ยุทธภพ...เมื่อผู้เยี่ยมวรยุทธ์วางกระบี่ล้างมือหรือจากไป ก็เป็นโอกาสของผู้ด้อยวรยุทธ์ที่จะขยับตัวประกาศศักดาเป็นผู้เยี่ยมวรยุทธ์แทน นี่คือวัฏฏจักรของยุทธภพ.....เก่าไปใหม่มา
จอมมาร“ซูเทพ” ในยามนี้เป็นเสมือนหนึ่งพยัคฆ์ติดปีกที่กำลังจะผงาดขึ้นเป็นมือหนึ่งในยุทธภพ แม้คู่ปรับเก่าอย่าง “ซาเหลิ่ม”ที่เหล่าชาวยุทธ์ต่างซูฮกว่าฝีมือทัดเทียมกันชนิดที่ประกระบี่กันเป็นร้อยเพลงข้ามวันข้ามราตรีก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ แต่ในยามนี้ “ซาเหลิม”กลับร่วงโรยด้วยวัยและเพลงยุทธ์ กอร์ปกับการจากไปของท่านผู้เฒ่าเยี่ยมวรยุทธ์อย่าง “ซาหมั๊ก” จึงดูเหมือนว่า ทั่วยุทธภพในยามนี้จะหาคนที่จะมาต่อกรกับซูเทพได้ยาก ผิว่าท่านผู้เฒ่า “ซาหมั๊ก” ยังมีชีวิตอยู่ “ซูเทพ” ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากจอมยุทธ์ชั้นสวะที่ต้องสยบแทบเท้าของท่านผู้เฒ่าด้วยเพลงยุทธ์ไม่ถึงกระบวนท่า
ในข้อเท็จจริงแล้ว....ทั่วยุทธภพก็ใช่ว่าจะไร้ผู้กล้าและผู้มีฝีมือที่จะอาสาสยบจอมมารตนนี้ได้ ชาวยุทธ์ที่รักความยุติธรรมทั้งหลายหาได้เกรงกลัว “ซูเทพ” เลย หากแต่เงาทะมึนที่อยู่ข้างหลังของมันต่างหากที่เหล่าชาวยุทธ์ต่างพากันเกรงกลัว ที่ผ่านมา....จอมยุทธ์แล้วจอมยุทธ์เล่าที่หาญท้าท้ายกับ “ซูเทพ” หากไม่ลงเอยด้วยการถูกควบคุมตัวเข้าค่ายเพื่อ “ปรับกระบวนเพลงยุทธ์”ใหม่ ก็ต้องลงเอยด้วยการเร้นกายออกจากยุทธภพไป “พลังลึกลับ” นอกจากจะปกป้องจอมมารซูเทพแล้ว ยังส่งให้มันผงาดเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างทรนงและไร้เทียมทานเหมือนในยามนี้
เสียงระฆังยามเย็นดังกังวานมาจากวิหารบนยอดเขา แสงสุดท้ายแห่งอาทิตย์ของวันกำลังจะลับแนวเขา บุรุษที่ยืนกุมกระบี่นิ่งอิงโคนไม้มาเกือบค่อนวันเริ่มขยับตัว
“ข้าเผลอตัวหลับไป” เขาพึมพัมกับตัวเองแล้วรีบยกอาภรณ์สีดำที่คอขึ้นมาปกปิดใบหน้า จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานมุ่งสู่วิหารบนยอดเขา เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างนั้นก็มาปรากฏต่อหน้าเจ้าอาวาสบนลานวิหาร
“ประสก...มีธุระอะไรกับทางวัดในยามวิกาลเช่นนี้ ?” หลวงจีนเจ้าอาวาสยืนสงบนิ่ง มองร่างที่นั่งคำนับอยู่ต่อหน้า
“ข้าฯ ต้องขออภัยต่อท่านไต้ซือที่ถือวิสาสะเยี่ยงนี้” บุรุษลึกลับกล่าว พร้อมกับปลดอาภรณ์บนใบหน้าออก
“ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์....??นี่เอง” เจ้าอาวาสยิ้มที่มุมปาก พลันเห็นหน้า
“ ท่านไต้ซือ ข้าฯ ร้อนใจยิ่งที่ตอนนี้จอมมารซูเทพมันเริ่มจะอหังการขึ้นมาอีก ที่ข้าฯ มานี่ก็เพื่อที่จะปรึกษากับท่านไต้ซือว่า ข้า..คือ...ข้าอยากจะ.....”
