(หมายเหตุ: คะแนนที่ให้กับความชอบส่วนตัวอาจจะสวนทางกัน เพราะให้คะแนนตามพัฒนาการทางดนตรี จึงไม่นำมาปะปนกับความชอบ)
Breakup Album ที่ทำออกได้ละเมียดละไม ทุกแทร็คร้อยเรียงกันอย่างเรียบเนียน เชื่อมต่อกันแทบจะเป็นเนื้อเดียว ฟังต่อกันได้จนจบโดยไม่สะดุดหู ถือเป็นอัลบั้มที่ฟังง่ายที่สุดของวง ส่วนตัวแล้วอยากให้นี่เป็นอัลบั้มเดี่ยวของคริส มาร์ตินไปเลย เพราะเนื้อร้องค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวของนักร้องนำ แต่ยังไงก็คงทำไม่ได้ เพราะวงนี้ประกาศแล้วว่าจะไม่มีการแยกออกไปทำ Solo Album
คอนเส็ปต์ของงานชุดนี้วนเวียนอยู่กับสองประเด็นหลัก คือ
การกระทำในอดีต เป็นการย้อนกลับไปมองว่าเราตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างไร และ
ผลลัพธ์จากการกระทำในอดีต ที่ยังคงตามมาหลอกหลอน ประดุจวิญญาณตามติดเหมือนชื่ออัลบั้ม เราจะปล่อยให้มันส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตของเราอย่างไร
อาจฟังดูลึกซึ้ง แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดทั้งปวงเกี่ยวข้องกับความรักอย่างเดียวเลย
1. Always in My Head
แทร็คเปิดอัลบั้มที่ไม่หวือหวาอลังการ แต่ทว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศล่องลอยชวนฝันราวกับบรรเลงในอควาเรียม เมโลดี้ให้ความรู้สึกเย็น สบาย ผ่อนคลายเหมาะแก่การหลับตาฟัง ดนตรีแนวแอมเบียนต์บวกกับเสียงร้องหลอนที่แทบจะกลืนไปกับบรรยากาศที่เพลงสร้างขึ้น
ภาคเนื้อหาอาจไม่ได้มีความพิเศษอะไร ถ้อยคำที่ใช้ออกจะพื้น ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะอินไปกับเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าในบทเพลง ขณะฟังไปก็พาลนึกถึงวลีที่ว่า "คิดถึงแทบขาดใจ" อาจฟังดูเวอร์ แต่สำหรับคนอกหัก ฟังแล้วอาจแทบดิ้นพราด
ภาคดนตรีเป็นส่วนที่ผมชอบมากที่สุด เพราะต่อให้ตัดเสียงร้องออกจนเหลือแค่ Instrumental ก็ยังไพเราะชวนเคลิบเคลิ้ม
แทร็คนี้อาจไม่มีจุดพีค ซึ่งแน่ล่ะว่าเป็นจุดเด่นของดนตรีแนวแอมเบียนต์ แต่บรรยากาศของเพลงก็ห่อคลุมและโอบอุ้มทั้งอัลบั้มไปจนถึงแทร็คสุดท้าย เพราะเราจะได้ยินเมโลดี้เดียวกันนี้จาก "O" ที่เป็นแทร็คสุดท้าย เป็นการวนลูปไปไม่สิ้นสุด ซึ่งเป็นกิมมิคที่ Coldplay เริ่มทำมาตั้งแต่ชุดที่ 4
★★★
2. Magic
เพลงป็อปฟังสบายที่ขับเคลื่อนด้วยริฟท์เบสและกลองสแนร์ตลอดทั้งแทร็ค ท่อนฮุคที่ฟังติดหูอย่างรวดเร็วทำให้เพลงนี้เป็นที่นิยมที่สุดเพลงหนึ่งในอัลบั้ม นี่เป็นแทร็คที่มีเมโลดี้เพราะพริ้งพองาม เรียบง่าย ไม่เล่นใหญ่ แม้เนื้อร้องจะพูดถึงความรักที่แตกสลายไป แต่ก็ไม่แสดงความรู้สึกฟูมฟายแต่อย่างใด บทเพลงพรรณนาถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ร่วมกับคนรักซึ่งคริสรู้สึกว่ามันช่างงดงามราวกับต้องมนต์
And if you were to ask me
After all that we've been through
