….สัพเพเหระว่าด้วย “รักชาติ”และ “เพื่อชาติ”.....by วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
ในระยะเกือบสิบกว่าปีทีผ่านมากระแสเรื่อง “รักชาติ” มาแรงมาก   จะว่าไปแล้ว..กระแสเรื่องรักชาติ(ไทย)นี่ถูกปลุกเมื่อไหร่ก็แรงเมื่อนั้น   ยิ่งระยะหลังๆ มานี้การรักชาติได้พัฒนาขยายอาณาเขตกว้างขึ้น  คือรักเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะพอเพียง  ได้เพิ่มความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาอีก  นั่นก็คือการ “เกลียด”  คือเกลียดคนที่ “ไม่รักชาติ”      และตอนนี้ดูเหมือนว่าการเกลียดที่ว่านี้ได้กลายมาเป็นพฤติกรรมหนึ่งของคนรักชาติไปแล้ว   และยังเพิ่มการ “ขับไสไล่ส่ง” คนไม่รักชาติให้ไปอยู่นอกแผ่นดินไทยด้วย....     สั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ   อย่าอยู่ประเทศไทย(ให้หนักแผ่นดิน)เลย  เมื่อไม่รักชาติแล้ว


ในอดีต เช่นในสมัยจอมพลป. แม้จะเคยมีการโปรโมตเลือดรักชาติไทยให้กับคนไทยอย่างมโหฬารอลังการ(จากมือโปรอย่างหลวงวิจิตรฯ)กว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ   แต่ก็ไม่เคย “ล้ำเขต” หรือก้าวล่วงวิถีการดำเนินชีวิตของคนอื่นมากมายถึงขั้นต้องขับไสไล่ส่งกันออกนอกแผ่นดินเหมือนปัจจุบัน   การโปรโมตความ “รักชาติไทย” สมัยนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานและความเชื่อว่าคนไทยทุกคนรักชาติ     และไม่เคยสงสัยหรือคอยจับผิดคนอื่นว่าไม่รักชาติหรือหนักแผ่นดินเหมือนปัจจุบันนี้


ที่ผ่านๆ มาเวลาที่กระแสรักชาติเชี่ยวกรากที่สุดนั้น  มักจะต้องมีการเกี่ยวโยงกับต่างชาติ  ไม่ว่าจะเรื่องเขาพระวิหาร(๒๕๐๕-ปัจจุบัน)ที่แตะเมื่อไหร่กระแสรักชาติพุ่งกระฉูดเมื่อนั้น  เรื่องขายหุ้นให้เทมาเส็ก(สิงคโปร์)ที่ยกอ้างตอนไหนก็กระฉูดตอนนั้นเหมือนกัน    โดยความเห็นส่วนตัว  กระแสรักชาติที่เป็นรูปธรรมจริงๆ พึ่งจะมีมาไม่นานมานี่เอง     ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าช่วงวิกฤติ รศ.๑๑๒ (พศ. ๒๔๓๖) ที่เราเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสก็ดี  เสียสิทธิทางการค้าให้กับอังกฤษก่อนหน้านั้นก็ดี นอกจากจะไม่มีการประโคมกระแสรักชาติต่อต้านฝรั่งเศสและอังกฤษเรียกร้องแผ่นดินและสิทธิคืนแล้ว   คนไทยจากภาคอีสานจำนวนมากยังเข้าร่วมกับกบฏผีบุญแล้วเป็นปฏิปักษ์ต่อสยามเพื่อเข้าเป็นอาณัติของฝรั่งเศสด้วยซ้ำ


สูตรการปลุกระแสรักชาติ/รักแผ่นดินให้สัมฤทธิ์ผลที่เราชินและมักจะเห็นและได้ยินกันดาษดื่น   มักจะหนีไม่พ้นการอ้างวรีกรรมของบรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ   บรรพบุรุษหวงแผ่นดินไว้ให้พวกเราบ้าง   ท่านหลั่งเลือด(รักชาติ)หยาดสุดท้ายทาแผ่นดินให้เราบ้าง ชาวบ้านบางระจันเอย   พระยาพิชัยดาบหักเอย ฯลฯ   บรรยายสรรพคุณเป็นเอนกอนันต์ชนิดคนฟังต้องอินน้ำตาไหล   แล้วตบท้ายด้วยประโยค “วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลาน -ัญไร!! ”  เช่นนี้แล้ว  เลือดรักชาติของใครไม่กระฉูดก็ให้มันรู้ไป??


