สัตตาโอปปาติกะ

#1 ความน่ากลัว ของสัตตาโอปปาติกะ จิต
   พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้รู้จักการกำจัด สัตตาโอปปาติกะ ออกจากจิตของเรา อยู่ในมรรคข้อ 1.9 หากเราไม่รู้จักมันแล้วไม่พยายามกำจัดมันออกจากจิต ของเรา สักวันหนึ่งมันก็จะพาเราไปพบกับความหายนะ บางช่วงเวลามันก็อาจจะพาเราไปพบกับความรุ่งโรจน์จนเราหลง จิต ของตัวเอง นับวันสัตตาโอปปาติกะ เหล่านี้มันยิ่งจัดจ้าน สารพัดรูปแบบ เอาปืนไปยิงคนตายในบาร์เกย์ 50 ศพ พ่อจ้างฆ่าลูก ลูกจ้างฆ่าพ่อ พ่อข่มขืนลูกสาววัย 8 ขวบ แม่จ้างฆ่าลูกสะไภ้ ลูกสะไภ้วางแผนฆ่าแม่ยายเพื่อฮุบสมบัติ สาระพัดสาระเพ ที่มันจะเกิดขึ้น ทำตัวสอนธรรมะให้คนทั้งโลก แต่ที่ไหนได้แอบหลอกลวงเพื่อทรัพย์ ถูกหมายจับยังไม่กล้าพอที่จะเดินไปมอบตัว ขี้ขลาดตาขาว เพราะไปสร้างอัตตาที่ไม่จริง ไม่มีความจริง บิดเบือนคำสอน เหล่านี้คือ เปรต อสูรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นสัตตาโอปปาติกะในร่างคน ผมก็เคยถูกสัตว์เหล่านี้สิงใจ แต่โชคดีที่ได้มาเรียนรู้ และรู้ทันมันเสียก่อน และพยายามกำจัดมันออกไปจากจิต ชีวิตเกือบแย่เหมือนกัน หากใครฝึกดูบ่อยๆ แล้วจะเห็นความน่ากลัวของมัน หากเราเห็นแล้วรู้จักมันได้ และหาทางกำจัดมันได้ จิตเราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางเจริญขึ้น เรียกว่าการเกิดใหม่ เป็นสัตตาโอปปาติกะชนิดใหม่ คือ "อุบัติเทพ" เราจะเป็นคนใหม่ ที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ รีบๆเรียนรู้นะครับ มันน่ากลัวหากเรายังปล่อยให้มันสิงใจเรา ความวิบัติอาจจะมาเยือนเราหรือครอบครัว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...

2# สัตตาโอปปาติกะ จิต ในจิตของเรานี่แหละ คือ
    <เจ้ากรรมนายเวร>  ตัวจริงเสียงจริง ...ของเรา ไม่ใช่ผีสาง เทวดา เปรตอสูรกายที่ไหน มันคือจิตของเรามันเป็นรูปแบบพลังงานที่ถูกสะสมมานับเวลาไม่ถ้วน ตั้งแต่มันยังเป็นระดับชีวะขนาดเล็ก หมุนเวียนตายเกิดตายเกิดจนนับชาติไม่ได้ ในขณะที่มันมีวิวัฒนาการในการพัฒนารูปแบบกายมาอย่างยาวนาน สิ่งหนึ่งที่มันสะสมไว้ คือ พลังงานของธาตุรู้ (วิบากกรรม หรือ การกระทำในอดีต ทั้งดีและชั่ว) การพยายามเอาตัวรอดในการดำรงชีวิต ของธาตุรู้เหล่านี้ได้สั่งสม การกระทำแย่งชิงเบียดเบียน เพื่อให้ตัวเองรอด ในแต่ละชาติที่มาสร้างกาย ไม่ว่าจะเป็นพืช หรือ สัตว์ นี่แหละคืออุปนิสัยเบียดเบียน ชิงดีชิงเด่น หากมีกายที่สมบูรณ์ที่สามารถเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นได้ มันก็จะทำทันที เช่นเสือ สิงโต งู มันพร้อมที่จะขย้ำคอเหยื่อเพื่อเป็นอาหาร สัตว์พวกนี้ ทำเพื่อ สันชาตญาณหิวเพื่อรักษาดำรงชีวิตของมัน แต่มันก็ได้สั่งสม อุปนิสัย ฆ่า เพื่อให้ตัวเองรอด นี่แหละคือ นิสัยของสัตตาโอปปาติกะ จิต ที่มันสั่งสมพลังงาน ลงไปในธาตุรู้ พลังงานเหล่านี้แหละมันสั่งสมทับถม มาเป็น อุปนิสัยเราในชาติปัจจุบัน แต่อุปนิสัยเหล่านี้อาจจะถูกสภาพแวดล้อมใหม่ ที่มาเกิด โน้มน้าวให้เป็น สัตตาโอปปาติกะ ชนิดใหม่ได้ ด้วยการสอนด้วยการอบรม หากสอนดี ก็อาจจะเป็นคนดีไป แต่หากสอนเลว ความเป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก สัตว์เปรต ก็จะจัดจ้าน เผลอๆ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตนเองได้เลย.

