หลังจากผ่าน GP สนามที่ 8 ที่ Assen ประเทศเนเธอแลนด์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำในตารางคะแนนสะสมกลายเป็น Marc Marquez จากทีม Repsol Honda ซึ่งเชื่อว่าถ้าดูจากองค์ประกอบหลายๆอย่างในช่วงต้นฤดูกาลแล้ว คงมีน้อยคนที่จะคิดว่า 2 นักแข่งจากทีม Movistar Yamaha จะตกเป็นผู้ตามในช่วงเวลานี้ แถมช่วงว่างของคะแนนก็ห่างถึง 24 และ 42 คะแนนเลยทีเดียว
มาร์คกับจังหวะที่ไปฉกสกูตเตอร์สตาร์ฟทีม LCR กลับมาที่พิทหลังจากที่รถล้มเพื่อเปลี่ยนรถออกไป Qualify
สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์โลกปีนี้ ค่อนข้างที่จะพลิกไปพลิกมา โดยมี DNF หรือ 0 คะแนน เข้ามาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความห่างของคะแนนมันเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว MM93 เป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีที่สุด ต้องชื่นชมในความมุ่งมั่นและสมาธิของเค้าในปีนี้ ขนาดที่เลอร์มังประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนามที่มาเคสได้รับผลการแข่งขันแย่ที่สุดเนื่องจากพลาดล้มแต่ก็ยังพยายามเอารถกลับขึ้นมาแข่งต่อและจบการแข่งขันในอันดับที่ 13 เก็บ 3 คะแนนที่มีค่าเพิ่มได้ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความมุ่มมั่นตั้งใจที่จะเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนอีก 7 สนามที่เหลือนั้นสามารถจบการแข่งขันบนโพเดี่ยมได้ทั้งหมด ถ้าตัดชัยชนะในช่วงต้นฤดูกาลออกไป กับ 3 สนามล่าสุด เราจะเห็นได้ว่า MM93 วิ่งอยู่บนขีดจำกัดของตัวรถตลอด แต่ไม่ฝืนที่จะไล่แย่งอันดับที่ 1 แบบเสี่ยงที่จะล้มเหมือนเช่นที่ผ่านมา ยินดีที่จะขึ้นโพเดี่ยมอันดับที่ 2 ทั้ง 3 สนามด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เนื่องจากเป้าหมายสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเป็นแชมป์โลกเมื่อจบฤดูกาล ซึ่งนี่เป็นมาร์ค มาเคสคนใหม่ที่เปลี่ยนไป หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมามายมายเมื่อปีที่แล้ว
MM93 ในบทพระรอง
รถ RC213V ของ Honda นั้นยังคงขี่ยากอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าทาง Honda จะเร่งพัฒนารถ แต่ด้วยกฎเอย ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ทำให้บางอย่างก็ทำได้ บางอย่างต้องใช้เวลา บางอย่างแก้ไขไม่ได้เลย ต้องรอปิดฤดูกาลเท่านั้น เราอาจจะใช้ผลงานของ Deni Predosa เป็นตัววัดแบบง่ายๆได้ ดาวบิดเบอร์ 26 ได้ขึ้น Podium แค่ 2 ครั้ง แต่ถ้านับจากความเร็วจริงๆ ก็นับได้แค่ 1 เท่านั้นนั่นยิ่งสะท้อนว่าความสามารถของ MM93 มีอะไรที่เหนือกว่านักแข่งคนอื่นๆของ Honda อยู่ โอเคว่ารถทีมโรงงานอาจจะเหนือกว่ารถของทีม LCR หรือ Marc VDS อยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ Honda ต้องการข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาของรถแบบนี้ เชื่อว่าความห่างของรถนั้นไม่ต่างกันมากนักและในอดีตที่ผ่านมา รถทีมเล็กของ Honda จะค่อนข้างใกล้เคียงกับทีมโรงงานมากกว่าฝั่ง Yamaha การซัพพอร์ทของทีมต่อ DP26 นั้น ไม่ใช่แบบนักแข่งมือ 2 อย่างแน่นอน ด้วยตัวรถ ยางมิชลินและตัว Unified ECU ที่ยังผสมผสานกันยังไม่ลงตัวมากกว่า น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผลงานของเพโดรซ่ายังดูไม่ค่อยกระเตื้องมากนัก ต่างจากมาเคสที่มีสกิลพิเศษอยู่ในตัว เลยสามารถยืนระยะต่อสู้กับนักแข่งจากทีม Yamaha ได้
ในช่วงซ้อม เราจะเห็นรถเบอร์ 93 ล้มหรือหลุดแทรคเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพื่อหาจุดลิมิตของรถในสนามนั้นๆ
ในทางกลับกัน Valentino Rossi ของ Yamaha ที่ขี่ได้อย่างแข็งแกร่งในปีนี้ กลับต้องเผชิญหน้ากับ DNF ไปแล้วถึง 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งรถพังที่มูเจลโล่ และการล้มอีก 2 สนาม ทั้งๆที่ในฤดูกาลที่แล้วเค้าเป็นเพียงนักแข่งไม่กี่คนที่เก็บคะแนนได้ทุกสนาม ปีนี้รอสซี่แก้ปัญหาของตัวเองได้ในหลายๆอย่าง ทั้งในเรื่อง Qualify ที่ทำได้ดีขึ้นมากและมี Race pace ที่แข็งแกร่ง สามารถต่อสู้กับ MM93 กับ JL99 ได้อย่างตรงๆ ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่เค้าต้องงัดเอาลูกเก๋าออกมาสู้แทนที่จะเป็นความเร็วแบบเพียวๆ แถมถ้าดูกันแบบเผินๆดูเหมือน Rossi จะปรับตัวให้เข้ากับยางมิชลินได้ค่อนข้างดี แต่ไม่รู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งตรงนี้ด้วยรึเปล่า ทำให้แต่ละสนามนั้น Rossi มุ่งเป้าไปที่ชัยชนะเป็นหลัก จนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เหมือนเช่นในสนามล่าสุด ที่เจ้าตัวออกมาบอกว่าเป็นความผิดพลาดของเค้าเองที่ขี่เร็วเกินไป มั่นใจในตัวรถเกินไป
The doctor คว้าชัยในการแข่งขันที่คาตาลุญญ่า
เช่นเดียวกันกับ Lorenzo ที่ถึงแม้จะเก็บชัยชนะไปแล้วถึง 3 สนาม รวมถึงที่ 2 อีก 2 ครั้ง แต่กับ 2 DNF และผลงานอันย่ำแย่ที่ Assen น่าจะทำให้เค้าต้องกลับมาทวบทวนอะไรๆในหลายๆอย่าง ที่คาตาลัน ลอเลนโซ่อาจจะโชคร้ายที่โดน Innone ชนจนต้องออกจากการแข่งขัน แต่สนามนั้นเป็นสนามแรกที่อยู่ดีๆ เค้าวิ่งหลุดอันดับ 5 ไปซะดื้อๆ ขณะที่เนเธอแลนด์ JL99 ยังคงแก้ไขปัญหาเดิมๆของตัวเค้าไม่ได้ คือเจ้าอมยิ้มจะได้รับผลกระทบอย่างหนักในสภาวะยางหน้าไม่ค่อยยึดเกาะ เนื่องจาก JL99 ใช้ยางหน้าค่อนข้างเยอะในการรักษาความเร็วในโค้ง ซึ่งสภาวะแบบนี้จะทำให้เค้าขาดความมั่นใจในการขี่และเสียความเร็วไปค่อนข้างเยอะ และล่าสุด JL ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเค้าเองไม่สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การขี่ได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งปัญหาตรงนี้ คงไม่ใช่แค่ Yamaha ที่ต้องตกใจ แต่รวมไปถึง Ducati ต้นสังกัดใหม่ของเค้าในปีหน้าด้วย เนื่องจาก Lorenzo ไม่สามารถใช้สไตล์แบบนี้ขี่รถ Desmosedici ได้แน่ๆ ยังไงก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหารถ แต่เรื่องนี้เชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะรู้ดีที่สุดและคงวางแผนไว้แล้วล่ะว่าจะแก้ไขมันยังไง
Lorenzo กับชัยชนะที่อิตาลี
ต่อเนื่องไปถึงทีม Ducati อาจจะเรียกได้ว่าครึ่งฤดูกาลแรกนี้ถือเป็นหายนะของทีมอย่างแท้จริง ทั้ง 2 อังเดร ไม่จบการแข่งไปแล้วคนละ 4 สนาม นั่นคือ 50% เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ส่งผลให้อันดับของนักแข่งของทีมไม่ติดใน Top 5 ของตารางคะแนน ที่สำคัญคะแนนสะสมประเภททีมนั้นตามหลังทีม Suzuki หรือแม้กระทั่งทีม Satellite อย่าง Tech3 รวมถึงประเภทโรงงานที่ Ducati นั้นมีลุ้นแชมป์โลกได้เลยในปีนี้ ทั้งๆที่รถ GP16 นั้นดีขึ้นมากแล้ว ปัญหาของ Ducati ในปีนี้กลับมาอยู่ที่ตัวนักแข่งอีกครั้ง โดยเฉพาะ Andrea Iannone ที่กลับมามีข้อผิดพลาดเยอะ ที่สำคัญการล้มของเค้ามักจะมีคู่กรณีพ่วงไปเสมอ ไม่ใช่ล้มเองคนเดียว และน่าจะด้วยสาเหตุนี้ทำให้เค้าไม่ถูกเลือกจากทีมให้แข่งต่อในฤดูกาลหน้า จำนวน 3 โพเดี่ยมในปีนี้ถือว่าน้อยมาก ทั้งๆที่ทีมควรจะได้ถึง 6-7 ครั้งอย่างสบายๆ แต่อย่างน้อยถ้ามองในแง่ดี ก็ต้องบอกว่ารถ GP16 นั้นขยับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับกันกับรถ RC213V กับ YZR-M1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะยังไม่ดีเท่าแต่ก็ถือว่าสู้ได้ เหลือเพียงแค่นักแข่งเท่านั้นที่จะเปลี่ยนมันออกมาเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม
ดูคาติ พลาดโพเดี่ยมและแต้มสำคัญๆไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะการล้มและอุบัติเหตุ
ฝั่งของทีม Suzuki นั้นถือว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ สามารถยกระดับขึ้นมาต่อสู้เพื่อแย่ง Podium ในบางสนามได้แล้ว โดยเฉพาะด้วยฝีมือการขับขี่ของ Maverick Vinales ที่สไตล์การขี่ของเค้าค่อนข้างเหมาะกับตัวรถ ขุมพละกำลังของรถ GSX-RR นั้นดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างชัดเจน ตอนนี้น่าจะเหลือแค่การปรับแต่งระบบ Electronic และระบบส่งกำลังให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ก็น่าจะสามารถขยับขึ้นไปแย่งโพเดี่ยมได้เกือบทุกสนามและสู้กับกลุ่มนำได้อย่างสนุกสูสี แต่ตอนนี้ดูเหมือนแนวทางของนักแข่งทั้ง 2 คนของทีมจะเดินไปไม่เหมือนกัน เนื่องจาก Vinales ตัดสินใจใช้ Chassis เวอร์ชั่นใหม่ ขณะที่ Espargaro ที่เปลี่ยนมาใช้ Chassis ใหม่ตัดสินใจกลับไปใช้ตัว Standard chassis ซะงั้น แต่นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบของนักแข่งทีมโรงงานที่ได้รับการซัพพอร์ทและมีหลาย Option ให้เลือกมากกว่าทีม Private
