สวัสดีค่ะ สมัครสมาชิกมาเพื่อตั้งกระทู้นี้โดยเฉพาะ
ไม่ได้มีเจตนาจะตั้งให้โจมตี ดูถูก แรงงานพม่านะคะ แต่อยากให้เป็นข้อคิด แนวทาง ในการเลือกจ้าง เลี้ยงดูแรงงานพม่าค่ะ
ของเริ่มเลยนะคะ
พี่สาวของเราแต่งงานมีครอบครัวแล้ว มีลูก 2คน โดยที่คนโตเป็นเด็กพิเศษ (พูดได้เล็กน้อย เป็นคำๆ และเดินไม่ได้) ทางบ้านพี่สาวเราจ้างพี่เลี้ยงแบบไปเช้าเย็นกลับ พี่เลี้ยงแต่ละคนอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ออก อาจเป็นเพราะว่าบ้านพี่สาวอยู่นอกเมือง เดินทางค่อนข้างไกล
จนวันนึงเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ทางบ้านเรานัดเลี้ยงรวมญาติกัน โดยมีครอบครัวเรา ครอบครัวพี่สาว และครอบครัวของญาติคนอื่นๆ ลูกพี่ลูกน้องของเราที่มาในวันนั้นด้วย ทำธุรกิจขายส่ง จึงมีการจ้างแรงงานพม่าจำนวนมาก ได้พาแรงงานพม่าผู้หญิงมาด้วย 1 คน เพื่อให้ช่วยขนของ ดูแลลูกๆ โดยเราขอตั้งชื่อน้องที่มาจากพม่าคนนี้ว่าน้อง โย
โยอายุประมาณ 16-17 ปี เป็นเด็กดี ขยันทำงาน ทำงานค่อนข้างดีสำหรับเด็กอายุรุ่นนี้ โยบอกว่าต้องทำงานส่งเงินไปให้ยายกับน้องๆที่พม่า คนในครอบครัวเราเห็นโยก็ต่างเอ็นดูกันมาก
เวลาผ่านไปไม่กี่เดือน ลูกพี่ลูกน้องของเราเห็นว่าลูกๆเริ่มเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว งานบ้านก็ไม่ได้เยอะมากมาย จึงให้โยไปทำงานขายส่งด้วย แต่โยทำงานอื่นไม่เป็นเลย นอกจากทำความสะอาดบ้านและดูแลเด็ก เมื่อทางครอบครัวพี่สาวเราทราบ ก็ขอรับโยมาอยู่ต่อที่บ้าน ให้ช่วยดูแลลูก 2 คน เนื่องจากน้องคนที่เป็นเด็กพิเศษเริ่มโตขึ้น ต้องใช้คนดูแลมากขึ้น
โยจากเดิมที่เคยอยู่บ้านในเมือง ก็ต้องออกมาอยู่นอกเมือง ช่วงอาทิตย์แรกโยร้องไห้ทุกวัน บ้านพักของพี่สาวเราไม่ใหญ่โตและไม่สบายเท่ากับบ้านเดิมที่โยอยู่ สภาพแวดล้อมของบ้านคือโรงพยาบาลชนบท (พี่สาวเรากับแฟนทำงานในโรงพยาบาล)
โยไม่มีห้องนอนส่วนตัวของตัวเองเหมือนเดิม โดยต้องปูผ้านวมนอนที่พื้นห้องรับแขก เวลาผ่านไปซักพัก โยปรับตัวได้ดีขึ้น พี่สาวเราขึ้นเงินเดือนให้โย เดือนละ 9,000 บาท (ที่เดิม 6,000) โยมีเงินเก็บเยอะขึ้น ไม่ต้องซื้อกับข้าว ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก โยพอใจมาก
พี่สาวเราเลี้ยงดูโยเหมือนคนในครอบครัว ทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ทานพร้อมกัน ถ้วยจานที่ใช้ใช้ด้วยกัน ไปไหนไปด้วยตลอด ถ้าพี่สาวไปเที่ยวต่างจังหวัด จะพาโยไปด้วยและเปิดห้องพักแยกพิเศษให้ เอาใจโยทุกอย่าง
จนวันนึง นิสัยโยเริ่มเปลี่ยนไป แม่กับพ่อเราเอ็นดูโย จึงพูดหยอกโยไปว่า กินอิ่มนอนหลับดีนะ อ้วนขึ้นนะเรา
โยร้องไห้เสียใจ ไปฟ้องแม่ของแฟนพี่สาวเรา(ต่อไปขอใช้คำว่าแม่พี่เขยนะคะ สั้นกว่า) ว่าไม่ชอบให้พ่อกับแม่เราไปหยอก ไม่อยากเจอ แม่พี่เขยจึงโทรมาต่อว่าทางพ่อแม่เรา โดยที่พี่สาวเราและแฟนพี่สาวก็ไม่ห้าม ไม่เตือน (อันนี้เราถือว่าไม่ใช่ความผิดโยทั้งหมดนะคะ เป็นความผิดของคนเลี้ยงดู ที่ไม่สั่งสอนชี้แนะเด็ก ว่าอะไรผิดถูก ผู้ใหญ่เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานจึงหยอก เขาไม่ได้ว่าอะไรเสียๆหายๆถึงขั้นต้องร้องไห้เสียใจ)