“ประสก...อาตมาเข้าใจจุดประสงค์ของประสกดี คนอย่างจอมมารซูเทพใช่ว่าจะถูกลอบสังหารได้ง่ายๆ นอกจากเขาจะมีวิทยายุทธ์สูงส่งแล้ว...เขายังมีคนคอยปกป้องอยู่..??”
“แต่ข้าฯ จะเสี่ยงชีวิตเข้าแลก” บุรุษลึกลับกล่าวอย่างอาจหาญ
“เปล่าประโยชน์...เออนี่! กี่ยามแล้วล่ะตอนนี้” เจ้าอาวาสพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“กำลังจะพลบค่ำแล้วท่านไต้ซือ”
“ดูฟ้าสินั่นสิประสก” พร้อมกับชี้ไปบนท้องฟ้า “ฟ้าตอนนี้กำลังสลัว ไม่นานราตรีก็จะมาเยือน อาตมายินดีหากประสกจะอดใจรอดูแสงอรุณของวันใหม่ที่นี่กับอาตมา” หลวงจีนเจ้าอาวาสกล่าวเสร็จก็เดินจากไป ปล่อยให้เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ไม่นานรอยยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏบนใบหน้า.....
“แสงอรุณของวันใหม่” เขาพึมพัมในลำคอ
“มืดค่ำแล้ว อาตมาจะให้เณรน้อยจัดแจงที่พักให้” เสียงเจ้าอาวาสดังคล้อยมา
เห็นแสงทอง ส่องทาบ อาบอัมพร
ทิวากร โผล่พ้น บรรพตใหญ่
อรุณรุ่ง สาดส่อง ผ่องอำไพ
ประชาธิปไตย จะเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน
....กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง...
จอมมาร“ซูเทพ” ในยามนี้เป็นเสมือนหนึ่งพยัคฆ์ติดปีกที่กำลังจะผงาดขึ้นเป็นมือหนึ่งในยุทธภพ แม้คู่ปรับเก่าอย่าง “ซาเหลิ่ม”ที่เหล่าชาวยุทธ์ต่างซูฮกว่าฝีมือทัดเทียมกันชนิดที่ประกระบี่กันเป็นร้อยเพลงข้ามวันข้ามราตรีก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ แต่ในยามนี้ “ซาเหลิม”กลับร่วงโรยด้วยวัยและเพลงยุทธ์ กอร์ปกับการจากไปของท่านผู้เฒ่าเยี่ยมวรยุทธ์อย่าง “ซาหมั๊ก” จึงดูเหมือนว่า ทั่วยุทธภพในยามนี้จะหาคนที่จะมาต่อกรกับซูเทพได้ยาก ผิว่าท่านผู้เฒ่า “ซาหมั๊ก” ยังมีชีวิตอยู่ “ซูเทพ” ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากจอมยุทธ์ชั้นสวะที่ต้องสยบแทบเท้าของท่านผู้เฒ่าด้วยเพลงยุทธ์ไม่ถึงกระบวนท่า
ในข้อเท็จจริงแล้ว....ทั่วยุทธภพก็ใช่ว่าจะไร้ผู้กล้าและผู้มีฝีมือที่จะอาสาสยบจอมมารตนนี้ได้ ชาวยุทธ์ที่รักความยุติธรรมทั้งหลายหาได้เกรงกลัว “ซูเทพ” เลย หากแต่เงาทะมึนที่อยู่ข้างหลังของมันต่างหากที่เหล่าชาวยุทธ์ต่างพากันเกรงกลัว ที่ผ่านมา....จอมยุทธ์แล้วจอมยุทธ์เล่าที่หาญท้าท้ายกับ “ซูเทพ” หากไม่ลงเอยด้วยการถูกควบคุมตัวเข้าค่ายเพื่อ “ปรับกระบวนเพลงยุทธ์”ใหม่ ก็ต้องลงเอยด้วยการเร้นกายออกจากยุทธภพไป “พลังลึกลับ” นอกจากจะปกป้องจอมมารซูเทพแล้ว ยังส่งให้มันผงาดเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างทรนงและไร้เทียมทานเหมือนในยามนี้