Aliex สตาร์ทดี แต่ยืนระยะไม่ได้ Maverick ออกตัวแย่ แต่กว่าจะไล่แซงมาข้างหน้าได้ ยางก็หมด อืมมม
อีกอย่างนึงที่ทีมยังมีจุดอ่อนอยู่ก็คือข้อมูลและประสบการณ์ของทีมที่มีน้อยกว่าทีมอื่น โดยเฉพาะในสนามเปียกนั้นส่งผลชัดเจนมากกับความล้มเหลวที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งว่ากันว่าที่นี่น่าจะเป็นอีก 1 สนามที่ทีม Suzuki มีโอกาสลุ้นโพเดี่ยมซะด้วยซ้ำ ในช่วงซ้อมที่ผิวแทรคยังแห้งนั้น MV25 ก็ทำเวลาได้ดี มี Race pace ที่ดี แต่พอสภาพพื้นผิวแทรคเปลี่ยนไปเป็นเปียก ทีมกลับไม่สามารถหาจุด Set-up ที่ลงตัวได้และผลการแข่งขันก็ออกมาอย่างที่เห็น ถือเป็นบทเรียนราคาแพงของทีมจากฮามามัตซึแต่เชื่อว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ตรงนี้ไปทีมน่าจะเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์และหาทางรับมือกับมันได้ดีขึ้นไปในอนาคต
Aprilia มีการอัพเกรดรถไปแล้วประมาณ 2 ครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเวลาต่อรอบ ยังขยับเข้ามาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 วินาทีจากอันดับ 1 ไม่ค่อยได้ มีสนามล่าสุดในรอบซ้อม ที่เวลาของ Alvaro Bautista นั้นห่างจากผู้นำแค่ 1 วิกว่าๆ โดยพี่เบาเปิดเผยว่าจุดที่เค้าเสียเวลาหลักๆในตอนนี้คือจังหวะเข้าและออกจากโค้ง ซึ่งจริงๆปัญหานี้ค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะการแก้ไขปัญหานี้มันกระทบกับหลายจุด แก้ตรงนี้ กระทบตรงนู้น ก็ได้แต่หวังว่า Aprilia จะแก้ไขเรื่องนี้ได้โดยเร็ว ระบบ Electronic เป็นจุดด้อยหลักอันหนึ่งของทีม เพราะรถของ Aprilia นั้นใช้ ECU ของตัวเองมาตลอด
เอ็งว่ารถเราไม่ดีหรือว่านักแข่งมันช้าฟะ 555 Romano Albesiano ไม่ได้กล่าวไว้
อีกจุดอ่อนหนึ่งที่เห็นได้ชัดของรถ RS-GP ในตอนนี้ก็คือพละกำลังของเครื่องยนต์ ที่ยังตามโรงงานอื่นอยู่พอสมควร ตามข่าวบอกว่าเครื่องยนต์ยังต้องการแรงม้าเพิ่มอีกราวๆ 30 ตัว(น่าจะพอๆกับของ Suzuki เมื่อปีที่แล้ว) ความยากของมันคือทำอย่างไรถึงจะควบคุมพลังพวกนี้ได้ ไม่ทำให้ล้อหลังฟรี รวมถึงน้ำหนักของตัวรถที่ยังมีมากเกินไป ซึ่งตรงนี้จะมีผลตอนเบรก ถ้าจำไม่ผิดเครื่องยนต์เวอร์ชั่นใหม่จริงๆ ที่น้ำหนักจะเบาลงค่อนข้างเยอะ ยังไม่ถูกนำมาใช้ เพราะยังติดปัญหาเรื่อง Performance อยู่ นักแข่งทั้ง 2 คนของ Aprilia เจอปัญหาอย่างหนักในการ Qualify แต่ Race pace นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ต้องรอดูว่าครึ่งหลังทาง Aprilia จะทำได้สำเร็จตามเป้ามั้ยสำหรับการพัฒนารถให้ขยับขึ้นไปอยู่ใน Top 10 ให้ได้
