hit the BOOK Vol.3 : hit the BOOK with ME & FLIPPED ! หนังสือน่าอ่าน กับเรื่องของไข่ ไก่ ต้นไม้ และหัวใจสองดวงค่ะ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้แก้วกลับมา HIT THE BOOK อีกแล้วค้า หลังจากหายแว้บไปรีวิวหนัง กับDIYมา ^^
รอบนี้ แก้วจะมารีวิวหนังสืออีกหนึ่งเรื่องที่แก้วชื่นชอบมากๆ นั่นก็คือเรื่อง ‘ต้นไม้ ไข่ไก่ และหัวใจหกคะเมน’ หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Flipped’ ค่ะ



เห็นชื่อแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวทำกับไร่ทำสวน วิ่งเล่นในทุ่งหญ้า ยิ้มลันล้ากับแสงตะวัน -- จริงๆแล้ว ไม่ใช่นะคะ --  เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหญิง ‘จูลี’ กับเด็กชาย ‘ไบรซ์’ และมิตรภาพความรักใสๆที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง



แต่เรื่องไม่ได้ดำเนินไปแบบ ‘ใสบริสุทธิ์’ ขนาดนั้นค่ะ หากใครคิดว่านี่เป็นเรื่องรักกุ๊กกิ๊กแบบฉบับเด็กประถม ต้องลองคิดใหม่ค่ะ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มากันเพียงเด็ก 2 คนเท่านั้น แต่มาเป็นครอบครัว 2 ทีม  ไก่ 6 ตัว  ไข่ไก่อีกหลายร้อยฟอง ต้นไม้ซิคามอร์ และ ‘การที่ภาพรวมของภาพๆหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าการที่เอาส่วนต่างๆมารวมกัน’




อ่านดูแล้ว รู้สึกงงใช่มั้ยคะ
มาทั้งไก่ ทั้งไข่ ทั้งต้นซิคามอร์ (มันคือต้นอะไร) และปรัชญาอีกหนึ่งประโยค (ที่ต้องขอเวลาแปลแปปนึง)

แต่แก้วขอยืนยันค่ะว่าเรื่องนี้ดีมากๆจริงๆ และแก้วก็ดีใจมากๆที่ได้มาเจอกับเรื่องนี้ ^^



คาดว่าเพื่อนๆบางคนอาจจะคุ้นกับไก่และไข่นี้ มาจากภาพยนตร์ที่ชื่อ Flipped อยู่ก่อนแล้ว
ใช่แล้วค่ะ หนังสือเรื่องนี้ ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ในปี 2010 โดยผลงานกำกับของ Rob Reiner  ซึ่งนำเสนอ ถ่ายทอดมาได้อย่างอบอุ่น น่ารัก และสนุกมาก

หากใครอยากให้แก้วรีวิวเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์  ก็บอกกันได้ค่ะ อิอิ



ต้นไม้ ไข่ไก่ และหัวใจหกคะเมน เป็นผลงานของ เวนเดอลิน แวน ดราเน็น (Wendelin Van Draanen) นักเขียนหญิงชาวอเมริกัน ที่มีงานเขียนสำหรับเด็กๆ (และผู้ใหญ่) หลายเรื่อง และเรื่องนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีชื่อเสียงของเธอ และด้วยวิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของตัวละครที่เป็นเด็ก ความคิดดีๆหลายอย่างจึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสนุก อ่านง่าย และมีความหมายลึกซึ้งค่ะ



ต้นไม้ ไข่ไก่ และหัวใจหกคะเมน เป็นเรื่องของ จูลี เด็กหญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตสนุกสนาน เบิกบาน และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เธออยู่ภายในบ้านโทรมๆหลังเล็กๆ ที่มีพ่อ แม่ และพี่ชายอีกสองคน พวกเขาเป็นครอบครัวที่สนิทกันมาก และรักกันมาก เท่าที่ครอบครัวอบอุ่นครอบครัวหนึ่งจะสามารถมีให้กันได้

จนกระทั่งวันหนึ่งไบรซ์ ลอสกี -- เด็กชายรูปงาม -- ก็ปรากฎตัวที่บ้านฝั่งตรงข้ามเธอในฐานะเพื่อนบ้านหน้าใหม่ โลกของจูลี จึงถูกเติมเต็มด้วยสีฟ้าสดใสของดวงตาไบรซ์ จนแทบจะหกคะเมนตีลังกาไปไม่ถูก



