ต่อจากกระทู้เก่า
http://ppantip.com/topic/35270740
สรุปคือ เท่าที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต สังคมมนุษย์โดยทั่วไปไม่ได้คาดหวังว่าคนเราจะฝึกจิตจนบริสุทธิ์ผ่องใสได้ ไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม ดังนั้นในระดับทั่วๆ ไป ( โลกียชน ) จึงให้ดูกาลเทศะพอ จะพูดจะทำอะไรที่มันหมิ่นเหม่ ให้ไปทำที่ลับอย่าทำที่แจ้ง อย่างเรื่องกินเหล้า นินทา พูดจาหยาบคาย ฯลฯ
ทีนี้ปัญหาคือ เดี๋ยวนี้ ( อาจจะ ) ไม่มีที่ลับในโลกอีกแล้ว จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก จะที่ไหนเมื่อไรก็อาจจะหลุดออกมาได้ทั้งนั้น และถ้าหลุดออกมา ไม่ว่าจะคาบเกี่ยวกับการทำหน้าที่หรือไม่ แต่สังคมก็ไม่ยอมรับอีกต่อไป
ประเด็นคือ บาง คห. ในกระทู้เก่าผม เชื่อว่า
"จิตบริสุทธิ์" ไม่อาฆาต ไม่อิจฉา ไม่นินทาว่าร้าย ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ฯลฯ สามารถ
"ฝึกได้" ขณะที่ผมเชื่อว่าถึงฝึกแต่ก็คงมีน้อยถึงน้อยคนที่จะทำได้
ขนาดในสมัยพุทธกาล คนที่เข้าถึงโสดาบัน ( ขั้นต่ำสุดของการลด ละ เลิกกิเลส ตามเป้าหมายของพุทธศาสนา ) ยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรมนุษย์ในยุคนั้น ทั้งที่คนสมัยก่อนมีสิ่งเร้ากระตุ้นอารมณ์น้อยกว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ ส่วนยุคนี้ ความถี่ของการรับสื่อต่างๆ ทำให้อารมณ์เตลิดต่อเนื่องจนคุมแทบไม่อยู่
ไม่ต้องดูอื่นไกล ย้อนไปแค่ 10 ปี การ
"รักแฟนคนอื่น" เป็นสิ่งที่ผิด พูดไม่ได้ โดนประณาม แต่ตอนนี้ไปดูในเฟสในเพจต่างๆ คำคมประเภทท้าทาย-เชื้อเชิญให้นอกใจ เป็นชู้ แย่งผัวแย่งเมียนี่มีเกลื่อน กลายเป็นเรื่องเท่เรื่องธรรมดาไปแล้ว หรือพวกเพจการเมือง เดี๋ยวนี้แทบจะถูกปลุกระดมกันทุกนาทีด้วยซ้ำ เหลืองก็สิงเพจเหลือง แดงก็สิงเพจแดง สุมหัวกันเสพ Hate Speech ด่าทอนินทาขู่อาฆาตมาดร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จนติดเป็นนิสัยลามไปใช้ในที่อื่นๆ ทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง
กรณีของผม อาจไม่เชิงการเมืองโดยตรง แต่ยอมรับว่าผมทำลาย
"โทสะและโมหะ" ในตัวไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ เกิดมาก็อิจฉาคนอื่นแล้ว เจอเรื่องอะไรไม่ถูกใจก็บ่นแล้วออกอาการแล้ว
เถียงได้ก็เถียง เถียงไม่ได้ก็กัดฟันกรอดๆ
( แต่แปลกที่ผมไม่โลภนะ เป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยอยากได้อะไรหรูหรามีค่าราคาแพงเท่าไร คือจิตฝังอยู่กับโกรธและหลงล้วนๆ )