Still believe in magic
Oh yes I do
ซึ่งขณะที่ฟัง ผมรู้สึกได้ถึงด้านที่งดงามของการจากลา ยอมรับว่าช่วงแรกรู้สึกเฉย ๆ กับแทร็คนี้ เพราะคาดหวังว่าเพลงจะใส่จังหวะความพีคไปเรื่อย ๆ เหมือนกับ "Fix You" แต่ผมคิดผิด มันไม่มีส่วนที่ดึงอารมณ์คนฟังถึงขีดสุดก็จริง แต่บางสิ่งบางอย่างในเพลงนี้กลับเรียกร้องให้กด Replay ซ้ำ
เพลงของ Coldplay นี่แปลก แรกฟังจะไม่รู้สึกว่าไพเราะหรือชอบมากมาย แต่เมื่อให้เวลากับมัน ละเลียดฟังไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกติดค้างในใจจนต้องกลับมาฟังใหม่ แทร็คนี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ฟังซ้ำจะรู้สึกว่าเพราะขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละมั้งที่เรียกว่า Magic
★★★
3. Ink
แทร็คนี้เหมือนกับเป็นภาคต่อของ Magic เพราะการสอดประสานของบีทบวกกับเมโลดี้ที่มีจังหวะกระชับคล้ายคลึงกัน ในส่วนของภาคเนื้อหาและภาคดนตรียังไม่มีอะไรที่แตกต่างหรือโดดเด่นไปจากแทร็คก่อนหน้ามากมายนัก แม้จะไม่มีท่อนฮุคชวนให้จดจำ แต่ก็นับได้ว่าเป็นแทร็คที่ฟังง่ายและเป็นโหมโรงไปสู่ลำนำแห่งความเจ็บปวดในแทร็คถัดไป
★★
4. True Love
และแล้วก็มาถึงแทร็คที่คริสเปลือยความรู้สึกคร่ำครวญที่มีต่ออดีตคนรักอย่างไม่มีกั๊ก ด้วยท่อนอินโทรที่เปิดนำด้วยเสียงเกากีตาร์ แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นพีคสุดด้วยท่อนโซโลกีตาร์หวานซึ้ง ตั้งแต่ฟัง Coldplay มา ไม่ค่อยมีแทร็คไหนของวงที่จะบรรเลงท่อนโซโลกีตาร์ที่หวานเสียดอารมณ์ได้ขนาดนี้ หากแต่นี่ไม่ใช่หวานเลี่ยน แต่เป็นความหวานปะแล่มเจือด้วยรสชาติอันขื่นขม
เนื้อเพลงสรุปออกมาได้วลีเดียวคือ "ความเจ็บปวดสุดหฤหรรษ์"
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไม่อินกับท่อนที่ว่า "Just tell me you love me/ If you don't, then lie/ Oh, lie to me." ซึ่งอาจเป็นเพราะได้ยินเนื้อร้องแบบนี้จากเพลงไทยจนเบื่อแล้วก็เป็นได้ ส่วนตัวแล้วชอบแทร็คนี้ที่ภาคดนตรีล้วน ๆ ริฟท์กีตาร์ของจอหน์นี่โดดเด่นเป็นประกายมาก ๆ
★★★
5. Midnight
แทร็คแนวทดลองของวงที่ทำออกมาได้คมคายแม้จะฟังครั้งแรกไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม นี่เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่เปิดตัวออกมาได้ชวนว้าวสำหรับคนที่ชื่นชอบ และชวนเหวอสำหรับคนที่ยึดติดกับสไตล์เก่า ๆ ของวง ทั้งยังอุดมไปด้วยซาวนด์สังเคราะห์ บรรยากาศล่องลอยแบบแอมเบียนต์ การ distort เสียงร้อง ซาวนด์ใหม่ของวงได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับงานเก่า ๆ ของ Bon Iver และ Justin Vernon ว่ามีความคล้ายคลึงกัน ภาคดนตรีทำออกมาได้หลอนบวกกับเนื้อร้องที่ทำออกมาได้ลึกลับชวนค้นหา ทำให้นี่เป็นหนึ่งในแทร็คที่น่าจดจำที่สุดของอัลบั้มนี้เลยทีเดียว
ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่แทร็คนี้ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิลแรก ความรู้สึกตอนนั้นคือ งงระคนสงสัยว่ารอบนี้ Coldplay จะมาไม้ไหนกันอีก หลุดจากป็อปจะหันมาเอาดีทาง Ambient Electro กระนั้นหรือ ตอนนั้นรู้สึกไม่ประทับใจเอาเสียเลย พลางภาวนาให้แทร็คที่เหลืออย่ามาในแนวนี้ (distort เสียงร้อง) นี่น่าจะเป็นเพลงของ Coldplay ที่ผมให้โอกาสกับมันมากที่สุด แต่ท้ายที่สุด ฟังไปฟังมา กลับติดใจในบรรยากาศที่มืดมนซะอย่างนั้น อารมณ์ของเพลงให้ความรู้สึกเหมือนคนกำลังว่ายน้ำท่ามกลางความมืดมิดของยามรัตติกาล แต่สิ้นหวังเพราะมองไม่เห็นฝั่ง
★★★
6. Another's Arms
ยังคงดาร์กต่อไปกับเมโลดี้ที่ดำดิ่งสู่ห้วงอนธกาลแห่งความสิ้นหวัง อินโทรที่เปิดตัวด้วยเสียงหวูดร้องในความอ้างว้าง ตามมาด้วยเสียงนุ่มทุ้มลึกของคริส กับเนื้อเพลงที่ยังวนเวียนอยู่กับความหมกมุ่นในอดีตและความเจ็บปวดในปัจจุบัน ซาวนด์สังเคราะห์สลับกับเสียงกีตาร์พริ้มพรายช่วยเพิ่มไดนามิกให้กับเนื้อร้องมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวแล้ว นี่ไม่ใช่แทร็คโปรดที่ฟังบ่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟังทีไร ก็อดสะเทือนใจไปกับการสูญเสียคนรักไม่ได้ทุกที
★★★
7. Oceans
อคูสติกบัลลาดที่พาเราย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของวง ฟังแล้วก็ให้หวนนึกถึง Parachute ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดแรก ผมชอบทุกอย่างในแทร็คนี้ ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์อคูสติกคลอเสียงร้องเอื้อนแบบเนิบช้า ซาวนด์สังเคราะห์ที่ลอยมาเป็นฉากหลัง กลองอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเพิ่มความกลมกล่อมให้กับทำนองที่บาดลึก และเนื้อร้องที่พูดถึงการเตรียมใจยอมรับผลที่ตามมา “And I'm ready for it all love/ Ready for the pain”
นี่ถือเป็นเพลงรอยต่อระหว่างช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดของแทร็คทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนหน้า (แทร็คที่ 1-6) กับช่วงเวลาแห่งการเตรียมใจและการเริ่มต้นที่จะก้าวต่อไป (แทร็คที่ 8-9) และท่อนสุดท้ายของเพลงนี้นับเป็นการปูทางไปสู่แทร็คที่จะยกระดับโทนจากความหม่นเศร้าไปสู่ความกระปรี้ประเปร่าแห่ง EDM
★★★
8. A Sky Full of Stars
And I don't care, go on and tear me apart
And I don't care if you do
Cause in a sky cause in a sky full of stars
I think I saw you
เพลงอิเล็กโทรแดนซ์ที่ช่วยชีวิตอัลบั้มนี้ไว้ไม่ให้มีโทนหม่นหมองหรือเซื่องซึมเกินไป อันเป็นผลมาจากการได้ Avicii ดีเจชื่อดังก้องโลกชาวสวีเดนมาเป็นโปรดิวเซอร์รับเชิญให้