นิสัยโยเริ่มเปลี่ยนไปและแสดงอาการมากขึ้น บ้านเราไปกินสุกี้กับครอบครัวพี่สาวทุกอาทิตย์ โดยที่โยไปด้วยทุกครั้ง โยจะไม่ทัก ไม่สวัสดีพ่อแม่เรา แต่ก็ไม่มีใครว่าใครเตือน โยกินร่วมหม้อเดียวกับเรา และต้องมี 1 คนคอยดูแลเด็ก ซึ่งจะได้กินทีหลัง และโยจะกินก่อนเสมอ โดยให้แม่ของพี่เขยเราเป็นคนคอยอุ้มเด็ก แรกๆเราก็ยอมกินทีหลังบ้าง ให้แม่ของพี่เขยได้กินก่อน จนบ่อยครั้งเราคิดว่า เขาทำตัวเองเอง จ้างเด็กมาแต่ตัวเองยอมเหนื่อย ไม่สอนให้ถูกต้อง เราเลยปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาทำไว้ และเวลาสั่งอาหาร โยจะสั่งน้ำแร่ 1 ขวด ทุกครั้ง โดยทุกคนในครอบครัวกินน้ำฟรีที่ทางร้านคอยเติมให้ จนวันนึงพ่อเราถามว่า ทำไมโยถึงไม่กินน้ำเหมือนพวกเรา โยตอบว่าน้ำสกปรก ไม่มีประโยชน์ หลังจากมื้อนั้น พ่อเราโทรไปทางบ้านพี่สาว ว่าให้ตักเตือนโยบ้าง ก่อนนิสัยจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ พี่สาวเราตอบกลับมาแค่ว่า เรื่องเล็กๆ อย่าไปใส่ใจเด็กมันเลย
ต่อมาโยก็ยังมีนิสัยเช่นนี้หนักขึ้นเรื่อยๆทุกวัน เช่น เอาขนมของเด็กมากิน หยิบกินทุกอย่างไม่มีการถาม ไม่มีการขอ กินข้าวก่อนพี่สาวเรา ตักแต่เนื้อ เหลือแต่ผัก บางจานไม่เหลือกับข้าวจนไม่รู้ว่าจานนั้นใส่อะไรมา ชอบเอาของขึ้นไปกินบนรถ แล้วทิ้งไว้ที่พื้นรถ ให้แม่ของพี่สาวแฟนเราเก็บ
วันนึงโยขึ้นรถไปซื้อกับข้าวพร้อมเรา รถเป็นรถ 7 ที่นั่ง ซึ่งมีแฟนพี่สาวเป็นคนขับ พ่อเรานั่งข้างคนขับ เด็กนั่งคาร์ซีทแถวที่ 2 กับแม่ของพี่สาวแฟน (ย่าเด็กๆ) เรานั่งแถวหลังสุด ข้างๆโยกับเด็กอีกคน ซึ่งนั่งตักโย โยเอาขนมขึ้นมากินบนรถ เศษขนมหกเต็มเบาะรถและตัวเด็ก กินเสร็จก็โยนทิ้งลงบนพื้นรถ และนั่งยืดขาให้สบายโดยเอาเท้าถีบเบาะข้างหน้าซึ่งเป็นเบาะของแม่ของพี่เขย บางครั้งก็ยกขึ้นตั้งพาดบนขอบเบาะซึ่งแม่แฟนของพี่สาวเราก็นั่งไม่รู้เรื่อง หรืออาจจะรู้แต่ไม่ว่า เราจึงเฉย ไม่พูดอะไร เพราะทุกครั้งที่พูดจะมีปัญหากับพี่สาวเสมอ และพี่มักจะหาข้อแก้ตัวให้โยได้ประจำ
ต่อมาพี่สาวเราลาออกจากงานมาเปิดคลินิกในเมือง ซึ่งครอบครัวของพี่สาวเราก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง สภาพแวดล้อมหมู่บ้านดี เป็นที่พอใจของโยค่ะ 555 บ้านหลังนีพี่สาวเราให้โยพิจารณาก่อนซื้อด้วยนะคะ ว่าโอเครึป่าว เมื่อย้ายเข้าบ้าน โยก็มีห้องส่วนตัว ไม่ร้องไห้แล้วนะโย เมื่อพี่สาวเราเข้ามาอยู่ในเมือง เราก็มีโอกาสเจอกันมากขึ้น
ต่อไปนี้จะแยกวีรกรรมของโยให้ฟังเป็นแต่ละเหตุการณ์นะคะ
1. โยทำเป็นตัดขาดกับพ่อแม่เรา และเราทุกครั้งที่ไปบ้านจะไม่มีการสวัสดีทักทาย ไม่มาเปิดประตูรั้วให้ ถือตัว ใช้ให้แม่ของพี่เขยเรามาเปิด
