เอกชนสุดเซ็ง "พาณิชย์" อืดทำสัญญาขายข้าวสารที่ชนะการประมูลรอบ 3/59 ช้านับเดือน แถมเปิดประมูลข้าวรอบ 4 อีก 2.24 ล้านตันทุบราคาตลาดร่วงซ้ำ ตันละ 1,000 บาท "บิ๊กส่งออก" ทำหนังสือเร่งสัญญา หวั่นลูกค้าทิ้งออร์เดอร์หากส่งมอบช้า
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การเร่งรัดระบายข้าวสารในสต๊อกคงค้างของรัฐบาลในปี 2559 มีความถี่มากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ เปิดประมูลซื้อข้าวสารรัฐบาลไปแล้ว 4 ครั้ง รวมปริมาณที่นำมาเปิดประมูล 4,774,000 ตัน แบ่งเป็นการระบายทั่วไป 3,981,000 ตัน และการระบายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม 793,000 ตัน หรือเฉลี่ยระบายเดือนละ 950,000 ตัน ซึ่งถือว่ามากเมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกข้าวของไทยเฉลี่ยต่อเดือน เนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้งจนทำให้ตลาดขาดวัตถุดิบข้าว มีผลทำให้ราคาตลาดไม่ลดลงมากนัก และยังเป็นการลดภาระค่าฝากเก็บข้าวสารของรัฐบาล แต่ทว่า ในทางปฏิบัติกระบวนการส่งมอบข้าวยังเป็นไปอย่างล่าช้า
ล่าสุดแหล่งข่าวผู้ชนะการประมูลข้าวสารรัฐบาลในรอบ 3/2559 เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้เอกชนที่ชนะการประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลรอบ 3/2559 ปริมาณ 7.8 แสนตัน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 ทั้ง 23 รายยังไม่ได้เซ็นสัญญารับมอบข้าว แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนแล้ว ทำให้เอกชนไม่มีสินค้าไปส่งมอบลูกค้าได้ และอาจจะถูกยกเลิกสัญญาซื้อข้าว
"ขณะนี้หลายบริษัท เช่น ธนสรรไรซ์ นครหลวงค้าข้าว พงษ์ลาภ ได้ร้องเรียนโดยบางรายได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อสอบถามสาเหตุของปัญหาความล่าช้าและเร่งรัดให้มีการทำสัญญาซื้อขาย เพื่อให้สามารถรับมอบสินค้าได้โดยเร็ว เพราะส่วนหนึ่งใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจากธนาคาร และเมื่อเซ็นสัญญาแล้วจะได้นำหลักทรัพย์ค้ำประกันซอง 2% และหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาอีก 5% คืน เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการซื้อข้าวสารรัฐบาลในลอตต่อไป"
โดยเอกชนยืนยันว่า ได้เตรียมเงินสำหรับชำระค่าข้าวไว้แล้ว แต่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กลับไม่เรียกให้มีการทำสัญญาเป็นระยะเวลา 1 เดือน หากนับจากวันที่อนุมัติคือวันที่ 19 พฤษภาคม และหากนับจากวันที่แจ้งการผลการประมูล 30 พฤษภาคม นับเป็นระยะเวลา 15 วัน
ทั้งนี้ เอกชนกังวลว่า
1) การรับมอบล่าช้าจะทำให้ผิดสัญญากับรัฐ ตามที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การประมูลข้าวภายในไม่เกิน 15 วัน และต้องรับมอบข้าวให้หมดภายในกี่วัน ตามปริมาณที่ซื้อ
2) ลูกค้าต่างประเทศที่สั่งซื้อออร์เดอร์ได้ส่งเรือมารอรับสินค้านานนับเดือนแล้ว แต่บริษัทไม่สามารถรับมอบข้าวสารมาปรับปรุงส่งมอบได้ร่วม 1 เดือน ส่งผลให้ราคาข้าวลดลงตันละ 10 เหรียญสหรัฐ ซึ่งลูกค้าต่างประเทศอาจจะอาศัยเหตุนี้ขอเลิกคำสั่งซื้อ บริษัทจะได้รับความเสียหาย แล้วใครจะรับผิดชอบ และประเทศจะเสียหายได้เงินรายได้จากการส่งออกกลับเข้าประเทศลดลง 3) ปัญหาสภาพคล่อง เพราะเอกชนต้องการนำเงินหลักทรัพย์ค้ำประกันซองที่ได้จากการประมูลรอบ 3/2559 มาใช้เป็นทุนในการประมูลข้าวรัฐบาลรอบต่อ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม กรมการค้าต่างประเทศแจ้งกลับมาถึงสาเหตุของความล่าช้าว่า มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการทำสัญญา จึงต้องส่งสัญญาไปให้สำนักงานอัยการตรวจสอบก่อนจึงจะสามารถเซ็นได้ และเมื่อเอกชนทำสัญญากับ อคส./อ.