เพลงนี้เคยเป็นกระแสเล็ก ๆ ในหมู่แฟนเพลงอยู่พักหนึ่ง จากการที่ทางวงนำเพลงนี้มาเล่นสดก่อนที่จะตัดออกเป็นซิงเกิล แล้วคริสได้ขอไม่ให้ผู้ชมนำไปลงใน YouTube ก่อน แต่กระนั้นก็ยังมีผู้หวังดีหรืออาจอยากอวดว่าได้ฟังก่อนนำมาลง แล้วก็โดนแฟนเพลงที่ดีตำหนิไปตามระเบียบ และนั่นก็เป็นต้นเหตุของเสียงลือเล่าอ้างว่า A Sky Full of Stars คือเพลงที่ยอดเยี่ยมในแบบที่ Paradise ต้องการจะเป็น แต่พอได้ฟังจริง ๆ “มันก็ยังไม่ขนาดนั้นนี่หว่า”
แทร็ก EDM โดดเด่นด้วยเสียงเพียโนบัลลาด เติมกลิ่นโปรเกรสซีฟ เฮ้าส์จาง ๆ
ชัดเจนเหลือเกินว่า Coldplay ต้องการให้ A Sky Full of Stars เป็นอาวุธลับของอัลบั้มนี้ บางคนอาจมองว่าแทร็คนี้คือ “แกะดำ” เพราะมีโทนที่ฉีกไปจากทุกแทร็คในอัลบั้ม แต่ในภาคเนื้อหาแล้ว นี่ยังคงคอนเส็ปต์ของ Ghost Stories ไว้อย่างครบถ้วน เนื้อร้องดูจะอ้าแขนรับความเจ็บปวดไว้อย่างแช่มชื่น “ประมาณว่าเอาเลยที่รัก อยากทำร้ายฉันก็เชิญ” ราวกับจะบอกนัยว่าเมื่อชีวิตดิ่งลงถึงขีดสุด ก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากหาทางกลับขึ้นไปใหม่
★★★★
9. O (Fly On)
“Less is more.” เป็นประโยคแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากฟังเพลงนี้จบ ภาพรวมของแทร็คให้บรรยากาศที่สุขุมนุ่มลึกราวกับจะปลงตกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างซอฟท์ร็อคและแอมเบียนต์ คุณจะรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างลึก ๆ ที่ปะเดปะดังเข้ามาในเพลงราวกับคริสถวายหัวใจร้องยังไงยังงั้น และยังเป็นอีกเพลงหนึ่งที่มี Metaphor อ้างอิงถึงนกที่แทบทุกอัลบั้มจะขาดเสียไม่ได้
ความพิเศษของแทร็คนี้คือมีการแบ่งพาร์ทแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ “Fly On” (0:00–3:54) และ “O” (6:18–7:47) โดย Fly On จะเป็น hidden track ที่มาในรูปแบบของเพียโนบัลลาดซึ่งเราจะได้ยินจากท่อนอินโทร ส่วน O จะเป็นดนตรีแอมเบียนต์ที่อยู่ในช่วงท้ายแทร็ค ซึ่งบรรเลงคลอไปจนจบและเชื่อมต่อกับท่อนอินโทรของแทร็คแรก “Always in My Head” พอดี
สุดท้ายแล้ว นี่เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่สงวนทีท่าอย่างมีชั้นเชิง เพราะรวมเอาใจความสำคัญทั้งหมดของอัลบั้มนี้ไว้ นั่นคือ "Never give up" ดังที่คริสได้กล่าวไว้เมื่อครั้งให้สัมภาษณ์กับ Zane Lowe
และ Verse ท่อนนี้ก็เป็นเครื่องช่วยยืนยันคำกล่าวของเขาได้เป็นอย่างดี
Maybe one day I'll fly next to you
Fly on, ride through
Maybe one day I can fly with you
Fly on
★★★★
สรุปแล้ว ในแง่ของสุนทรียภาพด้านการฟัง ผมอยากจะยกให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของ Coldplay และน่าจะเป็นอัลบั้มที่เปิดฟังบ่อยที่สุด ผมชอบในความง่ายแต่ดูมีอะไรของงานชุดนี้ และการทดลองสไตล์ใหม่ ๆ ที่ปรากฏในหลาย ๆ แทร็คก็ทำได้ดี เพียงแต่มันยังไม่มีอะไรที่เหนือกว่างานเก่า ๆ เท่านั้นเอง
คะแนนทั้งอัลบั้ม: 3.5/5
