สามก๊กฉบับลายคราม
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๖ พ่อตาฮ่องเต้
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้สูญเสีย นางตังกุยหุยสนมเอก นางฮกเฮามเหสี และราชบุตรอีกสององค์ ด้วยน้ำมือของโจโฉไปแล้ว ก็ทรงเศร้าโศกถึงคนเหล่านั้นเป็นอันมาก มิเป็นอันได้เสวยและบรรทมเช่นปกติ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุประมาณยี่สิบแปดปี โจโฉก็บังเกิดความสงสาร จึงเข้าไปเฝ้าและกราบทูลว่า
“ พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกได้ทูลไว้ว่า จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ทำผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเป็นสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาดทั้งน้ำใจก็ดีซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์ “
ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นขัดมิได้ก็รับคำโจโฉ พอถึงเดือนสามเทศกาลตรุษจีน โจโฉก็จัดแจงแต่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั้งบุตรนั้นให้เป็นที่พระมเหสีชื่อ โจฮองเฮา โจโฉก็เลยมีศักดิ์เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดจะเทียบเท่า
อยู่มาโจโฉก็ปรึกษาหารือกับขุนนาง และโจหยินกับแฮหัวตุ้น จะไปตีเมืองฮันต๋งเส้นทางที่จะไปเมืองเสฉวน ซึ่งมี เตียวฬ่อ เป็นเจ้าเมือง ทั้งสองฝ่ายได้สัปยุทธกันเป็นสามารถ โจโฉก็ทำอุบายได้ตัว บังเต๊ก ทหารเอกของเตียวฬ่อมาเป็นทหารเอกของตน และเข้ายึดครองเมืองฮันต๋งได้ จึงส่งเตียวฬ่อไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง กองทัพของโจโฉจึงมาจ่ออยู่ชายแดนเมืองเสฉวนของเล่าปี่
โจโฉจึงปรึกษากับสุมาอี้ซึ่งได้เป็นที่ปรึกษามาหลายปีแล้ว จะยกกองทัพไปตีเมือง เสฉวน ปราบเล่าปี่ให้เด็ดขาดเสียที แต่ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเห็นว่าโจโฉมาอยู่ที่เมืองฮันต๋ง จึงยกกองทัพไป ตีเมืองอ้วนเซีย แตก เตียวเลี้ยวทหารเอกของโจโฉอยู่ที่เมืองหับป๋า ก็ยกทหารไปช่วยแต่ไม่ทัน แต่ก็ตีกองทัพของซุนกวนถอยไปอยู่ที่ปากน้ำยี่สูแดนเมืองกังตั๋ง
เมื่อโจโฉรู้ข่าวก็ยกกองทัพไปเพิ่มกำลังอีกสี่สิบหมื่น แต่ซุนกวนก็พาทหารเอกเข้าสู้รบกับฝ่ายโจโฉหลายยก ทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นศึกใหญ่อยู่ประมาณเดือนเศษ ฝ่ายซุนกวนเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะได้ แต่จะถอยก็กลัวโจโฉตามตีถึงเมืองกังตั๋ง จึงทำหนังสือขอหย่าศึกอีกครั้ง และคราวนี้ขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และจะส่งเครื่องบรรณาการไปคำนับปีละครั้ง โจโฉก็ตกลงด้วย