Aprilia RS-GP vs Honda RC123V
[MotoGP] Marc Marquez ร่างซุปเปอร์ไซย่า vs ความนิ่งที่หายไปของทีม Yamaha
มาร์คกับจังหวะที่ไปฉกสกูตเตอร์สตาร์ฟทีม LCR กลับมาที่พิทหลังจากที่รถล้มเพื่อเปลี่ยนรถออกไป Qualify
สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์โลกปีนี้ ค่อนข้างที่จะพลิกไปพลิกมา โดยมี DNF หรือ 0 คะแนน เข้ามาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความห่างของคะแนนมันเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว MM93 เป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีที่สุด ต้องชื่นชมในความมุ่งมั่นและสมาธิของเค้าในปีนี้ ขนาดที่เลอร์มังประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนามที่มาเคสได้รับผลการแข่งขันแย่ที่สุดเนื่องจากพลาดล้มแต่ก็ยังพยายามเอารถกลับขึ้นมาแข่งต่อและจบการแข่งขันในอันดับที่ 13 เก็บ 3 คะแนนที่มีค่าเพิ่มได้ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความมุ่มมั่นตั้งใจที่จะเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนอีก 7 สนามที่เหลือนั้นสามารถจบการแข่งขันบนโพเดี่ยมได้ทั้งหมด ถ้าตัดชัยชนะในช่วงต้นฤดูกาลออกไป กับ 3 สนามล่าสุด เราจะเห็นได้ว่า MM93 วิ่งอยู่บนขีดจำกัดของตัวรถตลอด แต่ไม่ฝืนที่จะไล่แย่งอันดับที่ 1 แบบเสี่ยงที่จะล้มเหมือนเช่นที่ผ่านมา ยินดีที่จะขึ้นโพเดี่ยมอันดับที่ 2 ทั้ง 3 สนามด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เนื่องจากเป้าหมายสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเป็นแชมป์โลกเมื่อจบฤดูกาล ซึ่งนี่เป็นมาร์ค มาเคสคนใหม่ที่เปลี่ยนไป หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมามายมายเมื่อปีที่แล้ว
MM93 ในบทพระรอง
รถ RC213V ของ Honda นั้นยังคงขี่ยากอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าทาง Honda จะเร่งพัฒนารถ แต่ด้วยกฎเอย ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ทำให้บางอย่างก็ทำได้ บางอย่างต้องใช้เวลา บางอย่างแก้ไขไม่ได้เลย ต้องรอปิดฤดูกาลเท่านั้น เราอาจจะใช้ผลงานของ Deni Predosa เป็นตัววัดแบบง่ายๆได้ ดาวบิดเบอร์ 26 ได้ขึ้น Podium แค่ 2 ครั้ง แต่ถ้านับจากความเร็วจริงๆ ก็นับได้แค่ 1 เท่านั้นนั่นยิ่งสะท้อนว่าความสามารถของ MM93 มีอะไรที่เหนือกว่านักแข่งคนอื่นๆของ Honda อยู่ โอเคว่ารถทีมโรงงานอาจจะเหนือกว่ารถของทีม LCR หรือ Marc VDS อยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ Honda ต้องการข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาของรถแบบนี้ เชื่อว่าความห่างของรถนั้นไม่ต่างกันมากนักและในอดีตที่ผ่านมา