แต่ในขณะเดียวกัน ไบรซ์เอง ก็รู้สึกว่าโลกสีฟ้าของเขา กำลังถูกรุกรานด้วยโลกหลากสีของจูลี เด็กสาวหน้าตกกระ พลังงานล้นเหลือ และมีครอบครัวแปลกๆจนๆ จากบ้านฝั่งตรงข้าม

ไม่มีวันไหน ที่เขาไม่ถูกจูลีจ้องมอง
ไม่มีชั่วโมงไหน ที่เขาไม่ถูกจูลีดมผมของเขา -- ใช่ ผมของเขา -- ในห้องเรียนนั้นแหละ!
และไม่มีครั้งไหน ที่เขาไม่เห็นว่าจูลีแสดงตัวว่ามีความรู้เยอะเกิน ฉลาดเกิน และมีความคิดเป็นของตัวเองมากเกิน จนเก็บอาการไม่ไหวทุกครั้งที่มีโอกาสตอบคำถามในห้องเรียน



สำหรับเขาแล้วนั้น จูลี คือส่วนเกินที่มีพลังงานเหลือเฟือ ที่เขาสุดแสนจะรำคาญ และต้องการจะกำจัดทิ้งออกไปจากชีวิต


ถ้าเป็นหนังสือเรื่องอื่น เรื่องอาจจะดำเนินไปโดยการตื้อรังควาน ตามจีบถล่ม หยอดมุกกระจาย จนกว่าจูลีจะได้ไบรซ์มาครอบครอง
แต่เพราะเรื่องนี้เป็นหนังสือเด็ก และ เป็นเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยมิตรภาพ กับความคิดดีๆ เรื่องราวนี้จึงดำเนินไปในอีกรูปแบบหนึ่ง

เพราะในบทต่อมา เราจะได้มองเห็นมากขึ้นว่า จูลี มีดีมากเกินกว่าจะเป็นเพียงส่วนเกินที่น่ารำคาญ -- ไม่ว่าจะสำหรับชีวิตของใครก็ตาม
นั่นคือ จูลี เป็นเด็กที่มีความคิดและความสามารถ และความคิดของเธอนั้น ก็ลึกล้ำเกินกว่าเด็กมัธยมต้นทั่วไปจะสามารถทำได้



ไม่มีเด็กหญิงคนไหน จะปีนต้นซิคามอร์ที่สูงเฉียดฟ้าขนาดนั้น เพื่อที่จะไปนั่งเหม่อมองวิวทิวทัศน์อันงดงามข้างบน แล้วกลับลงมาบอกกับเราว่า “ความงดงามที่เธอได้เห็นนั้น มันช่างสวยงามราวกับได้จุมพิตเธอที่หัวใจ”




หรือมองลำต้นบิดเบี้ยวน่าเกลียดของต้นซิคามอร์นั้นเป็นสิ่งสวยงามมหัศจรรย์ แล้วบอกว่า “นี่เป็นหลักฐานของความอดทน” ที่ต้นอ่อนเกือบตายต้นหนึ่ง จะสามารถทรหด อดทน เติบโต จนเป็นต้นไม้สูงใหญ่ได้ขนาดนี้

และถึงขั้นไม่ยอมลงจากต้นซิคามอร์ต้นนั้น เมื่อรู้ว่าเจ้าของที่ต้องการจะโค่นมันลง เพื่อสร้างบ้านใหม่

คงไม่มีเด็กมัธยมคนไหน จะมานั่งรอลูกเจี๊ยบฟักออกมาจากไข่ เลี้ยงมัน ทะนุถนอมมันทั้ง 6 ตัว จนโตเป็นแม่ไก่ ออกไข่มาให้เธอได้กินเล่นแบบงงๆ  ทั้งๆที่มันเป็นเพียงโครงงานวิทยาศาสตร์เท่านั้น -- แต่เพราะจูลีมองว่ามันเป็นมากกว่านั้น พวกมันคือชีวิตที่เธอได้ช่วยให้กำเนิดขึ้นมา -- เธอจึงรับผิดชอบทั้งไข่ และขี้ไก่ในสนามหลังบ้านด้วยความยินดี --