รีวิวโดย: Mr.Blue
รีวิวอัลบั้ม: Coldplay - Ghost Stories ดื่มด่ำไปกับกระแสสำเนียงแห่งความเศร้า
(หมายเหตุ: คะแนนที่ให้กับความชอบส่วนตัวอาจจะสวนทางกัน เพราะให้คะแนนตามพัฒนาการทางดนตรี จึงไม่นำมาปะปนกับความชอบ)
Breakup Album ที่ทำออกได้ละเมียดละไม ทุกแทร็คร้อยเรียงกันอย่างเรียบเนียน เชื่อมต่อกันแทบจะเป็นเนื้อเดียว ฟังต่อกันได้จนจบโดยไม่สะดุดหู ถือเป็นอัลบั้มที่ฟังง่ายที่สุดของวง ส่วนตัวแล้วอยากให้นี่เป็นอัลบั้มเดี่ยวของคริส มาร์ตินไปเลย เพราะเนื้อร้องค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวของนักร้องนำ แต่ยังไงก็คงทำไม่ได้ เพราะวงนี้ประกาศแล้วว่าจะไม่มีการแยกออกไปทำ Solo Album
คอนเส็ปต์ของงานชุดนี้วนเวียนอยู่กับสองประเด็นหลัก คือ
การกระทำในอดีต เป็นการย้อนกลับไปมองว่าเราตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างไร และ
ผลลัพธ์จากการกระทำในอดีต ที่ยังคงตามมาหลอกหลอน ประดุจวิญญาณตามติดเหมือนชื่ออัลบั้ม เราจะปล่อยให้มันส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตของเราอย่างไร
อาจฟังดูลึกซึ้ง แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดทั้งปวงเกี่ยวข้องกับความรักอย่างเดียวเลย
1. Always in My Head
แทร็คเปิดอัลบั้มที่ไม่หวือหวาอลังการ แต่ทว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศล่องลอยชวนฝันราวกับบรรเลงในอควาเรียม เมโลดี้ให้ความรู้สึกเย็น สบาย ผ่อนคลายเหมาะแก่การหลับตาฟัง ดนตรีแนวแอมเบียนต์บวกกับเสียงร้องหลอนที่แทบจะกลืนไปกับบรรยากาศที่เพลงสร้างขึ้น
ภาคเนื้อหาอาจไม่ได้มีความพิเศษอะไร ถ้อยคำที่ใช้ออกจะพื้น ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะอินไปกับเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าในบทเพลง ขณะฟังไปก็พาลนึกถึงวลีที่ว่า "คิดถึงแทบขาดใจ" อาจฟังดูเวอร์ แต่สำหรับคนอกหัก ฟังแล้วอาจแทบดิ้นพราด
ภาคดนตรีเป็นส่วนที่ผมชอบมากที่สุด เพราะต่อให้ตัดเสียงร้องออกจนเหลือแค่ Instrumental ก็ยังไพเราะชวนเคลิบเคลิ้ม
แทร็คนี้อาจไม่มีจุดพีค ซึ่งแน่ล่ะว่าเป็นจุดเด่นของดนตรีแนวแอมเบียนต์ แต่บรรยากาศของเพลงก็ห่อคลุมและโอบอุ้มทั้งอัลบั้มไปจนถึงแทร็คสุดท้าย เพราะเราจะได้ยินเมโลดี้เดียวกันนี้จาก "O" ที่เป็นแทร็คสุดท้าย เป็นการวนลูปไปไม่สิ้นสุด ซึ่งเป็นกิมมิคที่ Coldplay เริ่มทำมาตั้งแต่ชุดที่ 4
★★★
2. Magic
เพลงป็อปฟังสบายที่ขับเคลื่อนด้วยริฟท์เบสและกลองสแนร์ตลอดทั้งแทร็ค ท่อนฮุคที่ฟังติดหูอย่างรวดเร็วทำให้เพลงนี้เป็นที่นิยมที่สุดเพลงหนึ่งในอัลบั้ม นี่เป็นแทร็คที่มีเมโลดี้เพราะพริ้งพองาม เรียบง่าย ไม่เล่นใหญ่ แม้เนื้อร้องจะพูดถึงความรักที่แตกสลายไป แต่ก็ไม่แสดงความรู้สึกฟูมฟายแต่อย่างใด บทเพลงพรรณนาถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ร่วมกับคนรักซึ่งคริสรู้สึกว่ามันช่างงดงามราวกับต้องมนต์
