รู้มากยากนาน ๒๘ มิ.ย.๕๙

กระทู้สนทนา
เสี้ยวสามก๊ก

         รู้มากยากนาน
                                                " เล่าเซี่ยงชุน ”

                    เมื่อประมาณ พ.ศ.๗๕๗ มีขุนนางสี่คนได้ร่วมคิดกันว่าโจโฉ มหาอุปราช ของพระเจ้าเหี้ยนเต้  มีสติปัญญาทำนุบำรุงบ้านเมือง   ปราบปรามข้าศึกศัตรูได้ราบคาบ    ยังเหลือแต่ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง กับเล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนเท่านั้น   สมควรจะได้เลื่อนเป็นเจ้าวุยอ๋อง   อยู่ในฐานะเจ้าต่างกรม แต่มีขุนนางอีกคนหนึ่งชื่อ ซุนฮิว ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่า ทุกวันนี้ท่านโจโฉเป็นที่วุยก๋ง ก็เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง ราชการสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดอยู่ทั้งสิ้นแล้ว ซึ่งจะเลื่อนเป็นที่วุยอ๋องนั้นไม่สมควร

                    โจโฉก็ว่าที่ว่าดังนี้เห็นจะเป็นเหมือน ซุนฮก กระมัง ด้วยซุนฮกนั้นเคยคัดค้าน ในครั้งที่ขุนนางจะกราบทูลฮ่องเต้ ให้ตั้งโจโฉเป็นวุยก๋งเมื่อแปดปีก่อน แล้วไม่สำเร็จจึงน้อยใจกินยาพิษตายไป  ซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ กลับมาบ้านก็เลยตรอมใจ ป่วยตายไปอีกคนหนึ่ง

                    ต่อมาโจโฉจับได้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่พอพระทัย   ในการที่โจโฉอยากจะเลื่อนเป็นวุยอ๋อง เกรงว่าจะคิดชิงราชสมบัติ   จึงมีหนังสือลับให้ ฮกอ้วน บิดาของนางฮกเฮามเหสี  แจ้งแก่   เล่าปี่และซุนกวน  ให้ยกทัพมาช่วยกันกำจัดโจโฉเสีย    โจโฉจึงถอดนางฮกเฮาออกจากตำแหน่ง
แล้วให้เอาตัวไปประหารชีวิต   พร้อมด้วยบุตรสองคนที่เกิดแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้  และฮกอ้วน   กับครอบครัว หมดสิ้นทั้งตระกูล แต่มิได้ทำอันตรายแก่ฮ่องเต้   แล้วปีถัดมาโจโฉก็ยกบุตรสาวของตนให้เป็นมเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้แทน

                    จากนั้นโจโฉก็ยกกองทัพไปรบกับซุนกวน  และซุนกวนยอมอ่อนน้อม   ขอส่งเครื่องบรรณาการให้ตามประเพณี  พอกลับมาถึงเมืองฮูโต๋ขุนนางทั้งหลายพากันปรึกษา จะยกให้โจโฉเป็นเจ้าวุยอ๋องอีก มีผู้ไม่เห็นด้วยอยู่คนเดียวคือ  ซุนต่ำ ก็ถูกสั่งให้เอาไปใส่คุกไว้ แต่ยังไม่ยอมแพ้เมื่ออยู่ในคุกก็ด่าว่าโจโฉอยู่ทุกวัน  โจโฉรู้เรื่องจากผู้คุมก็เลย สั่งให้จัดการแขวนคอเสีย จึงได้หมดเสียงไป