พอโจโฉกลับมาคราวนี้ ขุนนางสอพลอทั้งหลายก็ประชุมกันจะขอเลื่อนโจโฉเป็นเจ้าต่างกรมอีก ซุนต่ำก็ไม่เห็นด้วย พวกสอพลอก็ว่า เมื่อซุนฮกกับซุนฮิวขัดขวางไม่ให้โจโฉเลื่อนยศครั้งก่อนก็ตายทั้งสองคน ซุนต่ำก็โกรธประชดว่าเป็นทีของท่านทั้งปวงแล้ว จะทำประการใดก็ทำเอาตามใจชอบเถิด ลูกน้องก็เอาไปฟ้องโจโฉ จึงถูกสั่งให้จำคุกไว้ แต่ซุนต่ำก็เฝ้าแต่ก่นด่าโจโฉอยู่ทุกวัน ผู้คุมก็ไปฟ้องโจโฉอีก โจโฉก็โกรธจึงให้ผู้คุมเอาไปแขวนคอเสียให้หมดห่วงไปอีกคนหนึ่ง
ต่อมาอีกไม่นานเหล่าขุนนางทั้งหลายก็กราบทูลฮ่องเต้ให้แต่งตั้งโจโฉเป็นวุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้าต่างกรม ได้ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว และมีเครื่องแต่งตัวกับกระบวนแห่เหมือนฮ่องเต้ทุกประการ โจโฉก็ไปสร้างวังอยู่ที่เมืองเงียบกุ๋น พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศเป็นพระเจ้าโจโฉรองจากพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น
โจโฉมีบุตรชายห้าคน คนโตเป็นบุตรของภรรยาแรกชื่อโจงั่ง ตายเสียเมื่อไปตีเมืองอ้วนเซีย อีกสี่คนเป็นบุตรของภรรยารองคนโตชื่อโจผี รองลงไปคือ โจเจียง โจสิด และโจหิม โจโฉรู้นิสัยบุตรดีว่า โจผีเป็นคนฉลาดลึกซึ้งเคยได้ตามไปในกองทัพเสมอ โจเจียงนั้นรักการทหาร โจสิดเป็นกวี และโจหิมเป็นคนโง่ จึงปรึกษากับขุนนางและที่ปรึกษาทั้งหลายว่า ควรจะตั้งใครเป็นทายาท
ที่ปรึกษาก็ให้ความเห็นว่า ดูอย่างอ้วนเสี้ยว กับเล่าเปียวเถิด ตั้งให้น้องเป็นใหญ่กว่าพี่ ก็เกิดแก่งแย่งชิงดีกันจนเสียบ้านเมืองไปหมด โจโฉก็เห็นด้วยจึงตั้งให้โจผี เป็นเจ้าชีจู๊ หรือทายาทของ ตน ที่จะสืบตระกูลต่อไป.
ครั้นถึงเดือนสิบสองโจโฉหรือพระเจ้าวุยอ๋อง สร้างปราสาทราชวังที่เมืองเงียบกุ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกขบวนพยุหยาตราขุนนางทหารและบริวารข้างหน้าข้างใน ย้ายไปอยู่ที่วังใหม่แล้วมีหนังสือไปทุกหัวเมืองให้จัดต้นไม้มีดอกและมีผลมาปลูกไว้ที่วังในเมืองเงียบกุ๋นมากมาย และมีหนังสือไปถึงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ให้จัดหาผลส้มในเมืองกังตั๋งมาถวาย
เมื่อขุนนางเมืองกังตั๋งนำลูกหาบนำผลส้มห้าสิบหาบมาถวาย พระเจ้าโจโฉก็มีความยินดีเห็นว่าซุนกวนนั้นอ่อนน้อมโดยสุจริต จึงเอาส้มนั้นมาฉีกดูก็มิได้มีเนื้อเห็นแต่เปลือกเปล่า จึงถามพวกลูกหาบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ลูกหาบก็เล่าให้ฟังว่า ขณะเดินทางมาหยุดพักที่กลางทางก็มีอาจารย์ผู้หนึ่งมาช่วยหาบส้มทั้งห้าสิบหาบ เป็นระยะทางผลัดละห้าสิบเส้น แล้วสั่งให้มาคำนับท่านอ๋องว่าเป็นเพื่อนบ้านเก่าชื่อโจจู๋