สิ่งที่ผมกำลังเขียนต่อไปนี้  ผมสงสัยว่าถ้าวิญญาณปู่ได้มาอ่านจากบรรทัดนี้ไป   ท่านจะด่าผมว่าผม-ัญไรหรือเปล่ายังไม่รู้นะ    คือผมอนุมานเอาว่า  ชนชั้นล่างที่ส่วนใหญ่เป็นทหารออกศึกสงคราม(หรือจะเรียกว่าปกป้องแผ่นดินก็ได้)ในสมัยนู้นไม่น่าจะมีจิตสำนึกเรื่องรักชาติ หวงแผ่นดินมากมายอย่างที่คนในปัจจุบันนี้พยายามจะสร้างภาพ   การออกรบหรือถูกเกณฑ์ไปออกรบส่วนใหญ่ก็ด้วยพระอัยการว่าด้วยศึกสงคราม   ง่ายๆ สั้นๆ ก็คือไม่ไปสงครามก็โดนประหาร   แต่ถ้าไปรบอาจจะมีโอกาสรอด  ที่พูดตรงนี้ผมคิดว่าผมมองใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด   อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีความจริงกว่าการที่มองว่าบรรพชนเหล่านั้นเร่าร้อนอยากจะควงดาบออกกลางสนามรบเข่นฆ่าศรัตรูด้วยเลือดรักชาติและปกป้องแผ่นดิน   คือผมมองว่าไม่เกี่ยวกับการรักชาติแต่เป็นการรักชีวิตของตัวเองอันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน    ไม่ออกรบโดนโทษประหาร  ไปออกรบมีสิทธิรอดห้าสิบห้าสิบ(แล้วท่านจะเลือกเอาอย่างไหน?)         ตรงนี้ผิดกับคนปัจจุบันบางคนนะ....คำก็บอกว่ารักชาติ   สองคำก็บอกว่ารักชาติ     แต่เวลาจะเกณฑ์ทหารกลับ “หนีทหาร”เอาดื้อๆ    โดนจับได้ภายหลังยังทำเป็นดื้อตาใสโยนเผือกร้อนไปให้สัสดี    




เมื่อ “รักชาติ” แล้วก็ย่อมมีการแสดงออก   ปัญหาอยู่ตรงที่การแสดงออกนี่แหละครับ   เพราะไม่มีนิยามหรือตัวบทกฏหมายกำหนดว่าทำอย่างไร ประพฤติอย่างไรถึงเรียกว่ารักชาติ ทำอย่างไรถึงเรียกว่าไม่รักชาติ  เพราะความกำกวมตรงนี้แหละ   เป็นช่องโหว่ให้บางกลุ่มบางคนฉวยโอกาสอุปโลกน์พฤติกรรมของตัวเองที่กำลังประพฤติอยู่นั้นว่ากำลังทำ “เพื่อชาติ”    เช่น  เอาผ้าธงไตรรงค์โพกหัวบ้าง  ด่ากลุ่มคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเองบ้าง   ฯลฯ   ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ที่ยอมทิ้งใบลานทิ้งคัมภีร์มาปลุกระดมและเชิดชูการ “รักชาติ” เยี่ยงนี้  ประหนึ่งว่ามันสำคัญกว่าการสั่งสอนให้รักและเคารพในพระรัตนตรัย   หรือขนาดครูบาอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยวุฒิปริญญาเอกและพ่วงท้ายปริญญาอีกสี่ห้าใบถึงกับขาดหิริอ้างการ “รักชาติ” มาบังความหื่นความบ้ากามของตัวเองกล้าประกาศลั่นต่อสาธารณะขอล่อและเป็น “ล่อเพื่อชาติ” เลยเถิดไปนู่นเลย


หมายเหตุ :  ในทางการเมืองสมัยก่อน  การที่ต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศหรือแว่นแคว้นไม่เกี่ยวกับข้อหา “ไม่รักชาติ” หรือขายชาติอะไร      อย่างกรณีกรมหมื่นเทพพิพิธในสมัยปลายอยุธาที่โดนเนรเทศไปปล่อยที่เกาะศรีลังกา  ก็ด้วยว่าผู้มีอำนาจตอนนั้นรักและเห็นใจไม่ประหาร(กรมหมื่นเทพพิพิธพยายามร่วมทำการปฏิวัติพระเจ้าเอกทัศน์แต่ไม่สำเร็จ)    หรือการเนรเทศศรีปราชญ์ออกจากอยุธยาไปนครศรีธรรมราช     การบีบออกญาเสนาภิมุข(ชาวญี่ปุ่น)ที่กำลังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในอยุธยาให้ออกจากอยุธยา   เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการรักชาติหรือไม่รักชาติ    ต่างจากความคิดของคนในปัจจุบัน....นั่นก็คือถ้าไม่รักชาติก็อย่าอยู่เลยให้หนักแผ่นดินไทยเลย??
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ความรักชาติคืออะไร รักอะไร. ปกป้องอะไร

คนที่ออกอาการรักชาติหลายคนตอบไม่ได้ครับ

ถ้าเรา"รักครอบครัว"ใครไม่เห็นด้วยกับเราเราจะไล่เขาออกไปจากครอบครัวไม๊

ดังนั้นเนื้อหาการรักชาติและ ขบวนการรักชาติที่เที่ยวไปใส่ร้ายป้ายสีคนที่ไม่เห็นด้วยว่าเป็นพวกไม่รักชาติจึงแตกต่างกัน



จากคลิปหนึ่ง.     ท่านผู้นำกปปส. บางท่านยกพวกไปสั่งให้โรงเรียนหยุดสอนให้เกณฑ์นักเรียนไปร่วมม็อบ

เมื่อคุณครูมาอธิบายบทบาทของนักเรียนและ ชี้แจงว่าใกล้สอบแล้วกลับถูกท่านผู้นำกปปส.  ท่านนั้นตั้งข้อหาว่าไม่รักชาติ

ง่ายดายปานนั้นเลย


ใครกันแน่ที่ทำให้ชาติเจริญ.  ครูที่ปกป้องนักเรียน. หรือผู้นำกปปส. ที่ออกมาหาเกณฑ์คนไปร่วมม็อบ

ใครกันแน่ที่รักชาติรักอนาคตของชาติ.      ใครกันแน่ที่ทำลายชาติทำลายอนาคตของชาติ

"ลมธรรม"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่