After all that we've been through
Still believe in magic
Oh yes I do
ซึ่งขณะที่ฟัง ผมรู้สึกได้ถึงด้านที่งดงามของการจากลา ยอมรับว่าช่วงแรกรู้สึกเฉย ๆ กับแทร็คนี้ เพราะคาดหวังว่าเพลงจะใส่จังหวะความพีคไปเรื่อย ๆ เหมือนกับ "Fix You" แต่ผมคิดผิด มันไม่มีส่วนที่ดึงอารมณ์คนฟังถึงขีดสุดก็จริง แต่บางสิ่งบางอย่างในเพลงนี้กลับเรียกร้องให้กด Replay ซ้ำ
เพลงของ Coldplay นี่แปลก แรกฟังจะไม่รู้สึกว่าไพเราะหรือชอบมากมาย แต่เมื่อให้เวลากับมัน ละเลียดฟังไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกติดค้างในใจจนต้องกลับมาฟังใหม่ แทร็คนี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ฟังซ้ำจะรู้สึกว่าเพราะขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละมั้งที่เรียกว่า Magic
★★★
3. Ink
แทร็คนี้เหมือนกับเป็นภาคต่อของ Magic เพราะการสอดประสานของบีทบวกกับเมโลดี้ที่มีจังหวะกระชับคล้ายคลึงกัน ในส่วนของภาคเนื้อหาและภาคดนตรียังไม่มีอะไรที่แตกต่างหรือโดดเด่นไปจากแทร็คก่อนหน้ามากมายนัก แม้จะไม่มีท่อนฮุคชวนให้จดจำ แต่ก็นับได้ว่าเป็นแทร็คที่ฟังง่ายและเป็นโหมโรงไปสู่ลำนำแห่งความเจ็บปวดในแทร็คถัดไป
★★
4. True Love
และแล้วก็มาถึงแทร็คที่คริสเปลือยความรู้สึกคร่ำครวญที่มีต่ออดีตคนรักอย่างไม่มีกั๊ก ด้วยท่อนอินโทรที่เปิดนำด้วยเสียงเกากีตาร์ แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นพีคสุดด้วยท่อนโซโลกีตาร์หวานซึ้ง ตั้งแต่ฟัง Coldplay มา ไม่ค่อยมีแทร็คไหนของวงที่จะบรรเลงท่อนโซโลกีตาร์ที่หวานเสียดอารมณ์ได้ขนาดนี้ หากแต่นี่ไม่ใช่หวานเลี่ยน แต่เป็นความหวานปะแล่มเจือด้วยรสชาติอันขื่นขม
เนื้อเพลงสรุปออกมาได้วลีเดียวคือ "ความเจ็บปวดสุดหฤหรรษ์"
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไม่อินกับท่อนที่ว่า "Just tell me you love me/ If you don't, then lie/ Oh, lie to me." ซึ่งอาจเป็นเพราะได้ยินเนื้อร้องแบบนี้จากเพลงไทยจนเบื่อแล้วก็เป็นได้ ส่วนตัวแล้วชอบแทร็คนี้ที่ภาคดนตรีล้วน ๆ ริฟท์กีตาร์ของจอหน์นี่โดดเด่นเป็นประกายมาก ๆ
★★★
5. Midnight
แทร็คแนวทดลองของวงที่ทำออกมาได้คมคายแม้จะฟังครั้งแรกไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม นี่เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่เปิดตัวออกมาได้ชวนว้าวสำหรับคนที่ชื่นชอบ และชวนเหวอสำหรับคนที่ยึดติดกับสไตล์เก่า ๆ ของวง ทั้งยังอุดมไปด้วยซาวนด์สังเคราะห์ บรรยากาศล่องลอยแบบแอมเบียนต์ การ distort เสียงร้อง ซาวนด์ใหม่ของวงได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับงานเก่า ๆ ของ Bon Iver และ Justin Vernon ว่ามีความคล้ายคลึงกัน ภาคดนตรีทำออกมาได้หลอนบวกกับเนื้อร้องที่ทำออกมาได้ลึกลับชวนค้นหา ทำให้นี่เป็นหนึ่งในแทร็คที่น่าจดจำที่สุดของอัลบั้มนี้เลยทีเดียว
ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่แทร็คนี้ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิลแรก ความรู้สึกตอนนั้นคือ งงระคนสงสัยว่ารอบนี้ Coldplay จะมาไม้ไหนกันอีก หลุดจากป็อปจะหันมาเอาดีทาง Ambient Electro กระนั้นหรือ ตอนนั้นรู้สึกไม่ประทับใจเอาเสียเลย พลางภาวนาให้แทร็คที่เหลืออย่ามาในแนวนี้ (distort เสียงร้อง) นี่น่าจะเป็นเพลงของ Coldplay ที่ผมให้โอกาสกับมันมากที่สุด แต่ท้ายที่สุด ฟังไปฟังมา กลับติดใจในบรรยากาศที่มืดมนซะอย่างนั้น อารมณ์ของเพลงให้ความรู้สึกเหมือนคนกำลังว่ายน้ำท่ามกลางความมืดมิดของยามรัตติกาล แต่สิ้นหวังเพราะมองไม่เห็นฝั่ง
★★★
6. Another's Arms
ยังคงดาร์กต่อไปกับเมโลดี้ที่ดำดิ่งสู่ห้วงอนธกาลแห่งความสิ้นหวัง อินโทรที่เปิดตัวด้วยเสียงหวูดร้องในความอ้างว้าง ตามมาด้วยเสียงนุ่มทุ้มลึกของคริส กับเนื้อเพลงที่ยังวนเวียนอยู่กับความหมกมุ่นในอดีตและความเจ็บปวดในปัจจุบัน ซาวนด์สังเคราะห์สลับกับเสียงกีตาร์พริ้มพรายช่วยเพิ่มไดนามิกให้กับเนื้อร้องมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวแล้ว นี่ไม่ใช่แทร็คโปรดที่ฟังบ่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟังทีไร ก็อดสะเทือนใจไปกับการสูญเสียคนรักไม่ได้ทุกที
★★★
7. Oceans
อคูสติกบัลลาดที่พาเราย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของวง ฟังแล้วก็ให้หวนนึกถึง Parachute ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดแรก ผมชอบทุกอย่างในแทร็คนี้ ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์อคูสติกคลอเสียงร้องเอื้อนแบบเนิบช้า ซาวนด์สังเคราะห์ที่ลอยมาเป็นฉากหลัง กลองอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเพิ่มความกลมกล่อมให้กับทำนองที่บาดลึก และเนื้อร้องที่พูดถึงการเตรียมใจยอมรับผลที่ตามมา “And I'm ready for it all love/ Ready for the pain”
นี่ถือเป็นเพลงรอยต่อระหว่างช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดของแทร็คทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนหน้า (แทร็คที่ 1-6) กับช่วงเวลาแห่งการเตรียมใจและการเริ่มต้นที่จะก้าวต่อไป (แทร็คที่ 8-9) และท่อนสุดท้ายของเพลงนี้นับเป็นการปูทางไปสู่แทร็คที่จะยกระดับโทนจากความหม่นเศร้าไปสู่ความกระปรี้ประเปร่าแห่ง EDM
★★★
8. A Sky Full of Stars
And I don't care if you do
Cause in a sky cause in a sky full of stars
I think I saw you
เพลงอิเล็กโทรแดนซ์ที่ช่วยชีวิตอัลบั้มนี้ไว้ไม่ให้มีโทนหม่นหมองหรือเซื่องซึมเกินไป อันเป็นผลมาจากการได้ Avicii ดีเจชื่อดังก้องโลกชาวสวีเดนมาเป็นโปรดิวเซอร์รับเชิญให้