2. โยอยากกินอะไรต้องได้กินค่ะ หลายๆครั้งเราไปบ้านพี่สาวคนเดียว พ่อกับแม่ไม่ได้ไป จะเห็นอาการออกฤทธิ์ของโยบ่อยมาก วันนั้นโยอยากกินน้ำพริกค่ะ พี่สาวเราจึงโทรบอกพ่อว่า ถ้าเข้ามาที่บ้านให้ช่วยซื้อน้ำพริกให้ด้วย อยากกิน เพราะพี่สาวกลับค่ำ ไม่มีเวลาไปซื้อ พ่อกับแม่เรารีบออกไปซื้อวัตถุดิบเครื่องปรุงอย่างดี กลับบ้านมาทำน้ำพริกใส่กระปุก ขับรถไปบ้านพี่สาว ตั้งน้ำพริกไว้แล้วไปเล่นกับหลานๆ ก่อนกลับบ้านประมาณ 2 ทุ่ม เปิดฝาชีดู น้ำพริกหมดเกลี้ยงกระปุก พี่สาวก็ยังไม่กลับบ้าน สรุปคือโยกินหมดเลยค่า อุส่าไปซื้อของตำน้ำพริกให้โยกิน เจ็บกว่านั้นคือพี่สาวบอกพ่อกับแม่ซื้อมาให้ว่าตัวเองอยากกิน ยอมหลอกให้พ่อกับแม่เอามาให้สาวใช้คนดีที่ไม่เคยเห็นหัวพ่อแม่เรา
อีกเหตุการณ์นึงคือ แม่ของพี่เขยเราไม่มีกับข้าวที่บ้าน จึงขอช่วยป้าซึ่งเป็นญาติกันไปซื้อให้ใกล้ๆ โยอยากกินส้มตำจึงสั่งไป แต่ป้าแก่แล้วไม่ค่อยคุ้นทาง บอกว่าค่อยกินวันหลังนะโย โยโกรธมากและสั่งแม่ของพี่เขยเราว่ายังไงก็จะกิน สุดท้ายป้าเราก็ต้องซื้อมาให้โยเพราะแม่ของพี่เขยสั่ง (ใช้ความอาวุโสกว่าในการสั่ง)
3. พี่สาวเราจ้างโยมาทำงานบ้านและดูเด็ก แต่หลังจากที่โยย้ายมาบ้านใหม่ โยก็ไม่เคยล้างจานเลย ยกเว้นจานของตัวเอง และโยก็ไม่เคยซักผ้า ไม่เคยจัดกับข้าว โดยโยจะชอบอ้างว่า ไม่ว่าง ดูแลเด็ก ซึ่งเด็กก็นั่งดูการ์ตูนไม่ได้งอแงอะไร เวลาทานข้าวเสร็จ จานของทุกคนเราต้องเป็นคนล้าง โยจะบอกให้เราหลีกหน่อย แล้วล้างจานตัวเอง เอาไปคว่ำ แล้วให้เราไปล้างต่อ ตัวโยเองก็ไปนั่งดูการ์ตูนกับเด็ก เวลาซื้อกับข้าวมาโยจะทำเป็นจับเด็กเล่นนั่นเล่นนี้ ให้เราแกะให้เสร็จ แล้วค่อยเดินมานั่งกินร่วมโต๊ะ ตักข้าวมาเฉพาะจานตัวเอง
4. โยยิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากในบ้าน โยสามารถเข้าห้องนอนห้องไหนในบ้านก็ได้ และสามารถนอนบนเตียงได้ โยเป็นคนสกปรกมาก ชอบเดินเท้าเปล่าออกนอกบ้าน และไม่เคยล้างเท้านอกจากตอนอาบน้ำ เวลาโยจะเข้าห้องนอนโยจะชอบอ้างว่าเอาน้องขึ้นไปนอน แล้วโยต้องเฝ้า ตอนเฝ้าต้องเปิดแอร์ เปิดทีวี และนอนบนเตียง บางครั้งเราเห็นเด็กเป็นหวัด จึงขึ้นไปเตือนโยว่าอย่าเปิดแอร์นะโย น้องไม่สบาย โยก็จะชักสีหน้า และกดปิดแอร์ ซักพักเราแอบไปแตะดูช่องประตูด้านล่าง โยเปิดแอร์อีกหลังจากเราออกไป(ห้องนอนพี่สาวบ้าง ห้องนอนแม่พี่เขยบ้าง)
5. พักหลังๆโยเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น ด่าแม่ของพี่เขย ปกติโยเป็นคนพูดห้วนๆ ไม่มีหางเสียงอยู่แล้ว หลังๆมาโยก็จะตวาดเป็นประจำ เราได้ยินบ่อยๆแต่ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อบ้านพี่สาวเราเชาเลี้ยงโยมาแบบนี้ ไม่เคยตักเตือน จนลามปามผู้ใหญ่ ทุกคนก็ยังยอมโย
6. วันนึงทีวีห้องของแม่พี่เขยเราเสีย ซึ่งเป็นห้องที่โยชอบไปนอนดูทีวีเปิดแอร์ โยเรียกให้แม่พี่เขยเราไปซ่อม แม่พี่เขยบอกว่าทำไม่เป็น รอให้พี่เรากลับมาแล้วกัน โยก็อาละวาดไม่พอใจ ตะโกนลงมาว่า แล้วพี่…หละ(เรา) ซ่อมเป็นมั้ย บอกให้พี่… ขึ้นมาซ่อมให้หน่อย เราจึงบอกว่าไม่ว่าง เราทำงาน ทีวีไม่ต้องดูก็ได้ เลี้ยงน้องไปสิ โยก็ไม่พอใจ ทำเสียงปึงปังจากข้างบน
