The Motorcycle Diaries - การเดินทางทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น (Spoil)

สืบเนื่องมาจากวันก่อนผมได้อ่านกระทู้ในพันทิปเกี่ยวกับเรื่องราวของ Che Guevara ซึ่งเป็นคนที่เราคุ้นเคยกับชื่อเค้ามากๆ และคุ้นเคยกับภาพถ่ายผมเผ้ายาวรุงรัง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราและสวมหมวกรูปดาว เราเห็นภาพนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่เราไม่เคยรู้ว่าแท้จริงแล้ว ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพนี้ มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งเมื่อเราได้อ่านเรื่องของเค้าแล้ว เราจึงอยากกลับไปทำความรู้จักกับเค้าให้มากขึ้น

เราเคยดูหนังเรื่อง The Motorcycle Diaries ไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่หนังเข้าฉายในโรง แต่ตอนนั้น เราดูแล้วไม่อิน และไม่เข้าใจในสิ่งที่หนังกำลังจะเล่า นอกจากนั้น ยังไม่รู้สึกสนุกในตอนดูอีกด้วย แต่เราก็ไม่เคยลืมหนังเรื่องนี้นะ แล้วจังหวะเวลามันก็มาถึง เมื่อเรากลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง และเรากลับกลายเป็นชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ครั้งแรกที่ดู เราไม่เห็น เราไม่รู้สึกหลายๆอย่างเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในรอบนี้

ถึงตอนนี้ นี่คือหนัง Road Movie ที่เราชอบมากๆ ถึงขึ้นจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับเรื่อง Sideways และ About Schmidt เลยทีเดียว โดยส่วนตัว ผมคิดว่าหนัง Road Movie ทำยากนะ เพราะหนังแนวนี้ สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือความสนุก ความน่าติดตามตลอดการเดินทาง และระหว่างการเดินทาง ตัวละครจะมีการเปลี่ยนแปลงทีละนิด เปลี่ยนทั้งภายนอกและภายใน มันจะต้องค่อยๆเปลี่ยนแบบที่ต้องทำให้สมูทมากๆ และแน่นอนสิ่งสำคัญ คือตลอดการเดินทาง หนังต้องคุมการสื่อสารประเด็นหลักให้มั่นคงให้ได้ ซึ่งผมว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำออกมาได้กลมกล่อมพอดี แต่เรื่องนี้ทำได้สำเร็จ

ผลงานของผู้กำกับชาวบราซิล Walter Salles ที่เคยมีผลงานขึ้นชื่ออย่าง Central Station ซึ่งผมก็ยังไม่เคยดู แต่เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง ซึ่งเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ผมรู้สึกว่า Walter ทำหนังเรื่องนี้อย่างเต็มไปด้วย Passion เรารู้สึกแบบนั้น เราไม่รู้ว่าโดยส่วนตัว เค้าเองชื่นชม Che หรือไม่ แต่เรารู้สึกถึงพลังในการเล่าเรื่องของเค้า รู้สึกว่าเค้าทำหนังเรื่องนี้ เพราะอยากจะเล่าสิ่งนี้มากๆ และมันก็ส่งมาถึงคนดูแบบผมได้จริงๆ

ผมชอบการเล่าเรื่อง การลำดับภาพเรื่องนี้มากๆ หนังค่อยๆเล่าเรื่องของทั้ง Ernesto และ Alberto ตั้งแต่พวกเค้าออกเดินทางจากเมือง Alta Garcia ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง หนังให้รายละเอียดในแต่ละช่วงเวลาแบบพอเหมาะพอดี และแทรกมุขตลกไว้เกือบตลอด ทำให้เรารู้สึกสนุกและไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด และพอถึงจังหวะที่จะเน้นความรู้สึกมากๆ ก็ทำได้ดี ลงตัวมากๆ

หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพออกมาได้สวยงามมากๆ แม้บางฉากที่อยู่เขตที่บ้านเมืองไม่ได้สวยงามมากนัก แต่เรารู้สึกว่ามุมกล้องและแสง ช่วยทำให้เรารู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นสวยงามขึ้น (ในหนังมีฉากที่ตัวละครเดินทางไป Machu Picchu โบราณสถานของชาวอินคา ที่เปรู ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ที่เราก็อยากไปเช่นกัน) ดนตรีประกอบก็เป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ และเราชอบทุกเพลงในฉากเต้นรำเลย

เราชอบการแสดงของ 2 ตัวละครหลักมากๆ ทั้ง Gael Garcia Bernal และ Rodrigo De la Serna ทั้งคู่เล่นรับส่งกันได้ยอดเยี่ยมตลอดทั้งเรื่อง เราชอบรายละเอียดของตัวละครที่ค่อยๆเปลี่ยนไปหลังพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ และการแสดงของ Gael Garcia ที่เล่าคาเรคเตอร์ของ Ernesto ได้ดีมากๆ เราชอบหลายๆซีนของเค้า ทั้งซีนที่เค้าปาหินใส่รถนายจ้างเหมือง ซีนนั่งคุยหน้ากองไฟกับสามีภรรยาคนงานเหมือง ซีนที่นั่งคุยกับ Alberto ที่ Machu Picchu เราเห็นแววตาที่เริ่มเปลี่ยนแปลงตลอดการเดินทางของเค้า