                    คราวนี้โจโฉก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นวุยอ๋องสมความปรารถนา  จึงได้ก่อสร้างวังขึ้นอย่างสวยงามที่เมืองเงียบกุ๋น ให้สมกับที่เป็นเจ้าต่างกรม  ต่อมาอีกสองปี ก็มีขุนนางสี่คนรวมหัวกันก่อการจลาจลขึ้นในเมืองฮูโต๋เพื่อกำจัดโจโฉ แต่ก็ถูกปราบปรามไปจนเรียบร้อย โจโฉจึงมีความสุขอยู่ในเมืองเงียบกุ๋น โดยไม่มีผู้ใดคิดร้ายอีกเลย เพราะมีศักดิ์เป็นบิดาของนางโจฮองเฮา มเหสีคนสุดท้ายของพระเจ้าเหี้ยนเต้

                        ต่อมาแฮหัวเอี๋ยน  ทหารเอกเก่าแก่ของโจโฉ  ซึ่งรักษาด่านอยู่ที่เขาเตงกุนสัน ถูกฮองตงทหารเสือผู้ชราของเล่าปี่ยกทหารมาตี และถูกฮองตงฆ่าตาย โจโฉจึงยกกองทัพใหญ่มีทหารสี่สิบหมื่นมาช่วย แต่ก็เสียท่าแก่จูล่งที่ด่านแฮบังก๋วน เมื่อถอยมาถึงทุ่งฮันซุยก็เสียทีขงเบ้งอีก ต้องมาตั้งหลักที่ด่านเองเปงก๋วนแต่ก็ถูกล้อมอยู่ พอดีโจเจียง  บุตรชายคนที่สอง ซึ่งยกทัพไปปราบขบถที่เมืองไตกุ๋นกลับมา จึงยกมาช่วยบิดา  แต่ก็ไม่สามารถจะต้านทานกองทัพฝ่ายเล่าปี่ได้ ต้องแตกไปอยู่ที่หุบเขาเสียดก๊ก

                    ขณะที่ตั้งค่ายยันกันอยู่นั้น  แฮหัวตุ้นทหารเอกตาเดียวของโจโฉ  ซึ่งเป็นพี่ชายของแฮหัวเอี๋ยน   ได้มาถามรหัสขานยามของทหาร   จากโจโฉแม่ทัพซึ่งกำลังแทะขาไก่อยู่ ด้วยความเสียดายเศษเนื้อที่ติดกระดูกอันมีรสชาด และคิดถึงการสงครามที่ติดพันกันอยู่ในเวลานั้นว่า ถ้าจะเลิกเสียก็จะได้ความอัปยศ    แต่ถ้าจะเอาชนะก็ไม่สามารถจะทำได้  จึงพลั้งปากออกไปว่าขาไก่ แฮหัวตุ้นก็ออกมาสั่งให้ทหารยามขานรหัสว่าขาไก่

                    ในกองทัพนั้นมีสมุห์บัญชีคนหนึ่งชื่อ เอียวสิ้ว เป็นคนมีสติปัญญา และวิชาการดี แต่มักเป็นคนอวดตัวอยู่เสมอ มีอยู่คราวหนึ่งโจโฉเกรงคนจะคิดร้าย จึงแกล้งสั่งคนใช้ผู้ใกล้ชิดว่า ตนเป็นคนนอนร้าย มักจะละเมอฆ่าคน  ถ้าถึงเวลานอนแล้วอย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ วันหนึ่งเวลากลางวันโจโฉทำเป็นนอนหลับ แล้วแกล้งทำผ้าห่มตกลงจากเตียง ลิ่วล้อผู้หนึ่งจึงเข้ามาหยิบผ้าห่มขึ้นห่มให้ โจโฉทำเป็นละเมอ  ลุกขึ้นชักกระบี่ฟันคนใช้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย   แล้วกลับไปนอนต่อ  สักพักหนึ่งจึงตื่นขึ้นมาทำเป็นตกใจ   ว่าใครเข้ามาทำร้ายคนใช้ของตน     เมื่อมีคนบอกความจริงโจโฉก็ร้องไห้เสียใจให้เอาศพไปฝังเสีย คนทั้งปวงไม่รู้เท่าก็เชื่อว่าโจโฉเป็นคนละเมอร้ายจริง มีแต่เอียวสิ้วคนเดียวที่พูดกับคนตายว่า  มหาอุปราชหานอนฝันร้ายไม่ เป็นกรรมของท่านจึงตาย  โจโฉรู้ข่าวก็โกรธที่มีคนรู้ทัน แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ

                    โจโฉนั้นมีบุตรชายจากภรรยารองสี่คน คือ โจเจียง โจผี โจสิด และ โจหิม คราวหนึ่งอยากจะลองปัญญาโจผีกับโจสิด จึงออกคำสั่งมิให้ผู้ใดผ่านประตูวังออกไป แล้วแกล้งใช้ให้บุตรทั้งสองออกไปนอกวัง  นายประตูก็ห้ามไม่ให้โจผีออกไป โจผีก็กลับมาแต่โดยดี  ครั้นพอโจสิดจะออกไปบ้างนายประตูห้ามไม่ให้ออก โจสิดก็ว่า  นายประตูบังอาจมาห้ามตน ซึ่งเป็นผู้ถือรับสั่งโจโฉให้ออกไป แล้วก็ฆ่านายประตูนั้นเสีย

                    โจโฉก็เข้าใจว่าโจสิดมีปัญญาดีกว่าโจผี ต่อมาจึงมีผู้มาบอกให้ทราบว่า  ที่โจสิดกระทำการได้ดังนี้ ก็เพราะเอียวสิ้วเป็นผู้สั่งสอน โจโฉก็โกรธเพิ่มขึ้น   เอียวสิ้วนั้นเป็นอาจารย์ สั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้แก่โจสิด ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊  จนสามารถรู้การสงครามเป็นอย่างดี   เมื่อโจโฉทดสอบความรู้ก็ตอบได้ทุกประการไม่ขัดสน

                    ในคืนที่โจโฉบอกให้ขานยามขาไก่นั้น ถึงตอนดึกโจโฉก็ออกตรวจดูโดยรอบค่าย เห็นทหารในกองทัพต่างก็เก็บข้าวของเตรียมเดินทาง ก็ประหลาดใจจึงให้หาตัวแฮหัวตุ้นมาสอบถามว่า ให้ทหารกระทำเช่นนั้นด้วยเหตุประการใด แฮหัวตุ้นก็บอกว่า  เอียวสิ้วมาบอกว่าจะเลิกทัพไปแล้ว โจโฉก็ให้ตามตัวเอียวสิ้วมาสอบสวนว่า เหตุใดจึงบอกแฮหัวตุ้นเช่นนั้น  เอียวสิ้วก็บอกว่าเมื่อได้ยินทหารขานยามว่าขาไก่ ก็คิดว่าคงจะมีการถอยทัพแน่ จึงบอกแฮหัวตุ้นไปตามนั้น

                    โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง ที่มีคนมาเดาใจได้ถูกต้อง  จึงว่าเอียวสิ้วมีความผิดฐานทำให้ทหารเสียน้ำใจโทษถึงตาย ให้เอาตัวไปประหารเสีย แล้วตัดศรีษะเสียบประจานไว้ที่ประตูค่าย มิให้ทหารทั้งปวงเอาเยี่ยงอย่าง

                    ต่อมาถึง พ.ศ.๗๖๓  โจโฉได้ล้มป่วยลงด้วยโรคปวดศรีษะ   รักษาอย่างไรก็ไม่ทุเลา ที่ปรึกษาก็แนะนำให้ตามหมอ ฮัวโต๋ ผู้มีชื่อเสียงซึ่งเล่าลือกันว่า เป็นหมอวิเศษรักษาคนหายเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มามากมาย   เมื่อหมอฮัวโต๋ดูอาการแล้วก็ว่า  จะรักษาโรคอันนี้ด้วยยากินแลยาทาหาหายไม่ ชอบให้ผ่าจึงจะหาย  โจโฉถามว่าจะผ่าอย่างไร หมอวิเศษก็บอกว่าจะเอายากินให้มึนเมาไปไม่รู้สึกตัว แล้วจึงจะผ่าด้วยขวานอันคม และชำระโรคในศรีษะให้หมด แล้วจึงประกับให้เหมือนเก่าและทายาจนแผลหายโรคนี้จึงจะหายขาด