3# สัตตาโอปปาติกะ จิต ไม่ต้องไปแก้กรรมที่ไหน ไม่ต้องไปขอขมาเจ้ากรรมนายเวรที่ไหน เพราะมันคือจิตของเรา ฝึกดูให้เห็น โดยการปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 หรือ วิปัสสนากรรมฐาน แนะนำแบบนี้อาจจะดูงง แต่มันดูขลัง พระชอบเอามาสอนญาติโยมคำเหล่านี้ สอนให้เราดูยาก อาจจะเพราะตนเองก็เข้าใจไม่ได้ หรือไงก็ไม่รู้ได้ หรือพูดให้ดูขลัง เพื่อลาภสักการะ แต่วิธีที่ถูกต้องคือ เอาแบบภาษาบ้านๆ เลยก็คือ "ดูจิต" ของเรานี่แหละ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งใครมี อริอยู่ที่ทำงาน นี่สนุกเลย โจทย์คุณจะเยอะเลย เพราะยักษ์มันจะสิงใจคุณทันที พอเพื่อนร่วมงานหน้ากวนตีนเดินผ่าน มันไม่ใช่สิงแต่เราน๊ะ เพื่อนร่วมงานก็ถูกสิง เพราะหน้าเราก็ไปกวนตีนมัน นี่แบบฝึกเพียบเลย อย่าไปนั่งหลับตาดับจิตตนเอง เพราะการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องมีเวทนา(อารมณ์) เป็นปัจจัย เราถึงจะได้เรียนรู้ สัตตาโอปปาติกะในจิตของเรา  การปฏิบัติเพื่อดูจิต จะมีเวทนา เป็นเครื่องมือ ในการปฏิบัติ ไม่ใช่ไปดับจิตตนเอง นั่งสมาธิดูลมหายใจ เพราะไปปฏิเสธเวทนา ไม่ให้ไปรู้สึกนึกคิดอะไรนอกจาก ลมหายใจ   ผมเอาพระไตรปิฏกมายืนยัน ตามหัวข้อนี้
.............................
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

[๘๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน?
คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ เวทนา ๓ ประการนี้แล.
             [๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อ
กำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ ความเห็นชอบ
ฯลฯ ความตั้งใจชอบ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ บุคคลพึงเจริญ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓
ประการนี้แล.

4# สัตตาโอปปาติกะ จิต การนั่งสมาธิดูลมหายใจ กับ การเดินจงกรม
................................ การนั่งสมาธิกับการเดินจงกรม มันเป็น หัวข้อแรก ของการฝึกสติปัฏฐาน 4 คือ การดูกาย หรือ พิจารณากายเท่านั้น เป็นแบบฝึกเบื้องต้นแบบง่ายๆให้รู้จักสติ เป็นเหมือนบทเรียน อนุบาล เท่านั้น ท่านให้รู้จัก "กาย" แต่จิตจะพัฒนาจริงๆ ก็ คือการพิจารณา หัวข้อ 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม   หรือ สรุปแบบง่ายๆ ก็คือ 2-3-4 คือการ "ดูจิตตนเอง" แล้วพิจารณาอารมณ์ต่างๆ มันเกิดได้อย่างไร ผลมันเป็นอย่างไร ก็เรียนรู้ ดูจิตตนเองบ่อยๆ เข้า แล้วเราก็จะเห็นหรือรู้จัก สัตตาโอปปาติกะ ในมรรค ข้อ 1.9 เราก็จะเริ่มกลัวการกระทำของตัวเองที่ขาดสติ  และข้ออื่นๆใน สัมมาทิฏฐิ ก็จะเริ่มสมบูรณ์ ความระมัดระวังการกระทำของตนเองจะเริ่มเกิดขึ้น (สัมมัปปธาน 4 ก็จะเริ่มเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ โดยเราก็ไม่รู้จักความหมายในบาลีเลยก็ได้ แต่อาการของจิตมันจะเกิดขึ้นเอง) นั่นแหละ ศีล ของเราก็จะเริ่มสมบูรณ์ขึ้นเองเป็น อัตโนมัติ มรรค ข้อ 2-3-4-5-6 จะเริ่มสมบูลย์ จากการปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 อย่างถูกตรง ส่วน มรรค ข้อที่ 7 สัมมาสติ มันก็จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากการ ปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 อยู่แล้ว เมื่อ มรรค ข้อ 1-2-3-4-5-6-7 เริ่มสมบูรณ์ มรรค ข้อที่ 8 สัมมาสมาธิ ก็จะเริ่มสมบูรณ์ สัมมาสมาธิ นี้ไม่ได้เกิดจากการไปนั่งสมาธิ อย่างเดียว แต่มันเกิดจากการปฏิบัติ มรรค 7 ข้อ ท่านตรัสไว้ชัดเจนใน พระไตรปิฏก หัวข้อ 253 มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
........................................................................................
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมา-
*สมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่