ต.ก.แล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะทำหนังสือกลับมายังกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขออนุมัติขอคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันจากกระทรวงการคลัง ซึ่งเอกชนมองว่าวิธีการดำเนินการในช่วงหลัง ๆ มานี้ค่อนข้างจะซับซ้อน ซึ่งอาจจะเป็นไปเพื่อตอบโจทย์เรื่องความโปร่งใส แต่ขัดกับวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่ต้องการเร่งให้ระบายข้าวโดยเร็ว
"ท่านปลัดชุติมา บุณยประภัศร รับทราบปัญหานี้ของภาคเอกชนและเร่งรัดให้โดยตลอด แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมีความล่าช้า และหากดำเนินการอย่างนี้แล้วข้าวลอต 3 กับลอต 4 ที่ประมูลออกสู่ตลาดในเวลาใกล้เคียงกันจะทำอย่างไร"
ทั้งนี้ แม้ว่าการทำสัญญาจะล่าช้า แต่ภาคเอกชนยังเข้าแข่งขันประมูลซื้อข้าวสารรัฐบาลรอบ 4/2559 เป็นจำนวนที่เปิดให้ยื่นเสนอราคาประมูลข้าวทั่วไปปริมาณ 2.24 ล้านตัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้มายื่นซองคุณสมบัติ 69 ราย และเสนอราคาซื้อ 64 รายสูงสุดในรอบปีนี้ มีเพียง 5 รายที่ไม่ยื่นซื้อ คือ บริษัท พันปี กรุ๊ป (ไทย, ลาว, กัมพูชา) จำกัด บริษัท ข้าวราชา จำกัด บริษัท พี.โอ.พี.อินเตอร์ไรซ์มิล จำกัด บริษัท ทีบีเอสไรซ์มิลล์ จำกัด และบริษัท เอ็นทีบี เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นรายเล็ก ๆ และเป็นบริษัทเทรดเดอร์หน้าใหม่ในตลาด
"เหตุผลสำคัญที่ผู้ส่งออกต้องมาร่วมซื้อ เพราะรัฐบาลประมูลข้าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณมาก ราคาข้าวในตลาดลดลง ต้องมาซื้อรอบนี้เพื่อนำราคาที่ได้ไปถัวเฉลี่ยเป็นราคาต้นทุน ไม่เช่นนั้นจะต้องขาดทุน ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะเปิดมากขนาดไหนต้องกัดฟันซื้อ จะเห็นว่าราคาเสนอซื้อข้าวหลายชนิดอ่อนตัวลง เช่น ปลายข้าวจะเหลือเพียงตันละ 7,000-8,000 บาท จากครั้งก่อนที่ได้ 7,800-8,400 บาท หายไปตันละ 1,000 บาท"
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่า เชื่อว่าครั้งที่ 4/2559 จะสามารถระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลออกไปได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน เพราะความต้องการของตลาดยังมีมาก ประกอบกับปริมาณข้าวใหม่ยังไม่ออก จึงเป็นช่วงที่เหมาะ หากระบายข้าวได้ทั้งหมดจะทำให้สต๊อกข้าวรัฐบาลเหลือไม่ถึง 10 ล้านตัน กรมจะประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลในครั้งต่อไปในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ อีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน
"เชื่อว่าจะยังขายได้ราคาใกล้เคียงตลาด โดยจากการยื่นซื้อของผู้ประกอบการอยู่ที่ข้าวขาวขายประมาณกิโลกรัมละ 10-11 บาท จากราคาตลาด 13-14 บาท ปลายข้าวอยู่ที่กิโลกรัมละ 7-8 บาท จากราคาตลาด 10-11 บาท"
ส่วนการส่งออกข้าวไทย ตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 13 มิถุนายน 2559 ปริมาณ 4.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 71,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปี 2559 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 9.5 ล้านตัน