7. หลานเราทั้งสองคนติดโยมาก โดยเฉพาะคนเล็ก เพราะอยู่กับโยทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับ เวลาพ่อแม่เราไปเยี่ยม ตามมารยาทที่ดีควรปล่อยให้ตายายกับหลานอยู่ด้วยกัน โยก็มักจะเปิดประตูห้องเข้ามา โดยที่ไม่เคาะ มายืนกอดอกดู เหมือนเป็นลูกตัวเอง มาตรวจความเรียบร้อยว่าเป็นยังไง พอเด็กเห็นโยก็จะร้องหาโย จนพ่อกับแม่เราบอกว่าขออยู่กับหลานก่อน ค่อยมา โยก็เหมือนจะไม่เข้าใจภาษาไทยขึ้นมาทันที เข้ามาในห้องทุกๆ 5 นาที จนพ่อเราถามว่ามาดูอะไร โยตอบกลับว่า ห่วงน้อง พ่อเราโกรธมาก ถามโยว่า โยเป็นใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลาน แล้วนี่ตากับยาย หลานแท้ๆ ใครรักเด็กมากกว่ากัน พูดมาได้ยังไงว่าเด็กอยู่กับตายายแล้วต้องห่วง
8. ครั้งนึงป้าคนที่ไปซื้อกับข้าวให้ (ตามเหตุการณ์ข้อ 2นะคะ) มาที่บ้านพี่สาวเรา และได้ขอใช้เตารีด รีดเสื้อขาว
แต่เตารีดมีรอยไหม้ เสื้อขาวจึงเลอะเทอะ ป้าถามโยว่าใครทำ โยบอกว่าโยรีด แต่ไม่ได้ทำไหม้ โยโกรธป้า ตวาดใหญ่ ป้าเลยสั่งสอนกลับ โยร้องไห้ไปหาแม่ของพี่เขย แม่ของพี่เขยถามว่าร้องไห้ทำไม โยบอกว่าโยเสียใจที่โยเสียงดัง ทำให้น้องตกใจ โยกลัวน้องจะเป็นอะไร โยรักน้องมาก โยตายแทนน้องได้ (เราฟังแล้วน้ำเน่ามาก แต่แม่พี่เขยเราเชื่อค่า รักโยมากกว่าเดิม ซึ่งเรื่องมันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย โยไม่เคยได้รับการสั่งสอน พอโดนสอนหน่อยรับไม่ได้ ร้องไห้ แต่เบี่ยงไปเรื่องอื่น ว่าร้องเพราะรักน้อง
ขอบคุณคอมเม้นแนะนำนะคะ แต่ตอนนี้คงเลยจุดที่จะสั่งสอน ตักเตือนแล้วจริงๆ ทางบ้านพี่สาวกับพี่เขยยอมแตกหัก9ฃ.กับพ่อแม่เพื่อเก็บโยไว้ ทั้งๆที่พ่อแม่ขอให้ออกหลายรอบแล้ว เพราะโยสั่งสอนไม่ได้ เขาก็หาข้ออ้างมาสารพัด ว่าเดี๋ยวถ้าไม่เอาใจโยจะทำร้ายลูกลับหลัง หาพี่เลี้ยงเด็กพิเศษก็หายาก ถ้าให้ออก แต่ทางบ้านเราคิดว่านิสัยโยเกินไปจริงๆ เลยเลิกยุ่งดีกว่า
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์พี่เขยกับโย พ่อกับแม่เคยพูดเรื่องนี้ไปกับทางแม่ของพี่เขยแล้ว พี่เขยทราบแล้วโกรธกันมาก ตอนนี้ไม่คุยกับพ่อแม่เลยค่ะ เจอกันไม่ทักไม่ไหว้ เรียกได้ว่าตายก็ไม่เผาผี แต่ส่วนตัวของเราหลายๆอย่างคงไม่มีอะไรถึงขั้นเกินเลย แต่มีบางพฤติกรรมที่เขาทั้งสองทำไม่เหมาะสมบ้าง
สำหรับคนที่บอกว่าแต่งเรื่อง เราคงไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้แต่งนะคะ เพราะ 1. เราไม่ทราบว่าถ้าลงรูปโยแม้เบลอหน้า จะผิดกฎอะไรรึป่าว 2. พี่สาวและพี่เขยเราเล่นโซเชียลเนตเวิค ถ้าอ่านก็คงจะรู้ทันที เราไม่อยากให้มีปัญหามากขึ้น 3. เราไม่ได้มีจุดประสงค์จะเปิดเผยตัวโย แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์แย่ๆเผื่อเป็นประโยชน์เล็กน้อยหรือตรงกับเรื่องราวของใคร สุดท้ายแล้วจะเชื่อหรือไม่เราไม่โกรธจริงๆค่ะ เพราะเรื่องนี้ครอบครัวเราก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าจะมีคนแบบโยอยู่จริง ยังไงก็คิดซะว่าเสพเพื่อความบันเทิงแล้วกันนะคะ
ส่วนเรื่องนี้เราคิดว่าคนที่ผิดที่สุดคือพี่สาวเรานะคะ เขาค่อนข้างเป็นใหญ่ในบ้าน พี่เขยไม่ค่อยมีบทบาทอะไรในการตัดสินใจเลือกพี่เลี้ยง จริงๆโยก็ยังเด็ก เป็นไม้อ่อน พี่สาวดัดไปทางไหนก็เป็นแบบนั้น ธรรมดาคนเราย่อมรักความสบาย โยถึงได้มีนิสัยแบบนี