เราไม่รู้ว่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ Ernesto กับ Alberto เป็นอย่างไร ดังนั้นเราจะเขียนเฉพาะสิ่งที่เราได้เห็นในหนังเท่านั้น

ไม่ง่ายที่เราจะตัดสินใจทำอะไรที่บ้าบิ่นแบบนี้ ทั้ง Ernesto และ Alberto น่าจะมีชีวิตที่ดีรออยู่ที่ Buenos Aires แต่พวกเค้ากลับเลือกที่จะออกเดินทาง สิ่งสำคัญกลับเป็นการสนับสนุนของคนในครอบครัว แม้ว่า Ernesto กำลังจะเรียนจบแพทย์ แต่ครอบครัวของเค้า ก็ไม่ได้ขัดความต้องการของ Ernesto แต่อย่างใด และเท่านั้นยังไม่พอ ครอบครัวยังเหมือนจะสนับสนุนการตัดสินใจของเค้าอีกด้วย ประโยคที่พ่อเค้าพูดว่า "ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เค้าก็คงจะเลือกทำแบบเดียวกัน" เป็นสิ่งยืนยันการสนับสนุนได้เป็นอย่างดี

เราชอบที่ Ernesto พูดถึงการเดินทางได้น่าสนใจมากๆ
"เราทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังตอนข้ามพรมแดนมา" "ในทุกช่วงเวลา ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน อาวรณ์สิ่งที่เราทิ้งไว้เบื้องหลัง และ ตื่นเต้นที่จะได้ไปดินแดนใหม่ๆ"
การเดินไปข้างหน้า มันไม่ใช่มีแต่สิ่งที่รอให้เราเข้าไปค้นหา มันกลับมีบางอย่างที่เราต้องทิ้งมันมาเช่นกัน ชีวิตย่อมทำให้มันสมดุลเสมอ เมื่อได้บางอย่าง ต้องเสียบางอย่าง มันเปรียบเสมือนการตัดสินใจทำสิ่งใหม่ๆในชีวิตเรา การที่เราได้เลือกทำสิ่งนี้ เราอาจได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลัง นี่เป็นเรื่องจริงของชีวิต

เราชอบฉากช่วงที่ทั้งคู่ต้องทิ้งมอเตอร์ไซด์คู่ใจของพวกเค้า เนื่องจากเครื่องยนต์มันไม่สามารถจะซ่อมได้อีกแล้ว น่าแปลกใจมากกับฉากร่ำลามอเตอร์ไซด์ มันทำให้เรารู้สึกเศร้าได้ขนาดนี้ เรารู้สึกถึงความผูกพันของพวกเค้ากับเจ้ามอเตอร์ไซด์คันนี้มากๆ และหลังจากนั้น Alberto ถามว่า "เราจะทำยังไงดี? จะไปต่อไหม?" Ernesto ตอบกลับไปว่า "ไปต่อสิ เรามีอายุ 30 แค่หนเดียวไม่ใช่เหรอ" เราชอบคำตอบนี้มากๆ เรารู้สึกว่า ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำอะไรแล้ว เราไม่ควรถอยหลัง แม้เราจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม เพราะหลายอย่างเราไม่สามารถย้อนเวลากลับมาทำมันได้อีก ถ้าไม่ทำตอนนี้ ทุกอย่างก็จะผ่านไปทันที

ความสัมพันธ์ของ Ernesto กับ Alberto น่ารักมากๆสำหรับเรา แม้เราจะเห็นทั้งคู่เหมือนจะทะเลาะกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่บ่อยๆ แต่เราก็รับรู้ได้ว่ามิตรภาพสำหรับเค้าทั้งสองมันลึกซึ้งมาก จะมีซีนที่ Ernesto ว่ายน้ำไปเอาเป็ดที่ถูกยิงเพื่อเอามาทำอาหาร และตกคืนนั้น Ernesto ก็เกิดเป็นหอบหืดขึ้นมา เราเห็นความเป็นห่วงของ Alberto ที่มีต่อ  Ernesto และฉากที่ Ernesto ได้รับจดหมายจาก Chichina เค้าเอาซองเงินไปให้ Alberto และตัวเค้าเองเปิดอ่านจดหมาย เราชอบจังหวะที่ Alberto หันมามอง Ernesto แล้วรู้ทันทีว่ามีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ เรารู้สึกว่าเค้าห่วง Ernesto มากๆ

