เกริ่นเบสิคสั้นๆก่อนครับ
ปกติร่างกายเรามีระบบภูมิคุ้มกันไว้ต่อต้านทำลายเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมที่เข้าร่างกายเรา
ทว่าในบางคนที่เจอสิ่งแปลกปลอมเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แต่ภูมิคุ้มกันก็ดันทำงานขึ้นมา ทำให้เกิดการอักเสบโดยไม่จำเป็น เราเรียกว่า ภูมิแพ้ครับ
โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ คือ โรคภูมิแพ้ที่ไปมีอาการในเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดการอักเสบ แล้วมีอาการทางจมูก เช่น คัดจมูก คัน น้ำมูกไหล จาม จนมีผลกับชีวิตของคนไข้ เช่น การเรียน การทำงานแย่ลง หรือนอนไม่หลับ
ส่วนใหญ่โรคนี้ไม่รุนแรง และไม่ส่งผลกับชีวิตเรามากนักครับ
แต่บางคนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คือคนที่มีโรคร่วม ที่มักเกิดกับโรคภูมิแพ้จมูก แต่รบกวนชีวิตและอันตรายมากกว่า ที่พบบ่อยคือ หอบหืด นอนกรน หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ในกลุ่มพวกนี้เราจำเป็นต้องรักษาภูมิแพ้จมูกอักเสบให้ดีเป็นพิเศษ เพราะมีหลักฐานยืนยันแล้วว่าการรักษาโรคภูมิแพ้ที่ดี จะช่วยลดโอกาสเกิด และลดความรุนแรงของโรคร่วมพวกนี้ได้ครับ
สั้นๆเกี่ยวกับโรคร่วม ที่พบได้บ่อย
หอบหืด
เป็นโรคเกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากผิดปกติเช่นเดียวกัน โดยไปออกอาการที่หลอดลมในปอด ทำให้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และหดตัวเป็นบางเวลา ทำให้เรารู้สึกหายใจไม่สะดวก
หากปล่อยไว้นาน หลอดลมจะอักเสบมากจนกลายเป็นผังผืด อาการจะแย่ลงมากขึ้น และไม่ค่อยตอบสนองต่อยารักษาครับ
เป็นโรคอันดับแรกที่จะรบกวนชีวิตของเรามากที่สุด การเริ่มดูแลตัวเอง และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยยับยั้งไม่ให้ตัวโรคแย่ลงครับ
ต่อม Adenoid บวม และนอนกรน
โรคนี้ที่เกิดจากภูมิต้านทานทำงานมากผิดปกติเช่นกัน โดยไปมีอาการที่ต่อม adenoid ที่ปกติคอยทำงานต้านเชื้อโรคทางปาก ทำให้ต่อมบวมขึ้น ในที่สุดก็บวมจนอุดกันทางเดินหายใจบางส่วน ทำให้เกิดโรคนอนกรนครับ
เยื่อตาอักเสบ
กรณีนี้ภูมิต้านทานที่ทำงานมากไปออกอาการที่เยื่อบุตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบบ่อยโดยไม่จำเป็น (ไม่ได้มีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม) ทำให้เรามีอาการคันตา ตาแดง ตาไม่สู้แสงบ่อยๆ ซึ่งรบกวนคุณภาพชีวิตและการทำงานมากครับ
การรักษา
เมื่อภูมิแพ้ เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไปโดยไม่จำเป็น
หลักการรักษาง่ายๆแค่ 2 อย่างครับ
1.ลดสิ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
2ลดการทำงานของภูมิคุ้มกัน
ลดสิ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
คือการเฝ้าสังเกตว่าอะไรที่เราไปสัมผัส แล้วทำให้มีอาการภูมิแพ้ขึ้นมา
ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ อาหาร เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง ดอกไม้ แมลง
การจะระบุได้ว่าเราแพ้อะไรบางทีก็เป็นเรื่องยากจริงๆครับ แต่ก็ควรลองสังเกตดู เพื่อว่าถ้าพบจะได้หลีกเลี่ยงได้ อาการก็อาจหายไปเป็นปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาครับ
นอกจากนี้ปัจจุบันเรามีเครื่องทดสอบมากมาย ที่ช่วยให้ระบุได้ว่าเราแพ้อะไร เช่น การนำสารกระตุ้นมาจิ้มลงบนแขน แล้วดูปฎิกริยาที่เกิดขึ้น หรือ Prick test
ลดการทำงานของภูมิคุ้มกัน
การใช้ยา
ควรใช้ยาต่อเมื่อ ใช้การลดสิ่งกระตุ้นแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นครับ
การใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงของอาการเป็นหลัก คือ
-เป็นครั้งคราว หรือเป็นตลอด
ครั้งคราว (Intermittent) - มีอาการน้อยกว่า 4 วัน / สัปดาห์ หรือ เป็นติดกันน้อยกว่า 4 สัปดาห์
เป็นตลอด (Persistent) - มีอาการมากกว่า 4 วัน / สัปดาห์ หรือ เป็นติดกันมากกว่า 4 สัปดาห์
-เป็นเบา(Mild) หรือมาก (Severe)
ง่ายๆก็คือ เรารู้สึกว่าโรคนี้รบกวนชีวิตเรามากไหม ถ้ามากก็คือหนักครับ ถ้าไม่มากก็คือเบา
ในกลุ่มที่เป็นครั้งคราว และเบา
ยาหลักยังคงเป็นยากลุ่ม Anti-histamine ครับ
โดยแนะนำให้ใช้แบบไม่ง่วง เพราะจะได้ไม่รบกวนชีวิตประจำวันครับ เช่น Cetirizine , Fexofenadine , Loratadine
ในกลุ่มที่มีเป็นตลอด หรือเป็นหนัก
ยาหลักที่แนะนำให้ใช้คือ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Intranasal steroid) ครับ
เพราะว่าได้ผลการรักษาดีกว่ายาแก้แพ้ (Anti-histamine) แต่ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ครับ ทั้งนี้ยังสามารถชะลอการเกิดโรคร่วมที่ผมกล่าวข้างต้นได้ด้วย ปริมาณการใช้ขึ้นกับแต่ละบุคคล จึงควรให้แพทย์เป็นคนแนะนำการใช้ยานี้ครับ
เพิ่มเติมเล็กน้อย ยาเสริมอีกตัวที่สามารถช่วยได้ในช่วงเวลาที่มีอาการเยอะคือ ยาหดหลอดเลือด (Decongestant) เช่น Pseudoephedrine จะช่วยลดการบวม ลดน้ำมูกในจมูกได้เร็ว ควรใช้เวลาที่มีอาการมากเท่านั้น ไม่ควรใช้นาน เพราะว่าออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ทำให้ใจสั่นได้ และอาจกลับมาคัดจมูกแน่นกว่าเดิมได้หลังหยุดครับ (Medicamentosa)
และยังมียาอื่นๆอีกมาก แต่ผมยังไม่ขอพูดถึงเพราะยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยยืนยันประสิทธิภาพชัดเจน และมีราคาที่สูงครับ
การใช้วัคซีน ( Immunotherapy )
เป็นทางออกสุดท้ายสำหรับคนที่มีอาการมาก และการใช้ยาข้างต้นยังไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
ใช้หลักการฉีดวัคซีนที่ทำให้ภูมิคุ้มกันเราเฉยชาต่อสารที่ทำให้เรามีภูมิแพ้ ดังนั้นวิธีนี้เป็นวิธีที่ไปรักษาถึงต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ที่สุด สามารถลดการเกิดโรคร่วมอื่นๆได้ด้วย แต่ว่าก็อันตรายมากเช่นกัน เพราะการฉีดวัคซีนนี้อาจกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันทำงานแรงกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรทำในเฉพาะคนที่เป็นมากจริงๆ และต้องทำในสถานที่ๆมีประสบการณ์มากพอ เช่น โรงเรียนแพทย์ครับ
Reference : Allergic rhinitis guideline ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิก แห่งประเทศไทย
Cr รูปภาพจาก ADAMS , Medicalterm
------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเป็นหมอครับ กำลังทำเพจเกี่ยวกับสุขภาพแบบง่ายๆ Facebook :
https://www.facebook.com/qiniccom/
Web :
www.qinic.com
หากเห็นว่ามีประโยชน์ ฝากแชร์ให้คนใกล้ตัวด้วยครับ : )