โจโฉกำลังสงสัยอยู่ว่ารู้จักกันมาแต่ครั้งไหน ก็พอดีนายประตูก็พาโจจู๋เข้ามาเฝ้า โจโฉก็ถามว่าทำไมส้มมีแต่เปลือก โจจู่ก็หยิบส้มมาแกะอกให้ดูก็มีเนื้อเป็นปกติทุกผล โจโฉก็นับถือว่าเป็นผู้วิเศษ โจจู๋ก็สำแดงวิชาต่าง ๆ อย่างกับเล่นมายากล แต่สุดท้ายก็ว่าให้โจโฉมอบราชการบ้านเมืองให้เล่าปี่เสีย
โจโฉก็โกรธว่าโจจู๋เป็นไส้ศึกของเล่าปี่ จึงให้ทหารจับตัวไว้ แต่โจจู๋ก็ยอมให้จับโดยดี แม้จะจำขื่อคาหรือลงอาญาประการใด โจจู๋ก็ไม่เป็นอันตราย เมื่ออาละวาดจนโจโฉโกรธถึงที่สุดแล้วก็ออกจากเมืองไป โจแจึงให้เคาทูคุมทหารไปจับตัวมาฆ่าเสียแต่ก็ไม่ได้ตัว ก็ให้เขียนรูปโจจู๋ซึ่งตาบอดข้างขวาและเท้าพิการสั้นอยู่ข้างหนึ่ง ประกาศจับไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ บรรดาหัวเมืองเห็นคนหน้าเหมือนในรูปก็จับตัวส่งมาให้รวมแล้วถึงสามร้อยคนเศษ
โจโฉก็ให้เอาคนทั้งสามร้อยนั้นมามัดเข้า เอาโลหิตสุกรและสัตว์ทั้งหลายมาสาดรดคนโทษเหล่านั้น หวังจะให้มนต์เสื่อม แล้วให้ทหารตัดศรีษะเสียทั้งสิ้น คนทั้งหมดก็นั่งอยู่โดยไม่มีศรีษะ โลหิตกระเซ็นขึ้นไปบนอากาศก็กลายเป็นคนขี่นกกะเรียนบินร่อนอยู่ โจโฉก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมบิงขึ้นไป ก็บังเกิดมีลมพายุใหญ่พัดมา หอบเอาผงคลีฟุ้งตระหลบจนมืดมัว คนซึ่งถูกตัดศรีษะนั้นก็ลุกขึ้นเดินหิ้วศรีษะวิ่งเข้ามารุมตีจนโจโฉล้มลง แล้วพายุก็สงบลงแล้วโจจู๋ทั้งหลายก็หายไปหมด
ตั้งแต่วันนั้นโจโฉก็ป่วยหนัก โหรที่อยู่เมืองฮูโต๋ก็มาเยี่ยม แล้วแนะนำให้เชิญ กวนลอ ซินแสจากเมืองเพงงวนก๋วน มาดูโชคชะตาราศี กวนอูก็บอกโจโฉว่าที่ป่วยคราวนี้เป็นเพราะคนมีความรู้ทำเล่ห์กระเท่ห์ต่าง ๆ แต่ไม่ต้องวิตกเพราะไม่เป็นอะไรมาก โจโฉก็ยินดีและที่ป่วยก็คลาย จึงให้ดูต่อไปว่าชะตาของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป กวนลอก็ทำนายได้น่าเชื่อถือ โจโฉจึงจะตั้งให้เป็นโหรประจำตัว แต่กวนลอไม่รับ ครั้นจะให้ดูว่าตนจะมีวาสนาสูงกว่านี้หรือไม่ กวนลอก็ว่า ขณะนี้มีบุญเสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว จะให้ดูต่อไปเห็นจะสิ้นตำรา
พอดีมีข่าวจากเมืองฮันต๋งว่า เล่าปี่ให้เตียวหุยกับม้าเฉียวมาตั้งที่เมืองปาเส เตรียมเข้าตีเมืองฮันต๋ง โจโฉก็จะจัดทหารยกไปช่วย แต่กวนลอห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งยกไป เพราะถึงปีใหม่จะเกิดเพลิงไหม้ในเมืองฮูโต๋ใหญ่หลวงนัก โจโฉก็เชื่อ จึงให้ทหารเอกสองคนยกทหารไปรักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้ได้ และ อองปิด บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ให้เข้มแข็ง และให้แฮหัวตุ้นคุมทหารสามหมื่น เป็นกองเตรียมพร้อมคอยช่วยเหลือถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองฮูโต๋จริง.