หนังเล่นกับประเด็นเงิน 15 ดอลล่าร์ ที่ Chichina ให้ Ernesto ได้น่าสนใจมากๆ เค้าบอกให้มาเพื่อฝากไปซื้อชุดว่ายน้ำที่อเมริกา และ Ernesto ไม่ยอมใช้เงินก้อนนี้เลย ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์จำเป็นแค่ไหนก็ตาม ทั้งช่วงเวลาที่เค้าป่วยเป็นหอบหืดหลังว่ายน้ำไปเก็บเป็ด หรือจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่ไม่มีที่พักและอาหาร เค้าเก็บมันไว้อย่างดี มันคงเป็นเหมือนสัญญาที่เค้าให้ไว้กับ Chichina แต่ต้อนท้ายเรื่อง เค้าก็ได้เฉลยกับ Alberto ว่า เค้าได้ให้เงินก้อนนี้กับสามีภรรยาที่ทำงานที่เหมืองไปแล้ว มันเห็นได้ชัดว่า เค้าเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าเรื่องส่วนตัว มันมีคนจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้มากกว่าเค้า และเค้าก็คงตัดสินใจเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย

ช่วงเวลาที่เค้าเดินทางไปยัง Machu Picchu เกิดคำถามขึ้นกับ Ernesto ว่า "ทำไมความศิวิไลซ์ ถึงได้ทำลายทุกสิ่งที่เคยมีแบบนี้" โลกกำลังเปลี่ยนไปความเจริญและทุนนิยมกำลังเข้ามาครอบงำ แต่ก็จริงอย่างที่เค้าสงสัย ทำไมทุนนิยมถึงต้องมาทำลายสิ่งเป็นอยู่ด้วย มันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เหรอ?

การเดินทางของ Ernesto ทำให้เค้าได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ คนที่มีเงินมากกว่ากำลังใช้อำนาจเงินเอาเปรียบพวกคนท้องถิ่น โดยเฉพาะพวกชาวอินคา บางคนถูกกลุ่มนายทุนจากสเปนไล่ที่และกดขี่เอาเปรียบจากการจ้างมาทำงานในเหมือง ฉากที่ Ernesto เอาก้อนหินปาใส่รถกลุ่มนายจ้างของเหมือง มันสื่อความรู้สึกของเค้าได้เป็นอย่างดี โลกกำลังจะถูกทุนนิยมครอบงำ แม้กระทั้งตอนที่ Alberto คุยกับสาวในช่วงที่อยู่บนเรือ ยังเห็นได้ว่าทุกคนให้ความสำคัญกับเงินมากขนาดไหน ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้

นอกจากความไม่เท่าเทียมกันเรื่องเงินแล้ว Ernesto ยังเห็นถึงการแบ่งแยกของมนุษย์ ในตอนที่เค้าไปช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน เค้าแบ่งแยกคนป่วยไว้อีกฝั่งของแม่น้ำ Ernesto ยืนมองไปอีกฝั่ง แล้วเกิดคำถามในใจ ทำไมเราถึงต้องแบ่งแยกกันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีความเท่าเทียมกันในเมื่อเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราชอบฉากที่ผู้ป่วยเตะฟุตบอลกับ Ernesto และ Alberto เรารู้สึกว่าช่วงเวลานั้นทุกคนต่างเท่ากัน คนป่วยกับคนปกติ สามารถอยู่ร่วมกันได้ สามารถทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันได้

เราไม่รู้ว่าหลังจากเหตุการณ์ในเรื่องนี้ Ernesto จะเปลี่ยนแปลงโลกได้บ้างไหม แต่สิ่งที่เราเห็นและทำให้เราเชื่อว่า โลกยังมีหวัง ก็คือ ในคืนวันเกิดของ Ernesto เค้าอยากข้ามไปฉลองกับกลุ่มคนป่วยในอีกฝากของแม่น้ำ แต่เค้าหาเรือไม่ได้ในตอนนั้น เค้าจึงตัดสินใจว่ายน้ำข้ามไปหาพวกเค้า แม้ว่าตัวเค้าเองจะมีโรคประจำตัวเป็นหอบหืดก็ตาม และเค้าก็ทำมันได้สำเร็จจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ผมมั่นใจว่า หลังจากนี้ คนแบบ Ernesto ต้องทำอะไรบางอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

การเดินทางทำให้เราพบเจอสิ่งต่างๆมากมาย ทำให้เห็นสังคม เห็นผู้คนที่แตกต่างกัน ได้เรียนรู้และเข้าใจผู้อื่น ได้พบเจอสิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยได้สัมผัส เราชอบประโยคในท้ายเรื่องของ Ernesto มากๆ "Wandering around our America has changed me more than I thought. I am not me any more. At least I'm not the same me I was." นอกจากการเรียนรู้ผู้อื่นแล้ว การเดินทางทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เราจะเปลี่ยนไปหลังการออกเดินทาง ซึ่งเราไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคนอื่น แต่เปลี่ยนเป็นตัวตนของเราเองที่เรายังไม่เคยมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับมัน

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่