(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล ผ่านการค้นคว้ารวบรวมและวิเคราะห์เป็นการส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและตัดสินใจ ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม แจ้งลบได้เลยครับ)
หกเดือนหลังจากคุณน้าของผมได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ที่ร.พ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง และได้รับการดูแลต่อที่สถาบันเกี่ยวกับมะเร็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง จากมะเร็งระยะที่สอง ตอนนี้คุณหมอสามารถควบคุมเซลมะเร็งไว้ได้ ให้หยุดยา (ยารับประทานธรรมดา คุณหมอตัดสินใจไม่ฉายแสงและไม่ทำคีโมตั้งแต่แรก) และใช้ชีวิตตามปกติได้
การใช้ชีวิตตามปกติอย่างหนึ่งคือเรื่องอาหารการกิน ช่วงที่คุณน้ายังได้รับการรักษาอยู่นั้นผมก็สืบเสาะหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มากมาย หลักๆ แล้วจากสามแหล่งคือ ทีมคุณหมอที่รักษาคุณน้า เพื่อนฝูงคนรู้จักรวมทั้งคนที่เป็นมะเร็ง และจากอินเตอร์เนท
เชื่อไหมครับว่าข้อมูลและคำแนะนำที่ผมได้รับนั้น แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คุณหมอสองท่านและนักโภชนาการที่โรงพยาบาลบอกว่าอยากทานอะไรก็ทานเข้าไป ส่วนอีกสองแหล่งนั้นบอกว่าไอ้โน่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ต้องกินแต่ไอ้นั่นรวมทั้งน้ำด่างนู่น
หลายๆ อย่างที่บอกว่าทานไม่ได้ก็เช่นเนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำตาล น้ำแข็ง เพราะโปรตีน ไขมันและน้ำตาลนั้นจะกลายเป็นอาหารของเซลมะเร็ง ทำให้เซลมะเร็งเจริญเติบโต ส่วนที่ควรทานก็คือผัก ปลาและน้ำด่าง เพราะเซลมะเร็งไม่ชอบ
จากการซักไซร้ไล่เลียง ผมสามารถสรุปออกมาเป็นความเห็นส่วนตัวได้ดังนี้ (หลักๆ จากนักโภชนาการที่อธิบายอย่างละเอียดระดับวิทยานิพนธ์)
ขณะที่เราเป็นมะเร็งนั้น ร่างกายต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และแหล่งที่มาสำคัญของสารอาหารก็คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยแนะนำให้รับประทานเนื้อ (วัว หมู ไก่) และไข่รวมแล้วให้ได้อย่างน้อยเท่ากับหนึ่งฝ่ามือต่อวัน และดื่มนมอย่างน้อยวันละสามแก้วหลังอาหาร
ไขมันและน้ำตาลนั้น เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว และเนื้อสัตว์โดยเฉพาะที่มีสีแดงนั้น ให้หลีกเลี่ยงการกินแบบสุกๆ ดิบๆ และการปรุงโดยวิธีปิ้งย่าง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ตาม
ผักผลไม้และปลานั้น เป็นสิ่งที่ควรรับประทานอยู่แล้ว ผักตระกูลถั่วบางอย่างให้โปรตีนสูงด้วย ในขณะที่ผลไม้บางอย่างมีแป้งและน้ำตาลสูง ควรระวังด้วย สำหรับผู้ที่ไม่สบายอยู่นั้น (ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือโรคอื่นๆ) ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สดๆ โดยให้ผ่านกรรมวิธีปรุงด้วยความร้อนก่อน
การที่เราพยายามงดโปรตีนนั้น เซลมะเร็งก็จะพยายามเสาะหาโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้เอามาเป็นอาหาร ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอ และอ่อนแอลงรวดเร็วกว่าเซลมะเร็งมาก จนเราตายก่อนมะเร็ง
การที่ร่างกายได้รับโปรตีนอย่างครบถ้วน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะแข็งแรง และต่อสู้กับเซลมะเร็งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บวกกับประสิทธิภาพของยา เราก็จะค่อยๆ ต้อนเซลมะเร็งไปจนมุม
ผักผลไม้และสมุนไพรหลายอย่างมีสารต้านมะเร็งจริง และยารักษามะเร็งก็สกัดมาจากสิ่งเหล่านั้น แต่นั่นคือตัวเสริม เริ่มแรกคือร่างกายต้องแข็งแรงก่อน
ส่วนน้ำแข็งนั้น ไม่ได้มีผลอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
ร่างกายคนเรามีค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสม เมื่อใดก็ตามที่เราได้รับกรดหรือด่างมากเกินไป ร่างกายจะเร่งขับออกมาเพื่อให้กลับไปอยู่ในสภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง ค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ ไม่ได้มีผลอะไรกับร่างกาย สำคัญอยู่ที่แร่ธาตุที่อยู่ในน้ำมากกว่า
กับคำถามที่ว่า แล้วที่พูดกันนักหนาว่าน้ำโซดาบีบมะนาวช่วยต้านมะเร็งนั้น นักโภชนาการบอกว่า น้ำโซดาไม่ใช่ด่างซึ่งคุณบอกว่าช่วยต้านมะเร็ง แล้วคุณดันบีบมะนาวซึ่งเป็นกรดลงไปอีก คิดดูเอาเองละกัน
(ผมไม่ต้องการเปิดเผยชื่อสถานพยาบาล เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนคุณหมอครับ)
แก้ไขเรื่องน้ำโซดาไม่ใช่ด่างครับ ขอขอบพระคุณคุณ ส.มโนมัย คห.1 ที่ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดครับ ผมคงจดมาผิด
มะเร็ง อาหารการกิน และ ด่าง ..