ถึงวันปีใหม่ขึ้นสิบห้าค่ำในเมืองฮูโต๋ก็มีการฉลอง ตอนกลางคืนมีการจุดโคมรุ่งเรืองทุกตำบล บ้างเล่นกระจับปี่สีซอ มีการมหรสพแน่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่พอเวลาสองยามก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายตำบล แล้วก็ไหม้ลุกลามไปทั่วเมือง มองเห็นแสงเพลิงจับขอบฟ้า
รุ่งขึ้นแฮหัวตุ้นซึ่งคุมทหารอยู่นอกกำแพงเมืองฮูโต๋คอยระวังภัย ก็มีหนังสือแจ้งเรื่องราวแก่โจโฉ มีความว่าตนเห็นมีเพลิงไหม้ขึ้นในกำแพงเมืองฮูโต๋ จึงคุมทหารกองหนึ่งเข้าดับไฟ อีกกองหนึ่งให้ระวังเหตุอื่น ขณะนั้นก็มีขุนนางหลายคนคุมสมัครพรรคพวก ออกมาประกาศว่าจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน ผู้ใดจะเข้าด้วยเร่งมาทำการด้วยกัน ขุนนางที่มิใช่พวกโจโฉก็ออกมาเข้าด้วยเป็นอันมาก
อองปิดซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองก็ออกจากจวนที่พัก ขึ้นม้าออกไประงับเหตุก็เจอ เกงจี พาพวกเข้ามาขัดขวางจึงต่อสู้กันหลายเพลง จนอองปิดบาดเจ็บสาหัส เพลิงก็ลุกลามใกล้พระราชวังเข้าไป พี่น้องพรรคพวกของโจโฉก็คุมกันเข้ามาช่วยดับเพลิงและรักษาพระราชวังไว้ได้ จนทหารของ แฮหัวตุ้นเข้ามาช่วย ฆ่าฟันพวกก่อความไม่สงบล้มตายลง และพ่ายแพ้ในที่สุด
แฮหัวตุ้นจับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายได้สองคนคือ อุยเหลงกับเกงจี เมื่อสอบสวนแล้วได้ความว่า มีพรรคพวกอีกสามคน คือกิมหัน และเกียดเมา กับเกียดบก ซึ่งถูกฆ่าตายในระหว่างต่อสู้กัน บัดนี้ได้จับตัวครอบครัวญาติพี่น้อง และสมัครพรรคพวกของพวกขบถได้ทั้งหมด และเพลิงนั้นก็สงบลงแล้ว
โจโฉจึงมีบัญชาให้แฮหัวตุ้น จัดการเอาหัวหน้าสองคนที่จับได้ กับพรรคพวกทั้งหมดไปประหารชีวิตเสียให้สิ้น แล้วคุมตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่อยู่ในเมืองฮูโต๋ มาที่เมืองเงียบกุ๋นตนจะตัดสินเอง
เมื่อแฮหัวตุ้นคุมตัวขุนนางทั้งหมด มาถึงที่ท้องสนามเมืองเงียบกุ๋น โจโฉก็ให้ทหารปีกธงขาวไว้ด้านหนึ่ง ธงแดงไว้อีกด้านหนึ่ง ไกลกันประมาณสิบเส้น แล้วประกาศว่า เมื่อพวกขบถทั้งห้าคนเผาเมืองฮูโต๋นั้น ขุนนางผู้ใดออกไปช่วยดับเพลิง ให้ไปอยู่ข้างธงแดง ผู้ที่ไม่ได้ออกมาช่วยดับเพลิงให้ไปอยู่ทางด้านธงขาว
ขุนนางก็ออกไปอยู่ทางด้านธงแดงประมาณสามร้อยคน ที่เหลือไปอยู่ด้านธงขาว โจโฉก็ว่า บรรดาผู้ที่ออกไปช่วยดับเพลิงนั้นมิได้ไปโดยสุจริตไปเพราะจะเข้าด้วยพวกขบถ หวังจะบรรจบกันมาทำร้ายตน จึงให้เอาขุนนางฝ่ายธงแดงไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้นที่ริมแม่น้ำเจียงโห ส่วนพวกที่อยู่ธงขาวนั้นมีใจซื่อสัตย์ต่อตน ก็ให้กลับไปเป็นขุนนางในเมืองฮูโต๋ตามตำแหน่งเดิม และให้บำเหน็จตามสมควร ส่วนตำแหน่งที่ว่างนั้นก็แต่งตั้งทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยขึ้นเป็นแทน
ส่วนอองปิดผู้รักษาพระนครนั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตาย ก็ให้จัดการศพอย่างสมเกียรติ และตั้งให้โจฮิวเป็นผู้บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ต่อไป
โจโฉก็จัดเงินทองสิ่งของไปให้กวนลอเป็นบำเหน็จ ในการที่ทำนายเหตุการณ์ราวกับตาเห็น แต่กวนลอก็ว่า
“ ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถ้ำในเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด “
แล้วก็ลาโจโฉกลับไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วนตามเดิม.