รถทีมเล็กของ Honda จะค่อนข้างใกล้เคียงกับทีมโรงงานมากกว่าฝั่ง Yamaha การซัพพอร์ทของทีมต่อ DP26 นั้น ไม่ใช่แบบนักแข่งมือ 2 อย่างแน่นอน ด้วยตัวรถ ยางมิชลินและตัว Unified ECU ที่ยังผสมผสานกันยังไม่ลงตัวมากกว่า น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผลงานของเพโดรซ่ายังดูไม่ค่อยกระเตื้องมากนัก ต่างจากมาเคสที่มีสกิลพิเศษอยู่ในตัว เลยสามารถยืนระยะต่อสู้กับนักแข่งจากทีม Yamaha ได้
ในช่วงซ้อม เราจะเห็นรถเบอร์ 93 ล้มหรือหลุดแทรคเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพื่อหาจุดลิมิตของรถในสนามนั้นๆ
ในทางกลับกัน Valentino Rossi ของ Yamaha ที่ขี่ได้อย่างแข็งแกร่งในปีนี้ กลับต้องเผชิญหน้ากับ DNF ไปแล้วถึง 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งรถพังที่มูเจลโล่ และการล้มอีก 2 สนาม ทั้งๆที่ในฤดูกาลที่แล้วเค้าเป็นเพียงนักแข่งไม่กี่คนที่เก็บคะแนนได้ทุกสนาม ปีนี้รอสซี่แก้ปัญหาของตัวเองได้ในหลายๆอย่าง ทั้งในเรื่อง Qualify ที่ทำได้ดีขึ้นมากและมี Race pace ที่แข็งแกร่ง สามารถต่อสู้กับ MM93 กับ JL99 ได้อย่างตรงๆ ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่เค้าต้องงัดเอาลูกเก๋าออกมาสู้แทนที่จะเป็นความเร็วแบบเพียวๆ แถมถ้าดูกันแบบเผินๆดูเหมือน Rossi จะปรับตัวให้เข้ากับยางมิชลินได้ค่อนข้างดี แต่ไม่รู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งตรงนี้ด้วยรึเปล่า ทำให้แต่ละสนามนั้น Rossi มุ่งเป้าไปที่ชัยชนะเป็นหลัก จนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เหมือนเช่นในสนามล่าสุด ที่เจ้าตัวออกมาบอกว่าเป็นความผิดพลาดของเค้าเองที่ขี่เร็วเกินไป มั่นใจในตัวรถเกินไป
The doctor คว้าชัยในการแข่งขันที่คาตาลุญญ่า
เช่นเดียวกันกับ Lorenzo ที่ถึงแม้จะเก็บชัยชนะไปแล้วถึง 3 สนาม รวมถึงที่ 2 อีก 2 ครั้ง แต่กับ 2 DNF และผลงานอันย่ำแย่ที่ Assen น่าจะทำให้เค้าต้องกลับมาทวบทวนอะไรๆในหลายๆอย่าง ที่คาตาลัน ลอเลนโซ่อาจจะโชคร้ายที่โดน Innone ชนจนต้องออกจากการแข่งขัน แต่สนามนั้นเป็นสนามแรกที่อยู่ดีๆ เค้าวิ่งหลุดอันดับ 5 ไปซะดื้อๆ ขณะที่เนเธอแลนด์ JL99 ยังคงแก้ไขปัญหาเดิมๆของตัวเค้าไม่ได้ คือเจ้าอมยิ้มจะได้รับผลกระทบอย่างหนักในสภาวะยางหน้าไม่ค่อยยึดเกาะ เนื่องจาก JL99 ใช้ยางหน้าค่อนข้างเยอะในการรักษาความเร็วในโค้ง ซึ่งสภาวะแบบนี้จะทำให้เค้าขาดความมั่นใจในการขี่และเสียความเร็วไปค่อนข้างเยอะ และล่าสุด JL ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเค้าเองไม่สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การขี่ได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งปัญหาตรงนี้ คงไม่ใช่แค่ Yamaha ที่ต้องตกใจ แต่รวมไปถึง Ducati ต้นสังกัดใหม่ของเค้าในปีหน้าด้วย เนื่องจาก Lorenzo ไม่สามารถใช้สไตล์แบบนี้ขี่รถ Desmosedici ได้แน่ๆ ยังไงก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหารถ แต่เรื่องนี้เชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะรู้ดีที่สุดและคงวางแผนไว้แล้วล่ะว่าจะแก้ไขมันยังไง
