Rerun:....สวยสะท้านยุทธภพ "แค้นนี้ต้องชำระ(หรือ?)" /วัชรานนท์....

กระทู้คำถาม
หลังจากที่จอมยุทธ์ซูเทพอดีตพ่อบ้านแห่งสำนักพระแม่ธรณีบีบมวยผมได้นำเหล่าศิษย์ผู้น้องร่วมสาบานออกมาเปิดฉากห้ำหั่นกับเหล่าศิษย์เอกจากสำนักเผื่อไท้นอกสนามประลองยุทธ์แล้ว   ทำให้เหตุการณ์ในยุทธภพเลวร้ายหนักลงเรื่อยๆ  ประหนึ่งเชื้อเพลิงอย่างดีกำลังถูกโยนเข้ากองเพลิงให้โหมและลุกไหม้ขยายเป็นวงกว้างขึ้นๆ......และนี่เองส่งผลให้แม่นางปู้  จอมยุทธ์อิสตรีคนแรกที่ก้าวขึ้นครองตำแหน่งเจ้ายุทธภพได้ประกาศสละตำแหน่ง     และระหว่างช่วงเวลาที่รอคอยการคัดเลือกตำแหน่งเจ้ายุทธภพคนใหม่   เหตุการณ์ทั่วไปที่ดูเหมือนว่าจะสงบ...แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเช่นนั้นไม่   น้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้ความสงบนิ่งนั้นกลับซ่อนเร้นความ “อำมหิต” ไว้แทบทุกอณู    ก็ต่อเมื่อความจริงปรากฏ............ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว !!  


แท้ที่จริง.....การผละตัวออกจากสำนักของจอมยุทธ์ซูเทพกับเหล่าศิษย์ผู้น้องออกมาเที่ยวอาละวาดสร้างความปั่นป่วนให้ชาวยุทธภพนอกสนามประลองยุทธ์นั้นเป็นกลยุทธ์ “กระเบื้องล่อหยก” ที่ได้ถูกวางไว้เป็นขั้นตอนน......เพื่อเปิดทางให้ “แม่ทัพตู้” ได้ก้าวขึ้นมาครอบครองตำแหน่งเจ้ายุทธภพคนใหม่  อย่างง่ายดายและรวดเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ    ส่งผลให้เหล่าจอมยุทธ์จากสำนักเผื่อไท้ต้องหายตัวไปจากยุทธภพ    ส่วนที่ยังท่องยุทธภพอยู่ก็ถูกคนของแม่ทัพตู้คอยติดตามสอดส่องทุกฝีก้าว......แม่ทัพตู้กุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ  ประกาศตนเป็นตงฉินเพื่อมาปราบกังฉินให้สิ้นยุทธภพ    ความโกลาหลก็ค่อยๆ คลี่คลายลง   ตราบใดที่ท่านแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ลำดับที่44  อยู่ในมือ   โอกาสที่จะเกิดความโกลาหลในยุทธภพเหมือนเมื่อก่อนมีน้อยเท่าเม็ดทรายในกำมือเมื่อเทียบกับทรายบนหาด