##########
มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ๋ (๖) ๓ ก.พ.๖๑
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๖ พ่อตาฮ่องเต้
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้สูญเสีย นางตังกุยหุยสนมเอก นางฮกเฮามเหสี และราชบุตรอีกสององค์ ด้วยน้ำมือของโจโฉไปแล้ว ก็ทรงเศร้าโศกถึงคนเหล่านั้นเป็นอันมาก มิเป็นอันได้เสวยและบรรทมเช่นปกติ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุประมาณยี่สิบแปดปี โจโฉก็บังเกิดความสงสาร จึงเข้าไปเฝ้าและกราบทูลว่า
“ พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกได้ทูลไว้ว่า จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ทำผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเป็นสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาดทั้งน้ำใจก็ดีซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์ “
ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นขัดมิได้ก็รับคำโจโฉ พอถึงเดือนสามเทศกาลตรุษจีน โจโฉก็จัดแจงแต่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั้งบุตรนั้นให้เป็นที่พระมเหสีชื่อ โจฮองเฮา โจโฉก็เลยมีศักดิ์เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดจะเทียบเท่า
อยู่มาโจโฉก็ปรึกษาหารือกับขุนนาง และโจหยินกับแฮหัวตุ้น จะไปตีเมืองฮันต๋งเส้นทางที่จะไปเมืองเสฉวน ซึ่งมี เตียวฬ่อ เป็นเจ้าเมือง ทั้งสองฝ่ายได้สัปยุทธกันเป็นสามารถ โจโฉก็ทำอุบายได้ตัว บังเต๊ก ทหารเอกของเตียวฬ่อมาเป็นทหารเอกของตน และเข้ายึดครองเมืองฮันต๋งได้ จึงส่งเตียวฬ่อไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง กองทัพของโจโฉจึงมาจ่ออยู่ชายแดนเมืองเสฉวนของเล่าปี่
โจโฉจึงปรึกษากับสุมาอี้ซึ่งได้เป็นที่ปรึกษามาหลายปีแล้ว จะยกกองทัพไปตีเมือง เสฉวน ปราบเล่าปี่ให้เด็ดขาดเสียที แต่ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเห็นว่าโจโฉมาอยู่ที่เมืองฮันต๋ง จึงยกกองทัพไป ตีเมืองอ้วนเซีย แตก เตียวเลี้ยวทหารเอกของโจโฉอยู่ที่เมืองหับป๋า ก็ยกทหารไปช่วยแต่ไม่ทัน แต่ก็ตีกองทัพของซุนกวนถอยไปอยู่ที่ปากน้ำยี่สูแดนเมืองกังตั๋ง
เมื่อโจโฉรู้ข่าวก็ยกกองทัพไปเพิ่มกำลังอีกสี่สิบหมื่น แต่ซุนกวนก็พาทหารเอกเข้าสู้รบกับฝ่ายโจโฉหลายยก ทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นศึกใหญ่อยู่ประมาณเดือนเศษ ฝ่ายซุนกวนเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะได้ แต่จะถอยก็กลัวโจโฉตามตีถึงเมืองกังตั๋ง จึงทำหนังสือขอหย่าศึกอีกครั้ง และคราวนี้ขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และจะส่งเครื่องบรรณาการไปคำนับปีละครั้ง โจโฉก็ตกลงด้วย