เพลงนี้เคยเป็นกระแสเล็ก ๆ ในหมู่แฟนเพลงอยู่พักหนึ่ง จากการที่ทางวงนำเพลงนี้มาเล่นสดก่อนที่จะตัดออกเป็นซิงเกิล แล้วคริสได้ขอไม่ให้ผู้ชมนำไปลงใน YouTube ก่อน แต่กระนั้นก็ยังมีผู้หวังดีหรืออาจอยากอวดว่าได้ฟังก่อนนำมาลง แล้วก็โดนแฟนเพลงที่ดีตำหนิไปตามระเบียบ และนั่นก็เป็นต้นเหตุของเสียงลือเล่าอ้างว่า A Sky Full of Stars คือเพลงที่ยอดเยี่ยมในแบบที่ Paradise ต้องการจะเป็น แต่พอได้ฟังจริง ๆ “มันก็ยังไม่ขนาดนั้นนี่หว่า”
แทร็ก EDM โดดเด่นด้วยเสียงเพียโนบัลลาด เติมกลิ่นโปรเกรสซีฟ เฮ้าส์จาง ๆ
ชัดเจนเหลือเกินว่า Coldplay ต้องการให้ A Sky Full of Stars เป็นอาวุธลับของอัลบั้มนี้ บางคนอาจมองว่าแทร็คนี้คือ “แกะดำ” เพราะมีโทนที่ฉีกไปจากทุกแทร็คในอัลบั้ม แต่ในภาคเนื้อหาแล้ว นี่ยังคงคอนเส็ปต์ของ Ghost Stories ไว้อย่างครบถ้วน เนื้อร้องดูจะอ้าแขนรับความเจ็บปวดไว้อย่างแช่มชื่น “ประมาณว่าเอาเลยที่รัก อยากทำร้ายฉันก็เชิญ” ราวกับจะบอกนัยว่าเมื่อชีวิตดิ่งลงถึงขีดสุด ก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากหาทางกลับขึ้นไปใหม่
★★★★
9. O (Fly On)
“Less is more.” เป็นประโยคแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากฟังเพลงนี้จบ ภาพรวมของแทร็คให้บรรยากาศที่สุขุมนุ่มลึกราวกับจะปลงตกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างซอฟท์ร็อคและแอมเบียนต์ คุณจะรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างลึก ๆ ที่ปะเดปะดังเข้ามาในเพลงราวกับคริสถวายหัวใจร้องยังไงยังงั้น และยังเป็นอีกเพลงหนึ่งที่มี Metaphor อ้างอิงถึงนกที่แทบทุกอัลบั้มจะขาดเสียไม่ได้
ความพิเศษของแทร็คนี้คือมีการแบ่งพาร์ทแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ “Fly On” (0:00–3:54) และ “O” (6:18–7:47) โดย Fly On จะเป็น hidden track ที่มาในรูปแบบของเพียโนบัลลาดซึ่งเราจะได้ยินจากท่อนอินโทร ส่วน O จะเป็นดนตรีแอมเบียนต์ที่อยู่ในช่วงท้ายแทร็ค ซึ่งบรรเลงคลอไปจนจบและเชื่อมต่อกับท่อนอินโทรของแทร็คแรก “Always in My Head” พอดี
สุดท้ายแล้ว นี่เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่สงวนทีท่าอย่างมีชั้นเชิง เพราะรวมเอาใจความสำคัญทั้งหมดของอัลบั้มนี้ไว้ นั่นคือ "Never give up" ดังที่คริสได้กล่าวไว้เมื่อครั้งให้สัมภาษณ์กับ Zane Lowe
และ Verse ท่อนนี้ก็เป็นเครื่องช่วยยืนยันคำกล่าวของเขาได้เป็นอย่างดี
Fly on, ride through
Maybe one day I can fly with you
Fly on
★★★★
สรุปแล้ว ในแง่ของสุนทรียภาพด้านการฟัง ผมอยากจะยกให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของ Coldplay และน่าจะเป็นอัลบั้มที่เปิดฟังบ่อยที่สุด ผมชอบในความง่ายแต่ดูมีอะไรของงานชุดนี้ และการทดลองสไตล์ใหม่ ๆ ที่ปรากฏในหลาย ๆ แทร็คก็ทำได้ดี เพียงแต่มันยังไม่มีอะไรที่เหนือกว่างานเก่า ๆ เท่านั้นเอง
คะแนนทั้งอัลบั้ม: 3.5/5
รีวิวโดย: Mr.Blue