สิ้นเสียงสวดมนต์วัตรเย็น    พลันร่างของสตรีที่ปกปิดใบหน้าด้วยอาภรณ์สีดำก็ปรากฏในวิหาร
“แม่นางปู้!”    ไต้ซือเจ้าอาวาสยิ้มที่มุมปากกล่าวทักทายผู้มาเยือน
“ท่านไต้ซือ  จำข้าได้?”   อาภรณ์ที่คลุมใบหน้าถูกคลี่ออก
“ทำไมอาตมาจะจำไม่ได้  เห็นแค่เงาก็รู้แล้วว่าเป็นแม่นาง”   ไต้ซือกล่าวเชื้อเชิญให้แม่นางปู้นั่งในวิหาร
“ข้าต้องขออภัยท่านไต้ซือด้วยที่มาเยี่ยมท่านในเวลาวิกาลเช่นนี้”
“ไม่เป็นไร....ข้าเข้าใจ...ข้าเข้าใจ”   ไต้ซือเฒ่าเพ่งมองสตรีที่กำลังนั่งอยู่ต่อหน้าแล้วถอนหายใจ  “อาตมารู้ดีว่า   ตั้งแต่แม่ทัพตู้ขึ้นครองยุทธภพ   เขาส่งคนของเขาคอยติดตามแม่นางทุกฝีก้าว”
“ข้าจึงอาศัยพรางใบหน้า   เป็นทางเดียวที่ข้าจะมาสนทนาท่านไต้ซือได้”   แววตาของแม่นางปู้ยามนี้ดูหดหู่ลงไป   
“ดูเหมือนว่าแม่นางยังอาวรณ์ต่อตำแหน่งเจ้ายุทธภพอยู่??”
“ตำแหน่ง ?   ข้าไม่ได้ห่วงตำแหน่งเลยท่านไต้ซือ ที่ห่วงเห็นจะเป็นชาวยุทธภพมากกว่า....ข้าไม่มีโอกาสได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวยุทธภพเลย”
“แม่นางได้ทำแล้ว”   ไต้ซือพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น  "และได้ทำอย่างยอดเยี่ยมด้วย”  
“ข้าไม่เข้าใจ...”  
“ก้อสัญญา “จะแก้ไขไม่แก้แค้น” ที่แม่นางให้ไว้กับชาวยุทธ์ตอนที่ขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพวันแรกไง  แม่นางได้ทำตามสัญญาแล้ว    ส่วนสัญญาอื่นๆ นั้นล้วนเป็นโลกียะที่นักบวชอย่างอาตมาไม่ขอพูดถึง    สำคัญที่สุดคือเมื่อแม่นางมีอำนาจในมือ  แต่แม่นางไม่ได้ใช้มันเพื่อการแก้แค้น   แค่นี้ก็ถือว่าประเสริฐสุดแล้ว   พระพุทธองค์ทรงยกย่องตรงนี้”   
“ข้าเข้าใจที่ท่านไต้ซือพูดแล้ว..”   คราวนี้สีหน้าของแม่นางปู้ดูสดใสขึ้น
“ สรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง   ได้ลาภ เสื่อมลาภ   ได้ยศเสื่อมยศ  มีสรรเสริญมีนินทา   ถ้าแม่นางเข้าถึงสัจจธรรมอันนี้ก็ย่อมไม่เดือดร้อน”
“แล้วท่านไต้ซือคิดว่าแม่ทัพตู้จะ???....”   
ยังไม่สิ้นประโยคคำถาม   ไต้ซือเจ้าอาวาสยกมือปรามแม่นางปู้เอาไว้
“จะแม่ทัพตู้  หรือใครๆ ล้วนต่างก็หนีสัจจธรรมนี้ไม่พ้นหรอกแม่นาง   ได้ลาภวันนี้ก็เสื่อมได้ในวันหน้า   ยิ่งถ้าลาภใดที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมก็ยิ่งเสื่อมเร็ว   ฟ้าลิขิตไว้แล้ว  ไม่มีใครหรืออำนาจที่ไหนจะฝืนลิขิตฟ้าตรงนั้นได้”

หลังกล่าวคำอำลาไต้ซือเจ้าอาวาสเสร็จ   แม่นางปู้เดินออกมาจากวิหารด้วยความรู้สึกที่เบาเหมือนเมฆที่ลอยล่องในคืนข้างขึ้นของรัตติกาลนี้     อา...นานแล้วสินะที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้   เธอยิ้มที่มุมปากรำพันเบาๆ กับตัวเองอย่างมีความสุข

ปล.  นำกระทู้เก่ามาขัดสำนวนใหม่   WM อย่าเพ่งเล็งนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่