พอโจโฉกลับมาคราวนี้ ขุนนางสอพลอทั้งหลายก็ประชุมกันจะขอเลื่อนโจโฉเป็นเจ้าต่างกรมอีก ซุนต่ำก็ไม่เห็นด้วย พวกสอพลอก็ว่า เมื่อซุนฮกกับซุนฮิวขัดขวางไม่ให้โจโฉเลื่อนยศครั้งก่อนก็ตายทั้งสองคน ซุนต่ำก็โกรธประชดว่าเป็นทีของท่านทั้งปวงแล้ว จะทำประการใดก็ทำเอาตามใจชอบเถิด ลูกน้องก็เอาไปฟ้องโจโฉ จึงถูกสั่งให้จำคุกไว้ แต่ซุนต่ำก็เฝ้าแต่ก่นด่าโจโฉอยู่ทุกวัน ผู้คุมก็ไปฟ้องโจโฉอีก โจโฉก็โกรธจึงให้ผู้คุมเอาไปแขวนคอเสียให้หมดห่วงไปอีกคนหนึ่ง
ต่อมาอีกไม่นานเหล่าขุนนางทั้งหลายก็กราบทูลฮ่องเต้ให้แต่งตั้งโจโฉเป็นวุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้าต่างกรม ได้ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว และมีเครื่องแต่งตัวกับกระบวนแห่เหมือนฮ่องเต้ทุกประการ โจโฉก็ไปสร้างวังอยู่ที่เมืองเงียบกุ๋น พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศเป็นพระเจ้าโจโฉรองจากพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น
โจโฉมีบุตรชายห้าคน คนโตเป็นบุตรของภรรยาแรกชื่อโจงั่ง ตายเสียเมื่อไปตีเมืองอ้วนเซีย อีกสี่คนเป็นบุตรของภรรยารองคนโตชื่อโจผี รองลงไปคือ โจเจียง โจสิด และโจหิม โจโฉรู้นิสัยบุตรดีว่า โจผีเป็นคนฉลาดลึกซึ้งเคยได้ตามไปในกองทัพเสมอ โจเจียงนั้นรักการทหาร โจสิดเป็นกวี และโจหิมเป็นคนโง่ จึงปรึกษากับขุนนางและที่ปรึกษาทั้งหลายว่า ควรจะตั้งใครเป็นทายาท
ที่ปรึกษาก็ให้ความเห็นว่า ดูอย่างอ้วนเสี้ยว กับเล่าเปียวเถิด ตั้งให้น้องเป็นใหญ่กว่าพี่ ก็เกิดแก่งแย่งชิงดีกันจนเสียบ้านเมืองไปหมด โจโฉก็เห็นด้วยจึงตั้งให้โจผี เป็นเจ้าชีจู๊ หรือทายาทของ ตน ที่จะสืบตระกูลต่อไป.
ครั้นถึงเดือนสิบสองโจโฉหรือพระเจ้าวุยอ๋อง สร้างปราสาทราชวังที่เมืองเงียบกุ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกขบวนพยุหยาตราขุนนางทหารและบริวารข้างหน้าข้างใน ย้ายไปอยู่ที่วังใหม่แล้วมีหนังสือไปทุกหัวเมืองให้จัดต้นไม้มีดอกและมีผลมาปลูกไว้ที่วังในเมืองเงียบกุ๋นมากมาย และมีหนังสือไปถึงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ให้จัดหาผลส้มในเมืองกังตั๋งมาถวาย
เมื่อขุนนางเมืองกังตั๋งนำลูกหาบนำผลส้มห้าสิบหาบมาถวาย พระเจ้าโจโฉก็มีความยินดีเห็นว่าซุนกวนนั้นอ่อนน้อมโดยสุจริต จึงเอาส้มนั้นมาฉีกดูก็มิได้มีเนื้อเห็นแต่เปลือกเปล่า จึงถามพวกลูกหาบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ลูกหาบก็เล่าให้ฟังว่า ขณะเดินทางมาหยุดพักที่กลางทางก็มีอาจารย์ผู้หนึ่งมาช่วยหาบส้มทั้งห้าสิบหาบ เป็นระยะทางผลัดละห้าสิบเส้น แล้วสั่งให้มาคำนับท่านอ๋องว่าเป็นเพื่อนบ้านเก่าชื่อโจจู๋