Lorenzo กับชัยชนะที่อิตาลี
ต่อเนื่องไปถึงทีม Ducati อาจจะเรียกได้ว่าครึ่งฤดูกาลแรกนี้ถือเป็นหายนะของทีมอย่างแท้จริง ทั้ง 2 อังเดร ไม่จบการแข่งไปแล้วคนละ 4 สนาม นั่นคือ 50% เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ส่งผลให้อันดับของนักแข่งของทีมไม่ติดใน Top 5 ของตารางคะแนน ที่สำคัญคะแนนสะสมประเภททีมนั้นตามหลังทีม Suzuki หรือแม้กระทั่งทีม Satellite อย่าง Tech3 รวมถึงประเภทโรงงานที่ Ducati นั้นมีลุ้นแชมป์โลกได้เลยในปีนี้ ทั้งๆที่รถ GP16 นั้นดีขึ้นมากแล้ว ปัญหาของ Ducati ในปีนี้กลับมาอยู่ที่ตัวนักแข่งอีกครั้ง โดยเฉพาะ Andrea Iannone ที่กลับมามีข้อผิดพลาดเยอะ ที่สำคัญการล้มของเค้ามักจะมีคู่กรณีพ่วงไปเสมอ ไม่ใช่ล้มเองคนเดียว และน่าจะด้วยสาเหตุนี้ทำให้เค้าไม่ถูกเลือกจากทีมให้แข่งต่อในฤดูกาลหน้า จำนวน 3 โพเดี่ยมในปีนี้ถือว่าน้อยมาก ทั้งๆที่ทีมควรจะได้ถึง 6-7 ครั้งอย่างสบายๆ แต่อย่างน้อยถ้ามองในแง่ดี ก็ต้องบอกว่ารถ GP16 นั้นขยับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับกันกับรถ RC213V กับ YZR-M1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะยังไม่ดีเท่าแต่ก็ถือว่าสู้ได้ เหลือเพียงแค่นักแข่งเท่านั้นที่จะเปลี่ยนมันออกมาเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม
ดูคาติ พลาดโพเดี่ยมและแต้มสำคัญๆไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะการล้มและอุบัติเหตุ
ฝั่งของทีม Suzuki นั้นถือว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ สามารถยกระดับขึ้นมาต่อสู้เพื่อแย่ง Podium ในบางสนามได้แล้ว โดยเฉพาะด้วยฝีมือการขับขี่ของ Maverick Vinales ที่สไตล์การขี่ของเค้าค่อนข้างเหมาะกับตัวรถ ขุมพละกำลังของรถ GSX-RR นั้นดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างชัดเจน ตอนนี้น่าจะเหลือแค่การปรับแต่งระบบ Electronic และระบบส่งกำลังให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ก็น่าจะสามารถขยับขึ้นไปแย่งโพเดี่ยมได้เกือบทุกสนามและสู้กับกลุ่มนำได้อย่างสนุกสูสี แต่ตอนนี้ดูเหมือนแนวทางของนักแข่งทั้ง 2 คนของทีมจะเดินไปไม่เหมือนกัน เนื่องจาก Vinales ตัดสินใจใช้ Chassis เวอร์ชั่นใหม่ ขณะที่ Espargaro ที่เปลี่ยนมาใช้ Chassis ใหม่ตัดสินใจกลับไปใช้ตัว Standard chassis ซะงั้น แต่นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบของนักแข่งทีมโรงงานที่ได้รับการซัพพอร์ทและมีหลาย Option ให้เลือกมากกว่าทีม Private