เสียงระฆังยามเย็นดังกังวานมาจากวิหารบนยอดเขา แสงสุดท้ายแห่งอาทิตย์ของวันกำลังจะลับแนวเขา บุรุษที่ยืนกุมกระบี่นิ่งอิงโคนไม้มาเกือบค่อนวันเริ่มขยับตัว
“ข้าเผลอตัวหลับไป” เขาพึมพัมกับตัวเองแล้วรีบยกอาภรณ์สีดำที่คอขึ้นมาปกปิดใบหน้า จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานมุ่งสู่วิหารบนยอดเขา เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างนั้นก็มาปรากฏต่อหน้าเจ้าอาวาสบนลานวิหาร
“ประสก...มีธุระอะไรกับทางวัดในยามวิกาลเช่นนี้ ?” หลวงจีนเจ้าอาวาสยืนสงบนิ่ง มองร่างที่นั่งคำนับอยู่ต่อหน้า
“ข้าฯ ต้องขออภัยต่อท่านไต้ซือที่ถือวิสาสะเยี่ยงนี้” บุรุษลึกลับกล่าว พร้อมกับปลดอาภรณ์บนใบหน้าออก
“ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์....??นี่เอง” เจ้าอาวาสยิ้มที่มุมปาก พลันเห็นหน้า
“ ท่านไต้ซือ ข้าฯ ร้อนใจยิ่งที่ตอนนี้จอมมารซูเทพมันเริ่มจะอหังการขึ้นมาอีก ที่ข้าฯ มานี่ก็เพื่อที่จะปรึกษากับท่านไต้ซือว่า ข้า..คือ...ข้าอยากจะ.....”
“ประสก...อาตมาเข้าใจจุดประสงค์ของประสกดี คนอย่างจอมมารซูเทพใช่ว่าจะถูกลอบสังหารได้ง่ายๆ นอกจากเขาจะมีวิทยายุทธ์สูงส่งแล้ว...เขายังมีคนคอยปกป้องอยู่..??”
“แต่ข้าฯ จะเสี่ยงชีวิตเข้าแลก” บุรุษลึกลับกล่าวอย่างอาจหาญ
“เปล่าประโยชน์...เออนี่! กี่ยามแล้วล่ะตอนนี้” เจ้าอาวาสพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“กำลังจะพลบค่ำแล้วท่านไต้ซือ”
“ดูฟ้าสินั่นสิประสก” พร้อมกับชี้ไปบนท้องฟ้า “ฟ้าตอนนี้กำลังสลัว ไม่นานราตรีก็จะมาเยือน อาตมายินดีหากประสกจะอดใจรอดูแสงอรุณของวันใหม่ที่นี่กับอาตมา” หลวงจีนเจ้าอาวาสกล่าวเสร็จก็เดินจากไป ปล่อยให้เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ไม่นานรอยยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏบนใบหน้า.....
“แสงอรุณของวันใหม่” เขาพึมพัมในลำคอ
“มืดค่ำแล้ว อาตมาจะให้เณรน้อยจัดแจงที่พักให้” เสียงเจ้าอาวาสดังคล้อยมา
ทิวากร โผล่พ้น บรรพตใหญ่
อรุณรุ่ง สาดส่อง ผ่องอำไพ
ประชาธิปไตย จะเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน