หลายวันก่อนเห็นข่าวเรื่อง หน่วยงานของไทย เล็งห้ามปล่อยห้องในคอนโดเป็นที่พักรายวัน เพราะเป็นการใช้งานอาคารผิดประเภท (จากคอนโดกลายเป็นโรงแรม) โดยเฉพาะที่ปล่อยห้องผ่านช่องทาง airbnb ซึ่งเป็น website บริหารจัดการห้องพักระดับโลก ด้วยแนวคิดสุดล้ำแบบ sharing economy ที่ช่วยให้คนที่มีห้องว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาสร้างรายได้ใหม่ๆ
ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับกรณีความล้าหลังของบางหน่วยงานรัฐ ที่ห้าม uber มาใช้งานเรียก taxi ในไทยแบบดื้อๆ โดยไม่ได้เรียนรู้ว่าจะปรับตัวอยู่กับเทคโนโลยีอย่างไร
คนที่ถกเถียงกันเรื่องปล่อยห้องใน airbnb แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
กลุ่มที่หนึ่ง คือ คนที่ซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มนี้ไม่ชอบการปล่อยเช่ารายวันแน่นอน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่มีคนแวะเวียนมาอยู่ไม่ซ้ำหน้า ยิ่งถ้าเจอพวกพี่มืดร่างยักษ์ หรือนักท่องเที่ยวมารยาทอ่อนอบรม ก็ยิ่งจิตตก...
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มซื้อคอนโดเพื่อลงทุนปล่อยเช่า กลุ่มนี้ไม่เกี่ยงเรื่องปล่อยห้องเช่าระยะสั้น เพราะได้เงินดีกว่าปล่อยเป็นรายเดือน หรือรายปีเสียอีก
แน่นอนว่าคนสองกลุ่มนี้ อย่างไรเสียก็ต้องอยู่ร่วมกันในคอนโดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การห้ามไม่ให้นักลงทุน มาปล่อยเช่าห้องระยะสั้น ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะกลุ่มนี้ ก็มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว...
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจไม่ทราบว่า airbnb นั้น มีระบบป้องกันความเสียหายที่ดีมาก โดยเราสามารถหักเงินประกันผู้เช่าเป็นเงินตั้งแต่ 100-50,000 US dollar และในกรณีที่เกิดความเสียหาย เราสามารถเรียกร้องเงินประกันจากแขกผ่านทาง airbnb ภายใน 24 ชั่วโมง และ "ทุกคน" ที่ต้องการเป็นสมาชิกใน airbnb จะต้องยืนยันตัวตนด้วยการใส่หมายเลขโทรศัพท์, สแกนพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชน หรือ ใบขับขี่ รวมถึงใส่ลงทะเบียน facebook identity ด้วยอย่างครบถ้วน (เรียกว่าเก็บข้อมูลมากกว่าโรงแรมห้าดาวปรกติเสียอีก)
ในฐานะของคนที่เคยเป็นทั้งผู้อยู่อาศัยในคอนโด และผู้ที่ได้รายได้จาก airbnb (แต่กรณีของผมเป็นเจ้าของ hostel ใน airbnb)
ผมขอเสนอทางออกคร่าวๆ เท่าที่นึกออกได้ในตอนนี้ คือ
1. ลงทะเบียนเจ้าของห้อง
เจ้าของห้องจะต้องลงทะเบียนตัวเอง ยืนยันตัวตนของคุณ เข้ากับนิติบุคคลของคอนโด (เบอร์โทรศัพท์ / email / facebook / บัตรประชาชน) และหากเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้น เช่น แขกใช้ห้องผิดประเภท / แขกไร้มารยาท ส่งเสียงดังยามวิกาล เพื่อนบ้านสามารถโทรไปร้องเรียนกับคุณได้...นั่นจะเป็นการบังคับให้เจ้าของห้อง ต้อง screen คุณภาพลูกค้าด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ใครที่จ่ายเงินก็สามารถมาพักได้ทุกกรณี
2. จ่ายค่าประกันความเสียหาย
ออกกฎบังคับ ให้เจ้าของห้องที่ปล่อยเช่า ต้องจ่ายเงิน "ค่าประกันความเสียหาย" ที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินส่วนรวม ที่ครอบคลุมวงเงินสักประมาณ 100 เท่าของค่าเช่ารายเดือน ผมคิดว่าน่าจะมีบริษัทประกันนำเสนอกรมธรรพ์ในทำนองนี้อยู่
3. ค่าส่วนกลาง extra charge
ควรจะมีการเก็บค่าส่วนกลาง rate พิเศษ นักลงทุนคอนโดปล่อยเช่าควรจะต้องจ่ายแพงกว่าผู้อยู่อาศัยโดยทั่วไปสักเล็กน้อย เพราะถือว่าได้ผลประโยชน์จากทรัพย์นี้ มากกว่ากลุ่มผู้อยู่อาศัยเอง
ท่ามกลางโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิเสธ airbnb ด้วยการออกกฎหมายห้ามคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี สิ่งที่ควรถกเถียงกันก็คือว่า เราจะสามารถหาผลประโยชน์จากมันได้อย่างไร? โดยที่คนทั้งสองกลุ่ม จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกันและกันมากจนเกินไปนัก...
:::AIRBNB : HOW TO LIVE TOGETHER IN THE SHARING ECONOMY - ข้อเสนอเพื่อการอยู่ร่วมกันในเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน:::
ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับกรณีความล้าหลังของบางหน่วยงานรัฐ ที่ห้าม uber มาใช้งานเรียก taxi ในไทยแบบดื้อๆ โดยไม่ได้เรียนรู้ว่าจะปรับตัวอยู่กับเทคโนโลยีอย่างไร
คนที่ถกเถียงกันเรื่องปล่อยห้องใน airbnb แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
กลุ่มที่หนึ่ง คือ คนที่ซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มนี้ไม่ชอบการปล่อยเช่ารายวันแน่นอน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่มีคนแวะเวียนมาอยู่ไม่ซ้ำหน้า ยิ่งถ้าเจอพวกพี่มืดร่างยักษ์ หรือนักท่องเที่ยวมารยาทอ่อนอบรม ก็ยิ่งจิตตก...
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มซื้อคอนโดเพื่อลงทุนปล่อยเช่า กลุ่มนี้ไม่เกี่ยงเรื่องปล่อยห้องเช่าระยะสั้น เพราะได้เงินดีกว่าปล่อยเป็นรายเดือน หรือรายปีเสียอีก
แน่นอนว่าคนสองกลุ่มนี้ อย่างไรเสียก็ต้องอยู่ร่วมกันในคอนโดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การห้ามไม่ให้นักลงทุน มาปล่อยเช่าห้องระยะสั้น ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะกลุ่มนี้ ก็มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว...
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจไม่ทราบว่า airbnb นั้น มีระบบป้องกันความเสียหายที่ดีมาก โดยเราสามารถหักเงินประกันผู้เช่าเป็นเงินตั้งแต่ 100-50,000 US dollar และในกรณีที่เกิดความเสียหาย เราสามารถเรียกร้องเงินประกันจากแขกผ่านทาง airbnb ภายใน 24 ชั่วโมง และ "ทุกคน" ที่ต้องการเป็นสมาชิกใน airbnb จะต้องยืนยันตัวตนด้วยการใส่หมายเลขโทรศัพท์, สแกนพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชน หรือ ใบขับขี่ รวมถึงใส่ลงทะเบียน facebook identity ด้วยอย่างครบถ้วน (เรียกว่าเก็บข้อมูลมากกว่าโรงแรมห้าดาวปรกติเสียอีก)
ในฐานะของคนที่เคยเป็นทั้งผู้อยู่อาศัยในคอนโด และผู้ที่ได้รายได้จาก airbnb (แต่กรณีของผมเป็นเจ้าของ hostel ใน airbnb)
ผมขอเสนอทางออกคร่าวๆ เท่าที่นึกออกได้ในตอนนี้ คือ
1. ลงทะเบียนเจ้าของห้อง
เจ้าของห้องจะต้องลงทะเบียนตัวเอง ยืนยันตัวตนของคุณ เข้ากับนิติบุคคลของคอนโด (เบอร์โทรศัพท์ / email / facebook / บัตรประชาชน) และหากเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้น เช่น แขกใช้ห้องผิดประเภท / แขกไร้มารยาท ส่งเสียงดังยามวิกาล เพื่อนบ้านสามารถโทรไปร้องเรียนกับคุณได้...นั่นจะเป็นการบังคับให้เจ้าของห้อง ต้อง screen คุณภาพลูกค้าด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ใครที่จ่ายเงินก็สามารถมาพักได้ทุกกรณี
2. จ่ายค่าประกันความเสียหาย
ออกกฎบังคับ ให้เจ้าของห้องที่ปล่อยเช่า ต้องจ่ายเงิน "ค่าประกันความเสียหาย" ที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินส่วนรวม ที่ครอบคลุมวงเงินสักประมาณ 100 เท่าของค่าเช่ารายเดือน ผมคิดว่าน่าจะมีบริษัทประกันนำเสนอกรมธรรพ์ในทำนองนี้อยู่
3. ค่าส่วนกลาง extra charge
ควรจะมีการเก็บค่าส่วนกลาง rate พิเศษ นักลงทุนคอนโดปล่อยเช่าควรจะต้องจ่ายแพงกว่าผู้อยู่อาศัยโดยทั่วไปสักเล็กน้อย เพราะถือว่าได้ผลประโยชน์จากทรัพย์นี้ มากกว่ากลุ่มผู้อยู่อาศัยเอง
ท่ามกลางโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิเสธ airbnb ด้วยการออกกฎหมายห้ามคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี สิ่งที่ควรถกเถียงกันก็คือว่า เราจะสามารถหาผลประโยชน์จากมันได้อย่างไร? โดยที่คนทั้งสองกลุ่ม จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกันและกันมากจนเกินไปนัก...