อนที่สุดของประเทศไทยกันเลยทีเดียว ทำให้น้ำตกแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวมักจะไปกันในช่วงปีใหม่นั้นเองค่ะ เป็นช่วงที่สายน้ำจะลดระดับความรุนแรงของตัวเองลงค่ะ ทำให้สามารถมองเห็นน้ำตกแห่งนี้ได้ครบทั้ง 3 ชั้น นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินลงไปยังจุดชมวิวด้านหน้าของตัวน้ำตกเพื่อสัมผัสกับสายน้ำเย็นๆและความสวยงามนั้นได้เต็มตาจุใจเลยค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าในช่วงฤดูฝนนี้จะไปเที่ยวไม่ได้นะคะ ในช่วงฤดูนี้ก็ไปเที่ยวได้ค่ะ น้ำตกในช่วงฤดูฝนคงจะคุ้นๆตากันมาแล้วนะคะ คือ น้ำตกเนี่ยจะเป็นสีขุ่นของดินหินที่เมื่อเจอกับกระแสน้ำแรงๆก็จะพัดพาให้เป็นตะกอนไปตามสายน้ำค่ะ ยิ่งทำให้น้ำตกมีความแรงมากขึ้นไปอีกนั่นเอง ทำให้ทางผู้ที่ดูแลนั้นจะต้องมีการนำรั้วกันมาตั้งไว้ เพื่อกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงบันไดผ่านไปยังจุดชมวิวทางด้านหน้าของน้ำตก เพื่อที่จะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับที่นี่จะมีจำหน่ายแค่น้ำดื่ม ส่วนอาหารการกินต้องซื้อเข้ามาเองจากข้างนอกนะคะ และที่นี่ไม่มีถังขยะด้วยค่ะ ดังนั้นจึงต้องอาศัยจิตใต้สำนึกรักษ์ธรรมชาติเก็บขยะกลับไปเองด้วยค่ะ
สิ้นสุดสักทีค่ะสำหรับการเดินทางในเวลา 1 วัน กับงบประหยัดๆ น้ำมันเต็มถัง รวมระยะทางไปกลับเกือบ 300 กิโลเมตร ใช้เวลาทั้งวันในการเดินทาง อย่างนี้แหละค่ะ วิถีสองล้อ สักวันคงจะเป็น Biker
เราต้องไปอีกรอบให้ได้ เพื่อไปเล่นน้ำตอนน้ำใส ตอนอยู่ที่น้ำตกแก่งโสภา มองป้ายบอกทาง อีก 50 กิโลเมตร ถึงเขาค้อ รู้สึกเสียดายมากกกกกค่ะ
ครั้งต่อไปต้องไปถึงเขาค้อให้ได้
**เจ้าของกระทู้เขียนผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ สามารถเข้ามาติชมกันได้ค่ะ
ไว้โอกาสหน้าเราจะมารีวิวที่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป
[CR] ผจญภัยบนทางหลวงหมายเลข12 "วังทองพาเพลิน"
อุดมสมบูรณ์มาก!!! มากถึงขั้นหันขวาเจอแต่ต้นไม้ หันซ้ายก็เจอน้ำตก มองบนฟ้าก็เห็นนก ก้มหน้าก็เจอหนอน
ใครที่ชอบเสพติดธรรมชาติ ชอบน้ำตก ชอบภูเขา ชอบต้นไม้ และที่สำคัญ ชอบเที่ยวหลายๆที่แถมสบายเงินในกระเป๋าตังค์
ต้องลองมาเที่ยวที่นี่ดูแล้วแหละค่ะ เพียงหนึ่งวัน เที่ยวได้ทั้งอำเภอ
สถานที่นี้ก็คือ!!! อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
วันนี้ เราจะขอเล่าถึงในส่วนที่เราได้ไปเที่ยวมานะคะ เราและเพื่อนๆได้ทำการแวะเที่ยวทุกสถานที่ของอำเภอวังทอง
ที่อยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข12 พาหนะที่ใช้ก็สะดวกคล่องแคล่วดีค่ะ "มอเตอร์ไซค์คู่ใจ" อยากแวะตรงไหนก็แวะได้ตามใจชอบ ประหยัดอีกด้วย เราถือคติที่ว่า อยากเที่ยวที่ไหนก็ไป ไม่มีตังค์ก็ไปได้ ขอให้น้ำมันเต็มถัง
จุดที่ 1 ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง
เริ่มต้นกันด้วยที่นี่นะคะ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย โรงเจไซทีฮุกตึ๊ง หรือที่เรียกว่า "ดอยสุเทพสอง" อยู่บนเขาสมอแคลง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สถานที่แห่งนี้เป็นโรงเจที่สวยงามมาก และเป็นสถานที่จัดวางเทวรูปต่างๆ และยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิถีชีวิตของประชาชนโดยรอบ
**ที่โรงเจมีอาหารหวานคาว ผลไม้ และอีกมากมายให้เลือกทานเลยค่ะ ของขึ้นชื่อคือหมี่ซั่วค่ะ ใครไปแล้วไม่ได้ทานถือว่าพลาดมาก พวกเราไม่ได้ไปเพราะเห็นแก่ของฟรีนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้างในจะมีตู้รับบริจาคสำหรับค่าอาหารเจด้วยค่ะ เราก็ทำบุญด้วย
จุดที่ 2 วัดเขาสมอแคลง
หลังจากลงมาจากโรงเจ เราก็มาที่นี่ต่อเลยค่ะ วัดเขาสมอแคลง หรือ "วัดราชคีรีหิรัญยาราม" นั่นเอง โดยภายในบริเวณวัดมีการพบรอยพระพุทธบาทจำลอง และบนเขาซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของวัด มีรอยพระบาทตะแคงอยู่กับหน้าผา ระยะทางก็ห่างจากโรงเจไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ ถ้านับจากทางเข้าที่ติดถนนของทั้งสองแห่งนี้ ระยะทางจะห่างกันเพียง 200 เมตรเองค่ะ
ที่วัดมีลูกสุนัขน่ารักด้วยค่ะ ใครว่าสนัขวัดไม่น่ารัก เถียงขาดใจเลย
จุดที่ 3 วัดกกไม้แดง
เราก็มาต่อกันด้วยวัดกกไม้แดงซึ่งขอออกนอกเส้นทางไปทางแยกถนนสายพิษณุโลก-หล่มสักนิดนึงนะคะ วัดนี้มีองค์พระนอนงดงามมาก มีทั้งเจดีย์พระสารีริกธาตุ รูปปั้นสัตว์ และอุทยานปลาขนาดเล็ก ซึ่งสวยงามสงบ ร่มเย็น มีมีพิธีเดินลอดพระนอนด้วยค่ะ ตอนนี้พวกเราก็เป็นวัยรุ่นไทยสายธรรมะธรรมโมเที่ยวสักการะไหว้พระ แทนการไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแล้วนะคะ
จุดที่ 4 น้ำตกสกุโณทยาน
กลับมาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข12กันต่อค่ะ ตอนนี้เราก็มาแวะเล่นน้ำกันที่ "น้ำตกสกุโณทยาน" เดิมน้ำตกแห่งนี้เคยมีชื่อว่า “น้ำตกวังนกแอ่น” ต่อมาภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อไปตามชื่อของวนอุทยานฯ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้ดีทีเดียวค่ะ อากาศสดชื่นมาก ติดกับสวนพฤษศาสตร์ ซึ่งเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยทีเดียว แถมแม่ค้าที่นี่ใจดีมากเลยค่า ใจดีให้ยืมกระติกน้ำกับเสื่อด้วย ส้มตำไก่ย่างที่นี่รสเลิศมากค่า ไม่แพงด้วย เราหุ้นกันกับเพื่อนหลายคนก็หมดไปคนละ 70 บาทเอง
คนที่กลัวหนอนไม่ควรไปที่น้ำตกนี้นะคะ เพราะมีหนอนเยอะมากค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอันตรายกับเราหรอกค่ะ แต่สำหรับคนที่กลัว เขาก็อาจจะรู้สึกไม่โอเคสักเท่าไหร่ แต่จำนวนหนอนที่เยอะๆนี่แหละค่ะ เป็นอีกดัชนีหนึ่งที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่เหมือนกัน
จุดที่ 5 น้ำตกแก่งซอง
หลังออกจากน้ำตกสกุโณทยาน ยังเล่นน้ำไม่หนำใจค่ะ ร่างกายต้องการกระโดดน้ำอีก เราก็มุ่งหน้าไปสู่น้ำตกแก่งซอง เป็นหนึ่งในน้ำตกหลาย ๆ แห่งของ อ.วังทอง จ.พิษณุโลกซึ่งมีการวางตัวของแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกลางทางไหลของลำน้ำเข็ก มีความกว้างโดยประมาณ 150 เมตร สูงราว ๆ 10 เมตร ตัวน้ำตกไหลผ่านแก่งและโขดหินน้อยใหญ่ซึ่งเรียงตัวสะเปะสะปะเกิดเป็นความสลับซับซ้อนที่สวยงาม
บริเวณใกล้ ๆ กับตัวน้ำตกแก่งซองมีสะพานแขวนข้ามลำน้ำเข็กซึ่งมีความยาวประมาณ 100 เมตร เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันอีกด้วย
ที่นี่มีเรือเป็ดด้วยนะคะ มีอาหารขายด้วยค่ะ ราคาไม่แพง
จุดที่ 6 น้ำตกปอย
เราก็ยังมุ่งหน้าไปจนกว่าจะสุดเขตวังทองกันต่อ จุดนี้มาแวะที่ "น้ำตกปอย" เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม ห่างออกไปทางช่วงปลายของน้ำตกปอยประมาณ 400 – 500 เมตรเป็นที่ตั้งของ “สวนป่าเขากระยาง” บริเวณโดยรอบมีบรรยากาศที่ร่มรื่นรายล้อมไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ มีการจัดสร้างทางเดินปูนเลาะเลียบตามริมลำน้ำเข็กเอาไว้ นักท่องเที่ยวสามารถพักเลือกค้างแรม ณ สวนป่าฯแล้วเดินตามเส้นทางดังกล่าวไปจนถึงน้ำตกปอยได้ไม่ลำบาก
สวนป่าเขากระยางมีบ้านพักหลากแบบหลายขนาดเปิดให้บริการ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท/คืน (ห้องพัดลม จุได้ 2 คน/ห้อง) ไปจนกระทั่งสูงสุดถึง 3,000 บาท/คืน (เรือนนอนรวมติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จุได้ 15 – 20 คน) แต่หากใครอยากสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดสนิทแนบแน่นโดยการเลือกนำเต็นท์มากางนอนเอง ทางสวนป่าฯจะเก็บค่าใช้บริการสถานที่ 100 บาท/เต็นท์ 1 หลัง
เพิงจำหน่ายอาหารริมตลิ่งใกล้ ๆ กับ "น้ำตกปอย"
จุดที่ 7 น้ำตกแก่งโสภา
ถึงแล้วค่ะสำหรับสถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ สองล้อคู่ใจจะได้พักแล้วหลังจากที่ถูกใช้งานกว่าร้อยกิโลเมตร เรารีบจอดรถและลงไปูดโอโซนข้างล่างกันเลยค่ะ อากาศสดชื่นและสงบมาก "น้ำตกแก่งโสภา" หรือ “ไนแองการาเมืองไทย” ถ้าจะให้พิเศษแล้วจะต้องไปในช่วงฤดูหนาว-ฤดูร้อนนั้นก็คือตั้งแต่ช่วงสิ้นปีไปจนถึงเดือนที่ร้อนที่สุดของประเทศไทยกันเลยทีเดียว ทำให้น้ำตกแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวมักจะไปกันในช่วงปีใหม่นั้นเองค่ะ เป็นช่วงที่สายน้ำจะลดระดับความรุนแรงของตัวเองลงค่ะ ทำให้สามารถมองเห็นน้ำตกแห่งนี้ได้ครบทั้ง 3 ชั้น นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินลงไปยังจุดชมวิวด้านหน้าของตัวน้ำตกเพื่อสัมผัสกับสายน้ำเย็นๆและความสวยงามนั้นได้เต็มตาจุใจเลยค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าในช่วงฤดูฝนนี้จะไปเที่ยวไม่ได้นะคะ ในช่วงฤดูนี้ก็ไปเที่ยวได้ค่ะ น้ำตกในช่วงฤดูฝนคงจะคุ้นๆตากันมาแล้วนะคะ คือ น้ำตกเนี่ยจะเป็นสีขุ่นของดินหินที่เมื่อเจอกับกระแสน้ำแรงๆก็จะพัดพาให้เป็นตะกอนไปตามสายน้ำค่ะ ยิ่งทำให้น้ำตกมีความแรงมากขึ้นไปอีกนั่นเอง ทำให้ทางผู้ที่ดูแลนั้นจะต้องมีการนำรั้วกันมาตั้งไว้ เพื่อกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงบันไดผ่านไปยังจุดชมวิวทางด้านหน้าของน้ำตก เพื่อที่จะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับที่นี่จะมีจำหน่ายแค่น้ำดื่ม ส่วนอาหารการกินต้องซื้อเข้ามาเองจากข้างนอกนะคะ และที่นี่ไม่มีถังขยะด้วยค่ะ ดังนั้นจึงต้องอาศัยจิตใต้สำนึกรักษ์ธรรมชาติเก็บขยะกลับไปเองด้วยค่ะ
**เจ้าของกระทู้เขียนผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ สามารถเข้ามาติชมกันได้ค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น