เมื่อแรงงานพม่าที่บ้านทำตัวเหมือนเจ้านาย
ไม่ได้มีเจตนาจะตั้งให้โจมตี ดูถูก แรงงานพม่านะคะ แต่อยากให้เป็นข้อคิด แนวทาง ในการเลือกจ้าง เลี้ยงดูแรงงานพม่าค่ะ
ของเริ่มเลยนะคะ
พี่สาวของเราแต่งงานมีครอบครัวแล้ว มีลูก 2คน โดยที่คนโตเป็นเด็กพิเศษ (พูดได้เล็กน้อย เป็นคำๆ และเดินไม่ได้) ทางบ้านพี่สาวเราจ้างพี่เลี้ยงแบบไปเช้าเย็นกลับ พี่เลี้ยงแต่ละคนอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ออก อาจเป็นเพราะว่าบ้านพี่สาวอยู่นอกเมือง เดินทางค่อนข้างไกล
จนวันนึงเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ทางบ้านเรานัดเลี้ยงรวมญาติกัน โดยมีครอบครัวเรา ครอบครัวพี่สาว และครอบครัวของญาติคนอื่นๆ ลูกพี่ลูกน้องของเราที่มาในวันนั้นด้วย ทำธุรกิจขายส่ง จึงมีการจ้างแรงงานพม่าจำนวนมาก ได้พาแรงงานพม่าผู้หญิงมาด้วย 1 คน เพื่อให้ช่วยขนของ ดูแลลูกๆ โดยเราขอตั้งชื่อน้องที่มาจากพม่าคนนี้ว่าน้อง โย
โยอายุประมาณ 16-17 ปี เป็นเด็กดี ขยันทำงาน ทำงานค่อนข้างดีสำหรับเด็กอายุรุ่นนี้ โยบอกว่าต้องทำงานส่งเงินไปให้ยายกับน้องๆที่พม่า คนในครอบครัวเราเห็นโยก็ต่างเอ็นดูกันมาก
เวลาผ่านไปไม่กี่เดือน ลูกพี่ลูกน้องของเราเห็นว่าลูกๆเริ่มเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว งานบ้านก็ไม่ได้เยอะมากมาย จึงให้โยไปทำงานขายส่งด้วย แต่โยทำงานอื่นไม่เป็นเลย นอกจากทำความสะอาดบ้านและดูแลเด็ก เมื่อทางครอบครัวพี่สาวเราทราบ ก็ขอรับโยมาอยู่ต่อที่บ้าน ให้ช่วยดูแลลูก 2 คน เนื่องจากน้องคนที่เป็นเด็กพิเศษเริ่มโตขึ้น ต้องใช้คนดูแลมากขึ้น
โยจากเดิมที่เคยอยู่บ้านในเมือง ก็ต้องออกมาอยู่นอกเมือง ช่วงอาทิตย์แรกโยร้องไห้ทุกวัน บ้านพักของพี่สาวเราไม่ใหญ่โตและไม่สบายเท่ากับบ้านเดิมที่โยอยู่ สภาพแวดล้อมของบ้านคือโรงพยาบาลชนบท (พี่สาวเรากับแฟนทำงานในโรงพยาบาล)
โยไม่มีห้องนอนส่วนตัวของตัวเองเหมือนเดิม โดยต้องปูผ้านวมนอนที่พื้นห้องรับแขก เวลาผ่านไปซักพัก โยปรับตัวได้ดีขึ้น พี่สาวเราขึ้นเงินเดือนให้โย เดือนละ 9,000 บาท (ที่เดิม 6,000) โยมีเงินเก็บเยอะขึ้น ไม่ต้องซื้อกับข้าว ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก โยพอใจมาก
พี่สาวเราเลี้ยงดูโยเหมือนคนในครอบครัว ทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ทานพร้อมกัน ถ้วยจานที่ใช้ใช้ด้วยกัน ไปไหนไปด้วยตลอด ถ้าพี่สาวไปเที่ยวต่างจังหวัด จะพาโยไปด้วยและเปิดห้องพักแยกพิเศษให้ เอาใจโยทุกอย่าง
จนวันนึง นิสัยโยเริ่มเปลี่ยนไป แม่กับพ่อเราเอ็นดูโย จึงพูดหยอกโยไปว่า กินอิ่มนอนหลับดีนะ อ้วนขึ้นนะเรา
โยร้องไห้เสียใจ ไปฟ้องแม่ของแฟนพี่สาวเรา(ต่อไปขอใช้คำว่าแม่พี่เขยนะคะ สั้นกว่า) ว่าไม่ชอบให้พ่อกับแม่เราไปหยอก ไม่อยากเจอ แม่พี่เขยจึงโทรมาต่อว่าทางพ่อแม่เรา โดยที่พี่สาวเราและแฟนพี่สาวก็ไม่ห้าม ไม่เตือน (อันนี้เราถือว่าไม่ใช่ความผิดโยทั้งหมดนะคะ เป็นความผิดของคนเลี้ยงดู ที่ไม่สั่งสอนชี้แนะเด็ก ว่าอะไรผิดถูก ผู้ใหญ่เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานจึงหยอก เขาไม่ได้ว่าอะไรเสียๆหายๆถึงขั้นต้องร้องไห้เสียใจ)