โจโฉกำลังสงสัยอยู่ว่ารู้จักกันมาแต่ครั้งไหน ก็พอดีนายประตูก็พาโจจู๋เข้ามาเฝ้า โจโฉก็ถามว่าทำไมส้มมีแต่เปลือก โจจู่ก็หยิบส้มมาแกะอกให้ดูก็มีเนื้อเป็นปกติทุกผล โจโฉก็นับถือว่าเป็นผู้วิเศษ โจจู๋ก็สำแดงวิชาต่าง ๆ อย่างกับเล่นมายากล แต่สุดท้ายก็ว่าให้โจโฉมอบราชการบ้านเมืองให้เล่าปี่เสีย
โจโฉก็โกรธว่าโจจู๋เป็นไส้ศึกของเล่าปี่ จึงให้ทหารจับตัวไว้ แต่โจจู๋ก็ยอมให้จับโดยดี แม้จะจำขื่อคาหรือลงอาญาประการใด โจจู๋ก็ไม่เป็นอันตราย เมื่ออาละวาดจนโจโฉโกรธถึงที่สุดแล้วก็ออกจากเมืองไป โจแจึงให้เคาทูคุมทหารไปจับตัวมาฆ่าเสียแต่ก็ไม่ได้ตัว ก็ให้เขียนรูปโจจู๋ซึ่งตาบอดข้างขวาและเท้าพิการสั้นอยู่ข้างหนึ่ง ประกาศจับไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ บรรดาหัวเมืองเห็นคนหน้าเหมือนในรูปก็จับตัวส่งมาให้รวมแล้วถึงสามร้อยคนเศษ
โจโฉก็ให้เอาคนทั้งสามร้อยนั้นมามัดเข้า เอาโลหิตสุกรและสัตว์ทั้งหลายมาสาดรดคนโทษเหล่านั้น หวังจะให้มนต์เสื่อม แล้วให้ทหารตัดศรีษะเสียทั้งสิ้น คนทั้งหมดก็นั่งอยู่โดยไม่มีศรีษะ โลหิตกระเซ็นขึ้นไปบนอากาศก็กลายเป็นคนขี่นกกะเรียนบินร่อนอยู่ โจโฉก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมบิงขึ้นไป ก็บังเกิดมีลมพายุใหญ่พัดมา หอบเอาผงคลีฟุ้งตระหลบจนมืดมัว คนซึ่งถูกตัดศรีษะนั้นก็ลุกขึ้นเดินหิ้วศรีษะวิ่งเข้ามารุมตีจนโจโฉล้มลง แล้วพายุก็สงบลงแล้วโจจู๋ทั้งหลายก็หายไปหมด
ตั้งแต่วันนั้นโจโฉก็ป่วยหนัก โหรที่อยู่เมืองฮูโต๋ก็มาเยี่ยม แล้วแนะนำให้เชิญ กวนลอ ซินแสจากเมืองเพงงวนก๋วน มาดูโชคชะตาราศี กวนอูก็บอกโจโฉว่าที่ป่วยคราวนี้เป็นเพราะคนมีความรู้ทำเล่ห์กระเท่ห์ต่าง ๆ แต่ไม่ต้องวิตกเพราะไม่เป็นอะไรมาก โจโฉก็ยินดีและที่ป่วยก็คลาย จึงให้ดูต่อไปว่าชะตาของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป กวนลอก็ทำนายได้น่าเชื่อถือ โจโฉจึงจะตั้งให้เป็นโหรประจำตัว แต่กวนลอไม่รับ ครั้นจะให้ดูว่าตนจะมีวาสนาสูงกว่านี้หรือไม่ กวนลอก็ว่า ขณะนี้มีบุญเสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว จะให้ดูต่อไปเห็นจะสิ้นตำรา
พอดีมีข่าวจากเมืองฮันต๋งว่า เล่าปี่ให้เตียวหุยกับม้าเฉียวมาตั้งที่เมืองปาเส เตรียมเข้าตีเมืองฮันต๋ง โจโฉก็จะจัดทหารยกไปช่วย แต่กวนลอห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งยกไป เพราะถึงปีใหม่จะเกิดเพลิงไหม้ในเมืองฮูโต๋ใหญ่หลวงนัก โจโฉก็เชื่อ จึงให้ทหารเอกสองคนยกทหารไปรักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้ได้ และ อองปิด บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ให้เข้มแข็ง และให้แฮหัวตุ้นคุมทหารสามหมื่น เป็นกองเตรียมพร้อมคอยช่วยเหลือถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองฮูโต๋จริง.
ถึงวันปีใหม่ขึ้นสิบห้าค่ำในเมืองฮูโต๋ก็มีการฉลอง ตอนกลางคืนมีการจุดโคมรุ่งเรืองทุกตำบล บ้างเล่นกระจับปี่สีซอ มีการมหรสพแน่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่พอเวลาสองยามก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายตำบล แล้วก็ไหม้ลุกลามไปทั่วเมือง มองเห็นแสงเพลิงจับขอบฟ้า
รุ่งขึ้นแฮหัวตุ้นซึ่งคุมทหารอยู่นอกกำแพงเมืองฮูโต๋คอยระวังภัย ก็มีหนังสือแจ้งเรื่องราวแก่โจโฉ มีความว่าตนเห็นมีเพลิงไหม้ขึ้นในกำแพงเมืองฮูโต๋ จึงคุมทหารกองหนึ่งเข้าดับไฟ อีกกองหนึ่งให้ระวังเหตุอื่น ขณะนั้นก็มีขุนนางหลายคนคุมสมัครพรรคพวก ออกมาประกาศว่าจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน ผู้ใดจะเข้าด้วยเร่งมาทำการด้วยกัน ขุนนางที่มิใช่พวกโจโฉก็ออกมาเข้าด้วยเป็นอันมาก
อองปิดซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองก็ออกจากจวนที่พัก ขึ้นม้าออกไประงับเหตุก็เจอ เกงจี พาพวกเข้ามาขัดขวางจึงต่อสู้กันหลายเพลง จนอองปิดบาดเจ็บสาหัส เพลิงก็ลุกลามใกล้พระราชวังเข้าไป พี่น้องพรรคพวกของโจโฉก็คุมกันเข้ามาช่วยดับเพลิงและรักษาพระราชวังไว้ได้ จนทหารของ แฮหัวตุ้นเข้ามาช่วย ฆ่าฟันพวกก่อความไม่สงบล้มตายลง และพ่ายแพ้ในที่สุด
แฮหัวตุ้นจับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายได้สองคนคือ อุยเหลงกับเกงจี เมื่อสอบสวนแล้วได้ความว่า มีพรรคพวกอีกสามคน คือกิมหัน และเกียดเมา กับเกียดบก ซึ่งถูกฆ่าตายในระหว่างต่อสู้กัน บัดนี้ได้จับตัวครอบครัวญาติพี่น้อง และสมัครพรรคพวกของพวกขบถได้ทั้งหมด และเพลิงนั้นก็สงบลงแล้ว
โจโฉจึงมีบัญชาให้แฮหัวตุ้น จัดการเอาหัวหน้าสองคนที่จับได้ กับพรรคพวกทั้งหมดไปประหารชีวิตเสียให้สิ้น แล้วคุมตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่อยู่ในเมืองฮูโต๋ มาที่เมืองเงียบกุ๋นตนจะตัดสินเอง
เมื่อแฮหัวตุ้นคุมตัวขุนนางทั้งหมด มาถึงที่ท้องสนามเมืองเงียบกุ๋น โจโฉก็ให้ทหารปีกธงขาวไว้ด้านหนึ่ง ธงแดงไว้อีกด้านหนึ่ง ไกลกันประมาณสิบเส้น แล้วประกาศว่า เมื่อพวกขบถทั้งห้าคนเผาเมืองฮูโต๋นั้น ขุนนางผู้ใดออกไปช่วยดับเพลิง ให้ไปอยู่ข้างธงแดง ผู้ที่ไม่ได้ออกมาช่วยดับเพลิงให้ไปอยู่ทางด้านธงขาว
ขุนนางก็ออกไปอยู่ทางด้านธงแดงประมาณสามร้อยคน ที่เหลือไปอยู่ด้านธงขาว โจโฉก็ว่า บรรดาผู้ที่ออกไปช่วยดับเพลิงนั้นมิได้ไปโดยสุจริตไปเพราะจะเข้าด้วยพวกขบถ หวังจะบรรจบกันมาทำร้ายตน จึงให้เอาขุนนางฝ่ายธงแดงไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้นที่ริมแม่น้ำเจียงโห ส่วนพวกที่อยู่ธงขาวนั้นมีใจซื่อสัตย์ต่อตน ก็ให้กลับไปเป็นขุนนางในเมืองฮูโต๋ตามตำแหน่งเดิม และให้บำเหน็จตามสมควร ส่วนตำแหน่งที่ว่างนั้นก็แต่งตั้งทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยขึ้นเป็นแทน
ส่วนอองปิดผู้รักษาพระนครนั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตาย ก็ให้จัดการศพอย่างสมเกียรติ และตั้งให้โจฮิวเป็นผู้บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ต่อไป
โจโฉก็จัดเงินทองสิ่งของไปให้กวนลอเป็นบำเหน็จ ในการที่ทำนายเหตุการณ์ราวกับตาเห็น แต่กวนลอก็ว่า
“ ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถ้ำในเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด “
แล้วก็ลาโจโฉกลับไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วนตามเดิม.
##########