ภูมิแพ้ | Concept สำคัญและแนวทางรักษาล่าสุดครับ
ปกติร่างกายเรามีระบบภูมิคุ้มกันไว้ต่อต้านทำลายเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมที่เข้าร่างกายเรา
ทว่าในบางคนที่เจอสิ่งแปลกปลอมเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แต่ภูมิคุ้มกันก็ดันทำงานขึ้นมา ทำให้เกิดการอักเสบโดยไม่จำเป็น เราเรียกว่า ภูมิแพ้ครับ
โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ คือ โรคภูมิแพ้ที่ไปมีอาการในเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดการอักเสบ แล้วมีอาการทางจมูก เช่น คัดจมูก คัน น้ำมูกไหล จาม จนมีผลกับชีวิตของคนไข้ เช่น การเรียน การทำงานแย่ลง หรือนอนไม่หลับ
ส่วนใหญ่โรคนี้ไม่รุนแรง และไม่ส่งผลกับชีวิตเรามากนักครับ
แต่บางคนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คือคนที่มีโรคร่วม ที่มักเกิดกับโรคภูมิแพ้จมูก แต่รบกวนชีวิตและอันตรายมากกว่า ที่พบบ่อยคือ หอบหืด นอนกรน หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ในกลุ่มพวกนี้เราจำเป็นต้องรักษาภูมิแพ้จมูกอักเสบให้ดีเป็นพิเศษ เพราะมีหลักฐานยืนยันแล้วว่าการรักษาโรคภูมิแพ้ที่ดี จะช่วยลดโอกาสเกิด และลดความรุนแรงของโรคร่วมพวกนี้ได้ครับ
สั้นๆเกี่ยวกับโรคร่วม ที่พบได้บ่อย
หอบหืด
เป็นโรคเกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากผิดปกติเช่นเดียวกัน โดยไปออกอาการที่หลอดลมในปอด ทำให้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และหดตัวเป็นบางเวลา ทำให้เรารู้สึกหายใจไม่สะดวก
หากปล่อยไว้นาน หลอดลมจะอักเสบมากจนกลายเป็นผังผืด อาการจะแย่ลงมากขึ้น และไม่ค่อยตอบสนองต่อยารักษาครับ
เป็นโรคอันดับแรกที่จะรบกวนชีวิตของเรามากที่สุด การเริ่มดูแลตัวเอง และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยยับยั้งไม่ให้ตัวโรคแย่ลงครับ
ต่อม Adenoid บวม และนอนกรน
โรคนี้ที่เกิดจากภูมิต้านทานทำงานมากผิดปกติเช่นกัน โดยไปมีอาการที่ต่อม adenoid ที่ปกติคอยทำงานต้านเชื้อโรคทางปาก ทำให้ต่อมบวมขึ้น ในที่สุดก็บวมจนอุดกันทางเดินหายใจบางส่วน ทำให้เกิดโรคนอนกรนครับ
เยื่อตาอักเสบ
กรณีนี้ภูมิต้านทานที่ทำงานมากไปออกอาการที่เยื่อบุตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบบ่อยโดยไม่จำเป็น (ไม่ได้มีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม) ทำให้เรามีอาการคันตา ตาแดง ตาไม่สู้แสงบ่อยๆ ซึ่งรบกวนคุณภาพชีวิตและการทำงานมากครับ
การรักษา
เมื่อภูมิแพ้ เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไปโดยไม่จำเป็น
หลักการรักษาง่ายๆแค่ 2 อย่างครับ
1.ลดสิ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
2ลดการทำงานของภูมิคุ้มกัน
ลดสิ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
คือการเฝ้าสังเกตว่าอะไรที่เราไปสัมผัส แล้วทำให้มีอาการภูมิแพ้ขึ้นมา
ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ อาหาร เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง ดอกไม้ แมลง
การจะระบุได้ว่าเราแพ้อะไรบางทีก็เป็นเรื่องยากจริงๆครับ แต่ก็ควรลองสังเกตดู เพื่อว่าถ้าพบจะได้หลีกเลี่ยงได้ อาการก็อาจหายไปเป็นปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาครับ
นอกจากนี้ปัจจุบันเรามีเครื่องทดสอบมากมาย ที่ช่วยให้ระบุได้ว่าเราแพ้อะไร เช่น การนำสารกระตุ้นมาจิ้มลงบนแขน แล้วดูปฎิกริยาที่เกิดขึ้น หรือ Prick test
ลดการทำงานของภูมิคุ้มกัน
การใช้ยา
ควรใช้ยาต่อเมื่อ ใช้การลดสิ่งกระตุ้นแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นครับ
การใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงของอาการเป็นหลัก คือ
-เป็นครั้งคราว หรือเป็นตลอด
ครั้งคราว (Intermittent) - มีอาการน้อยกว่า 4 วัน / สัปดาห์ หรือ เป็นติดกันน้อยกว่า 4 สัปดาห์
เป็นตลอด (Persistent) - มีอาการมากกว่า 4 วัน / สัปดาห์ หรือ เป็นติดกันมากกว่า 4 สัปดาห์
-เป็นเบา(Mild) หรือมาก (Severe)
ง่ายๆก็คือ เรารู้สึกว่าโรคนี้รบกวนชีวิตเรามากไหม ถ้ามากก็คือหนักครับ ถ้าไม่มากก็คือเบา
ในกลุ่มที่เป็นครั้งคราว และเบา
ยาหลักยังคงเป็นยากลุ่ม Anti-histamine ครับ
โดยแนะนำให้ใช้แบบไม่ง่วง เพราะจะได้ไม่รบกวนชีวิตประจำวันครับ เช่น Cetirizine , Fexofenadine , Loratadine
ในกลุ่มที่มีเป็นตลอด หรือเป็นหนัก
ยาหลักที่แนะนำให้ใช้คือ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Intranasal steroid) ครับ
เพราะว่าได้ผลการรักษาดีกว่ายาแก้แพ้ (Anti-histamine) แต่ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ครับ ทั้งนี้ยังสามารถชะลอการเกิดโรคร่วมที่ผมกล่าวข้างต้นได้ด้วย ปริมาณการใช้ขึ้นกับแต่ละบุคคล จึงควรให้แพทย์เป็นคนแนะนำการใช้ยานี้ครับ
เพิ่มเติมเล็กน้อย ยาเสริมอีกตัวที่สามารถช่วยได้ในช่วงเวลาที่มีอาการเยอะคือ ยาหดหลอดเลือด (Decongestant) เช่น Pseudoephedrine จะช่วยลดการบวม ลดน้ำมูกในจมูกได้เร็ว ควรใช้เวลาที่มีอาการมากเท่านั้น ไม่ควรใช้นาน เพราะว่าออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ทำให้ใจสั่นได้ และอาจกลับมาคัดจมูกแน่นกว่าเดิมได้หลังหยุดครับ (Medicamentosa)
และยังมียาอื่นๆอีกมาก แต่ผมยังไม่ขอพูดถึงเพราะยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยยืนยันประสิทธิภาพชัดเจน และมีราคาที่สูงครับ
การใช้วัคซีน ( Immunotherapy )
เป็นทางออกสุดท้ายสำหรับคนที่มีอาการมาก และการใช้ยาข้างต้นยังไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
ใช้หลักการฉีดวัคซีนที่ทำให้ภูมิคุ้มกันเราเฉยชาต่อสารที่ทำให้เรามีภูมิแพ้ ดังนั้นวิธีนี้เป็นวิธีที่ไปรักษาถึงต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ที่สุด สามารถลดการเกิดโรคร่วมอื่นๆได้ด้วย แต่ว่าก็อันตรายมากเช่นกัน เพราะการฉีดวัคซีนนี้อาจกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันทำงานแรงกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรทำในเฉพาะคนที่เป็นมากจริงๆ และต้องทำในสถานที่ๆมีประสบการณ์มากพอ เช่น โรงเรียนแพทย์ครับ
Reference : Allergic rhinitis guideline ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิก แห่งประเทศไทย
Cr รูปภาพจาก ADAMS , Medicalterm
------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเป็นหมอครับ กำลังทำเพจเกี่ยวกับสุขภาพแบบง่ายๆ Facebook : https://www.facebook.com/qiniccom/
Web : www.qinic.com
หากเห็นว่ามีประโยชน์ ฝากแชร์ให้คนใกล้ตัวด้วยครับ : )