นิสัยโยเริ่มเปลี่ยนไปและแสดงอาการมากขึ้น บ้านเราไปกินสุกี้กับครอบครัวพี่สาวทุกอาทิตย์ โดยที่โยไปด้วยทุกครั้ง โยจะไม่ทัก ไม่สวัสดีพ่อแม่เรา แต่ก็ไม่มีใครว่าใครเตือน โยกินร่วมหม้อเดียวกับเรา และต้องมี 1 คนคอยดูแลเด็ก ซึ่งจะได้กินทีหลัง และโยจะกินก่อนเสมอ โดยให้แม่ของพี่เขยเราเป็นคนคอยอุ้มเด็ก แรกๆเราก็ยอมกินทีหลังบ้าง ให้แม่ของพี่เขยได้กินก่อน จนบ่อยครั้งเราคิดว่า เขาทำตัวเองเอง จ้างเด็กมาแต่ตัวเองยอมเหนื่อย ไม่สอนให้ถูกต้อง เราเลยปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาทำไว้ และเวลาสั่งอาหาร โยจะสั่งน้ำแร่ 1 ขวด ทุกครั้ง โดยทุกคนในครอบครัวกินน้ำฟรีที่ทางร้านคอยเติมให้ จนวันนึงพ่อเราถามว่า ทำไมโยถึงไม่กินน้ำเหมือนพวกเรา โยตอบว่าน้ำสกปรก ไม่มีประโยชน์ หลังจากมื้อนั้น พ่อเราโทรไปทางบ้านพี่สาว ว่าให้ตักเตือนโยบ้าง ก่อนนิสัยจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ พี่สาวเราตอบกลับมาแค่ว่า เรื่องเล็กๆ อย่าไปใส่ใจเด็กมันเลย
ต่อมาโยก็ยังมีนิสัยเช่นนี้หนักขึ้นเรื่อยๆทุกวัน เช่น เอาขนมของเด็กมากิน หยิบกินทุกอย่างไม่มีการถาม ไม่มีการขอ กินข้าวก่อนพี่สาวเรา ตักแต่เนื้อ เหลือแต่ผัก บางจานไม่เหลือกับข้าวจนไม่รู้ว่าจานนั้นใส่อะไรมา ชอบเอาของขึ้นไปกินบนรถ แล้วทิ้งไว้ที่พื้นรถ ให้แม่ของพี่สาวแฟนเราเก็บ
วันนึงโยขึ้นรถไปซื้อกับข้าวพร้อมเรา รถเป็นรถ 7 ที่นั่ง ซึ่งมีแฟนพี่สาวเป็นคนขับ พ่อเรานั่งข้างคนขับ เด็กนั่งคาร์ซีทแถวที่ 2 กับแม่ของพี่สาวแฟน (ย่าเด็กๆ) เรานั่งแถวหลังสุด ข้างๆโยกับเด็กอีกคน ซึ่งนั่งตักโย โยเอาขนมขึ้นมากินบนรถ เศษขนมหกเต็มเบาะรถและตัวเด็ก กินเสร็จก็โยนทิ้งลงบนพื้นรถ และนั่งยืดขาให้สบายโดยเอาเท้าถีบเบาะข้างหน้าซึ่งเป็นเบาะของแม่ของพี่เขย บางครั้งก็ยกขึ้นตั้งพาดบนขอบเบาะซึ่งแม่แฟนของพี่สาวเราก็นั่งไม่รู้เรื่อง หรืออาจจะรู้แต่ไม่ว่า เราจึงเฉย ไม่พูดอะไร เพราะทุกครั้งที่พูดจะมีปัญหากับพี่สาวเสมอ และพี่มักจะหาข้อแก้ตัวให้โยได้ประจำ
ต่อมาพี่สาวเราลาออกจากงานมาเปิดคลินิกในเมือง ซึ่งครอบครัวของพี่สาวเราก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง สภาพแวดล้อมหมู่บ้านดี เป็นที่พอใจของโยค่ะ 555 บ้านหลังนีพี่สาวเราให้โยพิจารณาก่อนซื้อด้วยนะคะ ว่าโอเครึป่าว เมื่อย้ายเข้าบ้าน โยก็มีห้องส่วนตัว ไม่ร้องไห้แล้วนะโย เมื่อพี่สาวเราเข้ามาอยู่ในเมือง เราก็มีโอกาสเจอกันมากขึ้น
ต่อไปนี้จะแยกวีรกรรมของโยให้ฟังเป็นแต่ละเหตุการณ์นะคะ
1. โยทำเป็นตัดขาดกับพ่อแม่เรา และเราทุกครั้งที่ไปบ้านจะไม่มีการสวัสดีทักทาย ไม่มาเปิดประตูรั้วให้ ถือตัว ใช้ให้แม่ของพี่เขยเรามาเปิด