Aliex สตาร์ทดี แต่ยืนระยะไม่ได้ Maverick ออกตัวแย่ แต่กว่าจะไล่แซงมาข้างหน้าได้ ยางก็หมด อืมมม
อีกอย่างนึงที่ทีมยังมีจุดอ่อนอยู่ก็คือข้อมูลและประสบการณ์ของทีมที่มีน้อยกว่าทีมอื่น โดยเฉพาะในสนามเปียกนั้นส่งผลชัดเจนมากกับความล้มเหลวที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งว่ากันว่าที่นี่น่าจะเป็นอีก 1 สนามที่ทีม Suzuki มีโอกาสลุ้นโพเดี่ยมซะด้วยซ้ำ ในช่วงซ้อมที่ผิวแทรคยังแห้งนั้น MV25 ก็ทำเวลาได้ดี มี Race pace ที่ดี แต่พอสภาพพื้นผิวแทรคเปลี่ยนไปเป็นเปียก ทีมกลับไม่สามารถหาจุด Set-up ที่ลงตัวได้และผลการแข่งขันก็ออกมาอย่างที่เห็น ถือเป็นบทเรียนราคาแพงของทีมจากฮามามัตซึแต่เชื่อว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ตรงนี้ไปทีมน่าจะเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์และหาทางรับมือกับมันได้ดีขึ้นไปในอนาคต
หรือต้องให้นักแข่งคนนี้จัดการ อิอิ
Aprilia มีการอัพเกรดรถไปแล้วประมาณ 2 ครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเวลาต่อรอบ ยังขยับเข้ามาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 วินาทีจากอันดับ 1 ไม่ค่อยได้ มีสนามล่าสุดในรอบซ้อม ที่เวลาของ Alvaro Bautista นั้นห่างจากผู้นำแค่ 1 วิกว่าๆ โดยพี่เบาเปิดเผยว่าจุดที่เค้าเสียเวลาหลักๆในตอนนี้คือจังหวะเข้าและออกจากโค้ง ซึ่งจริงๆปัญหานี้ค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะการแก้ไขปัญหานี้มันกระทบกับหลายจุด แก้ตรงนี้ กระทบตรงนู้น ก็ได้แต่หวังว่า Aprilia จะแก้ไขเรื่องนี้ได้โดยเร็ว ระบบ Electronic เป็นจุดด้อยหลักอันหนึ่งของทีม เพราะรถของ Aprilia นั้นใช้ ECU ของตัวเองมาตลอด
เอ็งว่ารถเราไม่ดีหรือว่านักแข่งมันช้าฟะ 555 Romano Albesiano ไม่ได้กล่าวไว้
อีกจุดอ่อนหนึ่งที่เห็นได้ชัดของรถ RS-GP ในตอนนี้ก็คือพละกำลังของเครื่องยนต์ ที่ยังตามโรงงานอื่นอยู่พอสมควร ตามข่าวบอกว่าเครื่องยนต์ยังต้องการแรงม้าเพิ่มอีกราวๆ 30 ตัว(น่าจะพอๆกับของ Suzuki เมื่อปีที่แล้ว) ความยากของมันคือทำอย่างไรถึงจะควบคุมพลังพวกนี้ได้ ไม่ทำให้ล้อหลังฟรี รวมถึงน้ำหนักของตัวรถที่ยังมีมากเกินไป ซึ่งตรงนี้จะมีผลตอนเบรก ถ้าจำไม่ผิดเครื่องยนต์เวอร์ชั่นใหม่จริงๆ ที่น้ำหนักจะเบาลงค่อนข้างเยอะ ยังไม่ถูกนำมาใช้ เพราะยังติดปัญหาเรื่อง Performance อยู่ นักแข่งทั้ง 2 คนของ Aprilia เจอปัญหาอย่างหนักในการ Qualify แต่ Race pace นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ต้องรอดูว่าครึ่งหลังทาง Aprilia จะทำได้สำเร็จตามเป้ามั้ยสำหรับการพัฒนารถให้ขยับขึ้นไปอยู่ใน Top 10 ให้ได้
Aprilia RS-GP vs Honda RC123V