JJNY : รับมอบข้าวรอบ 3 อืดเป็นเรือเกลือ พ่อค้าโวยพาณิชย์ราคาทรุดหวั่นลูกค้าทิ้งออร์เดอร์
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การเร่งรัดระบายข้าวสารในสต๊อกคงค้างของรัฐบาลในปี 2559 มีความถี่มากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ เปิดประมูลซื้อข้าวสารรัฐบาลไปแล้ว 4 ครั้ง รวมปริมาณที่นำมาเปิดประมูล 4,774,000 ตัน แบ่งเป็นการระบายทั่วไป 3,981,000 ตัน และการระบายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม 793,000 ตัน หรือเฉลี่ยระบายเดือนละ 950,000 ตัน ซึ่งถือว่ามากเมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกข้าวของไทยเฉลี่ยต่อเดือน เนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้งจนทำให้ตลาดขาดวัตถุดิบข้าว มีผลทำให้ราคาตลาดไม่ลดลงมากนัก และยังเป็นการลดภาระค่าฝากเก็บข้าวสารของรัฐบาล แต่ทว่า ในทางปฏิบัติกระบวนการส่งมอบข้าวยังเป็นไปอย่างล่าช้า
ล่าสุดแหล่งข่าวผู้ชนะการประมูลข้าวสารรัฐบาลในรอบ 3/2559 เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้เอกชนที่ชนะการประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลรอบ 3/2559 ปริมาณ 7.8 แสนตัน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 ทั้ง 23 รายยังไม่ได้เซ็นสัญญารับมอบข้าว แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนแล้ว ทำให้เอกชนไม่มีสินค้าไปส่งมอบลูกค้าได้ และอาจจะถูกยกเลิกสัญญาซื้อข้าว
"ขณะนี้หลายบริษัท เช่น ธนสรรไรซ์ นครหลวงค้าข้าว พงษ์ลาภ ได้ร้องเรียนโดยบางรายได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อสอบถามสาเหตุของปัญหาความล่าช้าและเร่งรัดให้มีการทำสัญญาซื้อขาย เพื่อให้สามารถรับมอบสินค้าได้โดยเร็ว เพราะส่วนหนึ่งใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจากธนาคาร และเมื่อเซ็นสัญญาแล้วจะได้นำหลักทรัพย์ค้ำประกันซอง 2% และหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาอีก 5% คืน เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการซื้อข้าวสารรัฐบาลในลอตต่อไป"
โดยเอกชนยืนยันว่า ได้เตรียมเงินสำหรับชำระค่าข้าวไว้แล้ว แต่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กลับไม่เรียกให้มีการทำสัญญาเป็นระยะเวลา 1 เดือน หากนับจากวันที่อนุมัติคือวันที่ 19 พฤษภาคม และหากนับจากวันที่แจ้งการผลการประมูล 30 พฤษภาคม นับเป็นระยะเวลา 15 วัน
ทั้งนี้ เอกชนกังวลว่า
1) การรับมอบล่าช้าจะทำให้ผิดสัญญากับรัฐ ตามที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การประมูลข้าวภายในไม่เกิน 15 วัน และต้องรับมอบข้าวให้หมดภายในกี่วัน ตามปริมาณที่ซื้อ
2) ลูกค้าต่างประเทศที่สั่งซื้อออร์เดอร์ได้ส่งเรือมารอรับสินค้านานนับเดือนแล้ว แต่บริษัทไม่สามารถรับมอบข้าวสารมาปรับปรุงส่งมอบได้ร่วม 1 เดือน ส่งผลให้ราคาข้าวลดลงตันละ 10 เหรียญสหรัฐ ซึ่งลูกค้าต่างประเทศอาจจะอาศัยเหตุนี้ขอเลิกคำสั่งซื้อ บริษัทจะได้รับความเสียหาย แล้วใครจะรับผิดชอบ และประเทศจะเสียหายได้เงินรายได้จากการส่งออกกลับเข้าประเทศลดลง 3) ปัญหาสภาพคล่อง เพราะเอกชนต้องการนำเงินหลักทรัพย์ค้ำประกันซองที่ได้จากการประมูลรอบ 3/2559 มาใช้เป็นทุนในการประมูลข้าวรัฐบาลรอบต่อ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม กรมการค้าต่างประเทศแจ้งกลับมาถึงสาเหตุของความล่าช้าว่า มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการทำสัญญา จึงต้องส่งสัญญาไปให้สำนักงานอัยการตรวจสอบก่อนจึงจะสามารถเซ็นได้ และเมื่อเอกชนทำสัญญากับ อคส./อ.