ยิ่งพอเล่นอินเตอร์เน็ตได้ยิ่งหนัก อย่างที่เห็นแหละครับ ถ้าอยู่นอกเวลางาน ผมหมกตัวกับหน้าจอประจำ เจอ คห. ไหนไม่ตรงใจตัวนี่ต้องเถียงต้องแย้ง ทะเลาะก่อดราม่าเสมอ ( เดี๋ยวนี้เพลาๆ ลงตามอายุ แต่ใจยังร้อนรุ่มอยู่ตลอด ) เห็นคนนั้นดีก็หงุดหงิด เห็นคนนี้เด่นก็อิจฉา อาการหนักขนาดใครเอาศาสนามาเทศน์มาสอนนี่แทบจะไล่ไปด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่กระทบกับงานนะครับ หน้าที่คือหน้าที่ ผมไม่เคยเอานิสัยพวกนี้ไปเกี่ยว แต่นอกเวลานี่คือมาเต็ม บ่นไปเรื่อยร้อนรุ่มไปเรื่อย
ขณะที่ผมพิมพ์กระทู้นี้ก็เช่นกัน คือหงุดหงิดมากนะครับเวลาเห็นใครบอกว่าจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไร้โลภโกรธหลงนั้นใครก็ฝึกกันได้ เพราะไม่เชื่อเช่นนั้น ถ้าใครๆ ก็ฝึกได้จริงสังคมมนุษย์คงสงบสุขกว่านี้ไปแล้ว ไม่วุ่นวายรายวันหรอกครับ
ผมเชื่อแค่ว่า..คนทั่วไปส่วนใหญ่อาจจะแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานได้ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำตอนไหน ( สิ่งที่สังคมไม่ปลื้มเลยไปทำกันลับๆ แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม ) แต่ผมไม่เชื่อว่าการฝึกจิตให้ปราศจากด้านมืดจะทำกันได้ง่ายๆ เป็นส่วนใหญ่
จึงสงสัยว่า..สำหรับคนที่เชื่อว่าจิตบริสุทธิ์ใครก็ฝึกได้ ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น แล้วเขาทำกันยังไง โดยเฉพาะในยุคที่มีความถี่ในการรับสิ่งเร้ามากขึ้นแบบนี้ครับ
จิตที่บริสุทธิ์ใครๆ ก็ฝึกกันได้หรือ? ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น?
สรุปคือ เท่าที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต สังคมมนุษย์โดยทั่วไปไม่ได้คาดหวังว่าคนเราจะฝึกจิตจนบริสุทธิ์ผ่องใสได้ ไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม ดังนั้นในระดับทั่วๆ ไป ( โลกียชน ) จึงให้ดูกาลเทศะพอ จะพูดจะทำอะไรที่มันหมิ่นเหม่ ให้ไปทำที่ลับอย่าทำที่แจ้ง อย่างเรื่องกินเหล้า นินทา พูดจาหยาบคาย ฯลฯ
ทีนี้ปัญหาคือ เดี๋ยวนี้ ( อาจจะ ) ไม่มีที่ลับในโลกอีกแล้ว จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก จะที่ไหนเมื่อไรก็อาจจะหลุดออกมาได้ทั้งนั้น และถ้าหลุดออกมา ไม่ว่าจะคาบเกี่ยวกับการทำหน้าที่หรือไม่ แต่สังคมก็ไม่ยอมรับอีกต่อไป
ประเด็นคือ บาง คห. ในกระทู้เก่าผม เชื่อว่า "จิตบริสุทธิ์" ไม่อาฆาต ไม่อิจฉา ไม่นินทาว่าร้าย ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ฯลฯ สามารถ "ฝึกได้" ขณะที่ผมเชื่อว่าถึงฝึกแต่ก็คงมีน้อยถึงน้อยคนที่จะทำได้
ขนาดในสมัยพุทธกาล คนที่เข้าถึงโสดาบัน ( ขั้นต่ำสุดของการลด ละ เลิกกิเลส ตามเป้าหมายของพุทธศาสนา ) ยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรมนุษย์ในยุคนั้น ทั้งที่คนสมัยก่อนมีสิ่งเร้ากระตุ้นอารมณ์น้อยกว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ ส่วนยุคนี้ ความถี่ของการรับสื่อต่างๆ ทำให้อารมณ์เตลิดต่อเนื่องจนคุมแทบไม่อยู่