ใช่ค่ะ ผู้หญิงกับขี้ไก่ มักจะไปด้วยกันไม่ค่อยได้ -- แต่จูลีไปกับมันได้อย่างไม่มีปัญหา



และคงไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหน มานั่งครุ่นคิดพยายามเข้าใจคำสอนของพ่อที่บอกว่า “แม่วัวเป็นแค่แม่วัว ท้องทุ่งก็เป็นแค่ต้นหญ้าและดอกไม้ ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงผ่านต้นไม้ก็เป็นเพียงลำแสง แต่เมื่อนำทั้งหมดนี้มาอยู่รวมกัน เราจะได้ความมหัศจรรย์” และเข้าใจได้ด้วยตัวเองในที่สุด ว่า “ภาพภาพหนึ่งเป็นมากกว่าการเอาส่วนต่างๆมารวมกัน”



แต่ทั้งหมดนั้น คือสิ่งที่จูลีได้ทำ -- เป็นส่วนหนึ่ง ของหลายๆสิ่งที่จูลีได้ตัดสินใจจะทำ และลงมือทำ

มันเป็นสิ่งสวยงามเหลือเชื่อจากข้างในที่ไบรซ์ยังมองไม่เห็น ทั้งๆที่เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา


หนังสือเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เราได้มองเห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงความสำคัญของการที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ด้วยความอคติ และดูถูกเหยียดหยาม

มิตรภาพดีๆอาจจะถูกตัดขาดสะบั้นไปได้อย่างง่ายดาย หากเราเลือกที่จะตัดสินคนจากสนามบ้านรกรุงรัง กลิ่นสาบจนๆ  จักรยานเก่าๆสนิมเขรอะ  หรือหัวเราะเยาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ทำงานหนักตลอดเวลา จนไม่มีวันหยุดไปเที่ยวพักผ่อนนอกเมือง หรือ ขำขันในความฝันของเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นจะเป็นนักดนตรี

นั่นคือความรู้สึกทั้งหมดที่เกือบทุกคนในบ้านของไบรซ์ ลอสกี ได้มีต่อบ้านของจูลี -- มีต่อพ่อแม่ของเธอ พี่ชายทั้งสองของเธอ และตัวเธอเอง
พวกเขาตัดสินครอบครัวของจูลีอย่างนั้น โดยไม่รู้ความจริงสักอย่าง ว่าทุกคนในบ้านเล็กๆหลังนั้น ต้องใช้ความรัก ความเสียสละ และความอดทนพยายามมากแค่ไหน ในการที่จะฟันฝ่าปัญหาอันหนักหน่วงที่เกิดขึ้นไปได้

มากแค่ไหน ?

เอาเป็นว่า จะมีสักกี่คน ที่พร้อมใจสละความเป็นอยู่ดีๆอันน้อยนิดของตัวเอง ให้คนๆหนึ่ง -- ที่แทบจะไม่มีโอกาสได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอกบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป  ไม่ได้มีโอกาสออกมาเดินบนท้องถนนอย่างปกติทั่วไป  ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปดูหนังในโรงหนัง  ไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย หรือไม่ได้มีแม้แต่โอกาสพูดคุยสนทนากับคนอื่นในสังคมด้วยซ้ำไป

บ้านของไบรซ์ ลอสกี อาจจะทำไม่ได้ -- ทำไมต้องเสียสละความสุขของตัวเอง ให้คนๆหนึ่ง ที่ดูเหมือนไม่มีคุณค่ามากมายขนาดนั้นด้วย ?

แต่บ้านของจูลีทำได้ -- อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

หากเพื่อนๆอยากรู้ว่า ใคร อะไร และยังไง ต้องตามอ่านค่ะ  แก้วไม่อยากจะเฉลยหมด 5555 (ทั้งๆที่พิมมาซะขนาดนี้แล้ว)


ยิ่งอ่านต่อ เราจะยิ่งเข้าใจมากขึ้น ว่าการมองทะลุรูปลักษณ์ภายนอกของใครสักคนได้นั้น จะสามารถทำให้เรารู้จักกับ “คนดีๆ” ได้มากมายแค่ไหน

เซต -- ตาของไบรซ์ เป็นอีกตัวละครที่เข้ามามีบทบาทในหนังสือเรื่องนี้ และแก้วก็ชอบมากๆด้วย เพราะนอกจากชื่อจะเท่แล้ว นิสัยแกยังจ๊าบแบบนิ่งๆอีกด้วย ว่ะฮ่าฮ่าาา