2. โยอยากกินอะไรต้องได้กินค่ะ หลายๆครั้งเราไปบ้านพี่สาวคนเดียว พ่อกับแม่ไม่ได้ไป จะเห็นอาการออกฤทธิ์ของโยบ่อยมาก วันนั้นโยอยากกินน้ำพริกค่ะ พี่สาวเราจึงโทรบอกพ่อว่า ถ้าเข้ามาที่บ้านให้ช่วยซื้อน้ำพริกให้ด้วย อยากกิน เพราะพี่สาวกลับค่ำ ไม่มีเวลาไปซื้อ พ่อกับแม่เรารีบออกไปซื้อวัตถุดิบเครื่องปรุงอย่างดี กลับบ้านมาทำน้ำพริกใส่กระปุก ขับรถไปบ้านพี่สาว ตั้งน้ำพริกไว้แล้วไปเล่นกับหลานๆ ก่อนกลับบ้านประมาณ 2 ทุ่ม เปิดฝาชีดู น้ำพริกหมดเกลี้ยงกระปุก พี่สาวก็ยังไม่กลับบ้าน สรุปคือโยกินหมดเลยค่า อุส่าไปซื้อของตำน้ำพริกให้โยกิน เจ็บกว่านั้นคือพี่สาวบอกพ่อกับแม่ซื้อมาให้ว่าตัวเองอยากกิน ยอมหลอกให้พ่อกับแม่เอามาให้สาวใช้คนดีที่ไม่เคยเห็นหัวพ่อแม่เรา
อีกเหตุการณ์นึงคือ แม่ของพี่เขยเราไม่มีกับข้าวที่บ้าน จึงขอช่วยป้าซึ่งเป็นญาติกันไปซื้อให้ใกล้ๆ โยอยากกินส้มตำจึงสั่งไป แต่ป้าแก่แล้วไม่ค่อยคุ้นทาง บอกว่าค่อยกินวันหลังนะโย โยโกรธมากและสั่งแม่ของพี่เขยเราว่ายังไงก็จะกิน สุดท้ายป้าเราก็ต้องซื้อมาให้โยเพราะแม่ของพี่เขยสั่ง (ใช้ความอาวุโสกว่าในการสั่ง)
3. พี่สาวเราจ้างโยมาทำงานบ้านและดูเด็ก แต่หลังจากที่โยย้ายมาบ้านใหม่ โยก็ไม่เคยล้างจานเลย ยกเว้นจานของตัวเอง และโยก็ไม่เคยซักผ้า ไม่เคยจัดกับข้าว โดยโยจะชอบอ้างว่า ไม่ว่าง ดูแลเด็ก ซึ่งเด็กก็นั่งดูการ์ตูนไม่ได้งอแงอะไร เวลาทานข้าวเสร็จ จานของทุกคนเราต้องเป็นคนล้าง โยจะบอกให้เราหลีกหน่อย แล้วล้างจานตัวเอง เอาไปคว่ำ แล้วให้เราไปล้างต่อ ตัวโยเองก็ไปนั่งดูการ์ตูนกับเด็ก เวลาซื้อกับข้าวมาโยจะทำเป็นจับเด็กเล่นนั่นเล่นนี้ ให้เราแกะให้เสร็จ แล้วค่อยเดินมานั่งกินร่วมโต๊ะ ตักข้าวมาเฉพาะจานตัวเอง
4. โยยิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากในบ้าน โยสามารถเข้าห้องนอนห้องไหนในบ้านก็ได้ และสามารถนอนบนเตียงได้ โยเป็นคนสกปรกมาก ชอบเดินเท้าเปล่าออกนอกบ้าน และไม่เคยล้างเท้านอกจากตอนอาบน้ำ เวลาโยจะเข้าห้องนอนโยจะชอบอ้างว่าเอาน้องขึ้นไปนอน แล้วโยต้องเฝ้า ตอนเฝ้าต้องเปิดแอร์ เปิดทีวี และนอนบนเตียง บางครั้งเราเห็นเด็กเป็นหวัด จึงขึ้นไปเตือนโยว่าอย่าเปิดแอร์นะโย น้องไม่สบาย โยก็จะชักสีหน้า และกดปิดแอร์ ซักพักเราแอบไปแตะดูช่องประตูด้านล่าง โยเปิดแอร์อีกหลังจากเราออกไป(ห้องนอนพี่สาวบ้าง ห้องนอนแม่พี่เขยบ้าง)
5. พักหลังๆโยเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น ด่าแม่ของพี่เขย ปกติโยเป็นคนพูดห้วนๆ ไม่มีหางเสียงอยู่แล้ว หลังๆมาโยก็จะตวาดเป็นประจำ เราได้ยินบ่อยๆแต่ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อบ้านพี่สาวเราเชาเลี้ยงโยมาแบบนี้ ไม่เคยตักเตือน จนลามปามผู้ใหญ่ ทุกคนก็ยังยอมโย
6. วันนึงทีวีห้องของแม่พี่เขยเราเสีย ซึ่งเป็นห้องที่โยชอบไปนอนดูทีวีเปิดแอร์ โยเรียกให้แม่พี่เขยเราไปซ่อม แม่พี่เขยบอกว่าทำไม่เป็น รอให้พี่เรากลับมาแล้วกัน โยก็อาละวาดไม่พอใจ ตะโกนลงมาว่า แล้วพี่…หละ(เรา) ซ่อมเป็นมั้ย บอกให้พี่… ขึ้นมาซ่อมให้หน่อย เราจึงบอกว่าไม่ว่าง เราทำงาน ทีวีไม่ต้องดูก็ได้ เลี้ยงน้องไปสิ โยก็ไม่พอใจ ทำเสียงปึงปังจากข้างบน
7. หลานเราทั้งสองคนติดโยมาก โดยเฉพาะคนเล็ก เพราะอยู่กับโยทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับ เวลาพ่อแม่เราไปเยี่ยม ตามมารยาทที่ดีควรปล่อยให้ตายายกับหลานอยู่ด้วยกัน โยก็มักจะเปิดประตูห้องเข้ามา โดยที่ไม่เคาะ มายืนกอดอกดู เหมือนเป็นลูกตัวเอง มาตรวจความเรียบร้อยว่าเป็นยังไง พอเด็กเห็นโยก็จะร้องหาโย จนพ่อกับแม่เราบอกว่าขออยู่กับหลานก่อน ค่อยมา โยก็เหมือนจะไม่เข้าใจภาษาไทยขึ้นมาทันที เข้ามาในห้องทุกๆ 5 นาที จนพ่อเราถามว่ามาดูอะไร โยตอบกลับว่า ห่วงน้อง พ่อเราโกรธมาก ถามโยว่า โยเป็นใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลาน แล้วนี่ตากับยาย หลานแท้ๆ ใครรักเด็กมากกว่ากัน พูดมาได้ยังไงว่าเด็กอยู่กับตายายแล้วต้องห่วง
8. ครั้งนึงป้าคนที่ไปซื้อกับข้าวให้ (ตามเหตุการณ์ข้อ 2นะคะ) มาที่บ้านพี่สาวเรา และได้ขอใช้เตารีด รีดเสื้อขาว
แต่เตารีดมีรอยไหม้ เสื้อขาวจึงเลอะเทอะ ป้าถามโยว่าใครทำ โยบอกว่าโยรีด แต่ไม่ได้ทำไหม้ โยโกรธป้า ตวาดใหญ่ ป้าเลยสั่งสอนกลับ โยร้องไห้ไปหาแม่ของพี่เขย แม่ของพี่เขยถามว่าร้องไห้ทำไม โยบอกว่าโยเสียใจที่โยเสียงดัง ทำให้น้องตกใจ โยกลัวน้องจะเป็นอะไร โยรักน้องมาก โยตายแทนน้องได้ (เราฟังแล้วน้ำเน่ามาก แต่แม่พี่เขยเราเชื่อค่า รักโยมากกว่าเดิม ซึ่งเรื่องมันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย โยไม่เคยได้รับการสั่งสอน พอโดนสอนหน่อยรับไม่ได้ ร้องไห้ แต่เบี่ยงไปเรื่องอื่น ว่าร้องเพราะรักน้อง
ขอบคุณคอมเม้นแนะนำนะคะ แต่ตอนนี้คงเลยจุดที่จะสั่งสอน ตักเตือนแล้วจริงๆ ทางบ้านพี่สาวกับพี่เขยยอมแตกหัก9ฃ.กับพ่อแม่เพื่อเก็บโยไว้ ทั้งๆที่พ่อแม่ขอให้ออกหลายรอบแล้ว เพราะโยสั่งสอนไม่ได้ เขาก็หาข้ออ้างมาสารพัด ว่าเดี๋ยวถ้าไม่เอาใจโยจะทำร้ายลูกลับหลัง หาพี่เลี้ยงเด็กพิเศษก็หายาก ถ้าให้ออก แต่ทางบ้านเราคิดว่านิสัยโยเกินไปจริงๆ เลยเลิกยุ่งดีกว่า
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์พี่เขยกับโย พ่อกับแม่เคยพูดเรื่องนี้ไปกับทางแม่ของพี่เขยแล้ว พี่เขยทราบแล้วโกรธกันมาก ตอนนี้ไม่คุยกับพ่อแม่เลยค่ะ เจอกันไม่ทักไม่ไหว้ เรียกได้ว่าตายก็ไม่เผาผี แต่ส่วนตัวของเราหลายๆอย่างคงไม่มีอะไรถึงขั้นเกินเลย แต่มีบางพฤติกรรมที่เขาทั้งสองทำไม่เหมาะสมบ้าง
สำหรับคนที่บอกว่าแต่งเรื่อง เราคงไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้แต่งนะคะ เพราะ 1. เราไม่ทราบว่าถ้าลงรูปโยแม้เบลอหน้า จะผิดกฎอะไรรึป่าว 2. พี่สาวและพี่เขยเราเล่นโซเชียลเนตเวิค ถ้าอ่านก็คงจะรู้ทันที เราไม่อยากให้มีปัญหามากขึ้น 3. เราไม่ได้มีจุดประสงค์จะเปิดเผยตัวโย แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์แย่ๆเผื่อเป็นประโยชน์เล็กน้อยหรือตรงกับเรื่องราวของใคร สุดท้ายแล้วจะเชื่อหรือไม่เราไม่โกรธจริงๆค่ะ เพราะเรื่องนี้ครอบครัวเราก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าจะมีคนแบบโยอยู่จริง ยังไงก็คิดซะว่าเสพเพื่อความบันเทิงแล้วกันนะคะ
ส่วนเรื่องนี้เราคิดว่าคนที่ผิดที่สุดคือพี่สาวเรานะคะ เขาค่อนข้างเป็นใหญ่ในบ้าน พี่เขยไม่ค่อยมีบทบาทอะไรในการตัดสินใจเลือกพี่เลี้ยง จริงๆโยก็ยังเด็ก เป็นไม้อ่อน พี่สาวดัดไปทางไหนก็เป็นแบบนั้น ธรรมดาคนเราย่อมรักความสบาย โยถึงได้มีนิสัยแบบนี