ต.ก.แล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะทำหนังสือกลับมายังกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขออนุมัติขอคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันจากกระทรวงการคลัง ซึ่งเอกชนมองว่าวิธีการดำเนินการในช่วงหลัง ๆ มานี้ค่อนข้างจะซับซ้อน ซึ่งอาจจะเป็นไปเพื่อตอบโจทย์เรื่องความโปร่งใส แต่ขัดกับวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่ต้องการเร่งให้ระบายข้าวโดยเร็ว
"ท่านปลัดชุติมา บุณยประภัศร รับทราบปัญหานี้ของภาคเอกชนและเร่งรัดให้โดยตลอด แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมีความล่าช้า และหากดำเนินการอย่างนี้แล้วข้าวลอต 3 กับลอต 4 ที่ประมูลออกสู่ตลาดในเวลาใกล้เคียงกันจะทำอย่างไร"
ทั้งนี้ แม้ว่าการทำสัญญาจะล่าช้า แต่ภาคเอกชนยังเข้าแข่งขันประมูลซื้อข้าวสารรัฐบาลรอบ 4/2559 เป็นจำนวนที่เปิดให้ยื่นเสนอราคาประมูลข้าวทั่วไปปริมาณ 2.24 ล้านตัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้มายื่นซองคุณสมบัติ 69 ราย และเสนอราคาซื้อ 64 รายสูงสุดในรอบปีนี้ มีเพียง 5 รายที่ไม่ยื่นซื้อ คือ บริษัท พันปี กรุ๊ป (ไทย, ลาว, กัมพูชา) จำกัด บริษัท ข้าวราชา จำกัด บริษัท พี.โอ.พี.อินเตอร์ไรซ์มิล จำกัด บริษัท ทีบีเอสไรซ์มิลล์ จำกัด และบริษัท เอ็นทีบี เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นรายเล็ก ๆ และเป็นบริษัทเทรดเดอร์หน้าใหม่ในตลาด
"เหตุผลสำคัญที่ผู้ส่งออกต้องมาร่วมซื้อ เพราะรัฐบาลประมูลข้าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณมาก ราคาข้าวในตลาดลดลง ต้องมาซื้อรอบนี้เพื่อนำราคาที่ได้ไปถัวเฉลี่ยเป็นราคาต้นทุน ไม่เช่นนั้นจะต้องขาดทุน ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะเปิดมากขนาดไหนต้องกัดฟันซื้อ จะเห็นว่าราคาเสนอซื้อข้าวหลายชนิดอ่อนตัวลง เช่น ปลายข้าวจะเหลือเพียงตันละ 7,000-8,000 บาท จากครั้งก่อนที่ได้ 7,800-8,400 บาท หายไปตันละ 1,000 บาท"
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่า เชื่อว่าครั้งที่ 4/2559 จะสามารถระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลออกไปได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน เพราะความต้องการของตลาดยังมีมาก ประกอบกับปริมาณข้าวใหม่ยังไม่ออก จึงเป็นช่วงที่เหมาะ หากระบายข้าวได้ทั้งหมดจะทำให้สต๊อกข้าวรัฐบาลเหลือไม่ถึง 10 ล้านตัน กรมจะประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลในครั้งต่อไปในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ อีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน
"เชื่อว่าจะยังขายได้ราคาใกล้เคียงตลาด โดยจากการยื่นซื้อของผู้ประกอบการอยู่ที่ข้าวขาวขายประมาณกิโลกรัมละ 10-11 บาท จากราคาตลาด 13-14 บาท ปลายข้าวอยู่ที่กิโลกรัมละ 7-8 บาท จากราคาตลาด 10-11 บาท"
ส่วนการส่งออกข้าวไทย ตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 13 มิถุนายน 2559 ปริมาณ 4.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 71,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปี 2559 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 9.5 ล้านตัน