การที่เรื่องราวของไบรซ์และจูลี  ได้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะไข่ ไก่ กับต้นไม้อย่างเดียว  แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เซต คุณตาคนนี้ด้วยค่ะ

คุณตาแก ไม่ได้เป็นพ่อสื่อ สร้างสะพานเชื่อมเด็กๆ เป็นงานอดิเรกหรอกค่ะ  แต่คุณตาแกเป็นนักสังเกตการณ์ เป็นนักคิดอย่างมีเหตุมีผล และเป็นนักฟังที่ดี ในเวลาที่จูลีหรือไบรซ์ต้องการใครสักคนมาฟัง

หนึ่งในฉากที่แก้วชอบ ก็คือฉากที่คุณตาแกเดินตามไบรซ์เข้ามาในห้องนอนอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดังกอกแกก หรือเสียงลมหายใจใดๆ
แล้วสอนคำสอนหนึ่งให้แก่หลานคนนี้ ว่า

“นิสัยคนเราจะติดตัวไปตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่หลานเลือกวันนี้จะส่งผลต่อหลานไปทั้งชีวิต ตาไม่อยากเห็นหลานว่ายน้ำออกไปไกลจนว่ายกลับมาไม่ได้
ลองเอาคำพูดของตาไปคิดดู และครั้งต่อไปที่หลานจะต้องเลือก จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในระยะยาวมันจะทำร้ายความรู้สึกคนอื่นน้อยกว่า”

และนั่นเป็นคำสอนที่มีผลต่อการเติบโตของไบรซ์ในเวลาต่อมาอย่างมาก


เมื่ออ่านต่อไป หนังสือจะทำให้เรายิ่งเข้าใจ ว่าความรัก ความเสียสละ ที่มีให้แก่กันและกันในครอบครัวนั้น คือพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ ไม่ว่าจะเผชิญกับคำพูดแย่ๆ เหตุการณ์บั่นทอนจิตใจ หรือปัญหาที่ทำให้เหนื่อยล้าใดๆก็ตาม

ความจริงข้อนี้ได้กระจ่างชัดต่อไบรซ์ในภายหลัง หลังจากที่เขาได้มองครอบครัวของจูลี แล้วสะท้อนเป็นภาพครอบครัวของเขา

จูลี เติบโตมาจากครอบครัวที่เปล่งประกายจากข้างใน
ในขณะที่เขา เติบโตมาจากครอบครัวที่เปล่งประกายมาจากรอยยิ้มที่เสแสร้งสร้างขึ้นมา

ความจริงที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ค้นพบด้วยตัวเองนั้น จึงเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล
เช่นเดียวกันกับความคิดที่เขาได้มีกับเด็กสาวชื่อ จูลี

และเมื่อความคิดดีๆได้เกิดขึ้น
มิตรภาพ ความรัก ความสวยงาม และความมหัศจรรย์ที่มีในตัวมนุษย์ ก็ได้ปรากฎขึ้นแก่ไบรซ์ และจูลี ท่ามกลางเรื่องราวของครอบครัว 2 ครอบครัว  ความคิดดีๆอีกมากมาย   และใช่ -- ไก่(6ตัว) ไข่(อีกหลายฟอง) และต้นซิคามอร์(ที่บิดเบี้ยว)



หากใครกำลังมองหาเรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้วเติมเต็มให้เรายิ้ม มีความคิดเปลี่ยนไป มุมมองเปลี่ยนไป
“ต้นไม้ ไข่ไก่ และหัวใจหกคะเมน” เป็นอีกเรื่องที่ห้ามพลาดค่ะ
พูดจริงๆนะ !

ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาอ่าน และเยี่ยมเยียนเพจ ^^
หวังว่าอ่านแล้ว จะสนุก ประทับใจ แล้วสนใจมา Hit the book กับแก้วอีกนะค้า

ขอบคุณภาพและที่มา จากสำนักพิมพ์แพรวเยาวชนค่ะ

ปล. รอบนี้ลงเป็นวีดีโอด้วยค่ะ หวังว่าจะเป็นอีกทางที่ทำให้ได้แชร์เรื่องราวดีๆให้เพื่อนๆค่ะ เขิลจัง 55555


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่