                    โจโฉก็โกรธว่าจะแกล้งฆ่ากันหรือจึงว่าเช่นนี้  หมอฮัวโต๋ก็บอกว่า  เมื่อครั้งกวนอูถูกเกาทัณฑ์ที่แขนก็ได้ไปรักษา ด้วยการผ่าเอาลูกเกาทัณฑ์ออก แล้วขูดยาพิษที่ติดกระดูกนั้นออกเสีย กวนอูก็หากลัวไม่  โจโฉก็ว่าอันเจ็บที่แขนนั้นจะผ่าก็ควร  แต่เจ็บที่ศรีษะนี้จะควรผ่าแล้วหรือ สงสัยว่าจะคบคิดกับข้าศึก ทำกลมารยาจะแกล้งฆ่าตนให้ตาย  จึงให้เอาหมอฮัวโต๋ไปใส่คุกไว้ จนกระทั่งถึงแก่ความตายในคุกนั้นเอง

                    และในที่สุดเมื่อไม่มีทางรักษา  โจโฉก็สิ้นชีวิตในเวลาต่อมาอีกไม่นาน   โจผีได้เป็นวุยอ๋องแทนบิดาแล้ว ก็เรียกตัวพี่น้องมาช่วยทำศพ โจเจียงน้องคนที่สองก็พาทหารหลายหมื่นคนมาสวามิภักดิ์  แต่โจสิดกับโจหิมหาได้มาไม่  โจผีให้ยกกองทหารไปจับตัวน้องทั้งสอง  โจหิมกลัวอำนาจพี่ชายก็ผูกคอตายเสีย   ฝ่ายโจสิดถูกจับตัวมาได้ โจผีก็สั่งให้เอาไปประหาร  แต่มารดาได้อ้อนวอนขอร้องไว้ โจผีจึงให้โจสิดแต่งโคลงขึ้นบทหนึ่ง  ในชั่วระยะเวลาเดินไปแค่เจ็ดก้าว ให้เป็น เรื่องราวระหว่างพี่น้อง แต่ไม่ให้เอ่ยชื่อพี่น้องแม้แต่คำเดียว โจสิดก็สามารถแต่งโคลงได้ตามคำสั่ง ซึ่งพอจะถอดความได้ว่า

                         เมล็ดถั่วถูกคั่วกะทะใหญ่         กลางเปลวไฟไหม้เชื้อร้อนเหลือหลาย                                                                     

                         ทั้งกิ่งก้านรากเถาเผาวอดวาย     โอ้น่าอายแท้จริงเราเหง้าเดียวกัน

                    โจผีได้ฟังก็ซาบซึ้งในความรักระหว่างพี่น้องท้องเดียวกัน ถึงกับร้องไห้หลั่งน้ำตาและยอมยกโทษให้  แต่ก็เนรเทศโจสิดออกไปอยู่หัวเมืองไกลลิบ  ไม่ต้องเข้ามาให้เห็นหน้าอีก จนตายจากกันไป

                    ดังนั้นก็พอจะเป็นอุทาหรณ์ได้ว่า อันผู้ที่มีความรู้มากมายนั้น ถ้าใช้ความรู้ไม่ถูกต้อง ใช้ความรู้ไม่ถูกเวลา และใช้ความรู้ไม่ถูกกับบุคคล  ก็อาจเป็นผลร้าย ให้ทุกข์โทษภัยแก่ตนเอง ดังที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้แล.

                                                            ##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่