ไม่ต้องดูอื่นไกล ย้อนไปแค่ 10 ปี การ "รักแฟนคนอื่น" เป็นสิ่งที่ผิด พูดไม่ได้ โดนประณาม แต่ตอนนี้ไปดูในเฟสในเพจต่างๆ คำคมประเภทท้าทาย-เชื้อเชิญให้นอกใจ เป็นชู้ แย่งผัวแย่งเมียนี่มีเกลื่อน กลายเป็นเรื่องเท่เรื่องธรรมดาไปแล้ว หรือพวกเพจการเมือง เดี๋ยวนี้แทบจะถูกปลุกระดมกันทุกนาทีด้วยซ้ำ เหลืองก็สิงเพจเหลือง แดงก็สิงเพจแดง สุมหัวกันเสพ Hate Speech ด่าทอนินทาขู่อาฆาตมาดร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จนติดเป็นนิสัยลามไปใช้ในที่อื่นๆ ทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง
กรณีของผม อาจไม่เชิงการเมืองโดยตรง แต่ยอมรับว่าผมทำลาย "โทสะและโมหะ" ในตัวไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ เกิดมาก็อิจฉาคนอื่นแล้ว เจอเรื่องอะไรไม่ถูกใจก็บ่นแล้วออกอาการแล้ว
เถียงได้ก็เถียง เถียงไม่ได้ก็กัดฟันกรอดๆ
( แต่แปลกที่ผมไม่โลภนะ เป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยอยากได้อะไรหรูหรามีค่าราคาแพงเท่าไร คือจิตฝังอยู่กับโกรธและหลงล้วนๆ )
ยิ่งพอเล่นอินเตอร์เน็ตได้ยิ่งหนัก อย่างที่เห็นแหละครับ ถ้าอยู่นอกเวลางาน ผมหมกตัวกับหน้าจอประจำ เจอ คห. ไหนไม่ตรงใจตัวนี่ต้องเถียงต้องแย้ง ทะเลาะก่อดราม่าเสมอ ( เดี๋ยวนี้เพลาๆ ลงตามอายุ แต่ใจยังร้อนรุ่มอยู่ตลอด ) เห็นคนนั้นดีก็หงุดหงิด เห็นคนนี้เด่นก็อิจฉา อาการหนักขนาดใครเอาศาสนามาเทศน์มาสอนนี่แทบจะไล่ไปด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่กระทบกับงานนะครับ หน้าที่คือหน้าที่ ผมไม่เคยเอานิสัยพวกนี้ไปเกี่ยว แต่นอกเวลานี่คือมาเต็ม บ่นไปเรื่อยร้อนรุ่มไปเรื่อย
ขณะที่ผมพิมพ์กระทู้นี้ก็เช่นกัน คือหงุดหงิดมากนะครับเวลาเห็นใครบอกว่าจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไร้โลภโกรธหลงนั้นใครก็ฝึกกันได้ เพราะไม่เชื่อเช่นนั้น ถ้าใครๆ ก็ฝึกได้จริงสังคมมนุษย์คงสงบสุขกว่านี้ไปแล้ว ไม่วุ่นวายรายวันหรอกครับ
ผมเชื่อแค่ว่า..คนทั่วไปส่วนใหญ่อาจจะแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานได้ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำตอนไหน ( สิ่งที่สังคมไม่ปลื้มเลยไปทำกันลับๆ แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม ) แต่ผมไม่เชื่อว่าการฝึกจิตให้ปราศจากด้านมืดจะทำกันได้ง่ายๆ เป็นส่วนใหญ่
จึงสงสัยว่า..สำหรับคนที่เชื่อว่าจิตบริสุทธิ์ใครก็ฝึกได้ ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น แล้วเขาทำกันยังไง โดยเฉพาะในยุคที่มีความถี่ในการรับสิ่งเร้ามากขึ้นแบบนี้ครับ