หกเดือนหลังจากคุณน้าของผมได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ที่ร.พ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง และได้รับการดูแลต่อที่สถาบันเกี่ยวกับมะเร็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง จากมะเร็งระยะที่สอง ตอนนี้คุณหมอสามารถควบคุมเซลมะเร็งไว้ได้ ให้หยุดยา (ยารับประทานธรรมดา คุณหมอตัดสินใจไม่ฉายแสงและไม่ทำคีโมตั้งแต่แรก) และใช้ชีวิตตามปกติได้
การใช้ชีวิตตามปกติอย่างหนึ่งคือเรื่องอาหารการกิน ช่วงที่คุณน้ายังได้รับการรักษาอยู่นั้นผมก็สืบเสาะหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มากมาย หลักๆ แล้วจากสามแหล่งคือ ทีมคุณหมอที่รักษาคุณน้า เพื่อนฝูงคนรู้จักรวมทั้งคนที่เป็นมะเร็ง และจากอินเตอร์เนท
เชื่อไหมครับว่าข้อมูลและคำแนะนำที่ผมได้รับนั้น แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คุณหมอสองท่านและนักโภชนาการที่โรงพยาบาลบอกว่าอยากทานอะไรก็ทานเข้าไป ส่วนอีกสองแหล่งนั้นบอกว่าไอ้โน่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ต้องกินแต่ไอ้นั่นรวมทั้งน้ำด่างนู่น
หลายๆ อย่างที่บอกว่าทานไม่ได้ก็เช่นเนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำตาล น้ำแข็ง เพราะโปรตีน ไขมันและน้ำตาลนั้นจะกลายเป็นอาหารของเซลมะเร็ง ทำให้เซลมะเร็งเจริญเติบโต ส่วนที่ควรทานก็คือผัก ปลาและน้ำด่าง เพราะเซลมะเร็งไม่ชอบ
จากการซักไซร้ไล่เลียง ผมสามารถสรุปออกมาเป็นความเห็นส่วนตัวได้ดังนี้ (หลักๆ จากนักโภชนาการที่อธิบายอย่างละเอียดระดับวิทยานิพนธ์)
ขณะที่เราเป็นมะเร็งนั้น ร่างกายต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และแหล่งที่มาสำคัญของสารอาหารก็คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยแนะนำให้รับประทานเนื้อ (วัว หมู ไก่) และไข่รวมแล้วให้ได้อย่างน้อยเท่ากับหนึ่งฝ่ามือต่อวัน และดื่มนมอย่างน้อยวันละสามแก้วหลังอาหาร
ไขมันและน้ำตาลนั้น เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว และเนื้อสัตว์โดยเฉพาะที่มีสีแดงนั้น ให้หลีกเลี่ยงการกินแบบสุกๆ ดิบๆ และการปรุงโดยวิธีปิ้งย่าง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ตาม
ผักผลไม้และปลานั้น เป็นสิ่งที่ควรรับประทานอยู่แล้ว ผักตระกูลถั่วบางอย่างให้โปรตีนสูงด้วย ในขณะที่ผลไม้บางอย่างมีแป้งและน้ำตาลสูง ควรระวังด้วย สำหรับผู้ที่ไม่สบายอยู่นั้น (ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือโรคอื่นๆ) ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สดๆ โดยให้ผ่านกรรมวิธีปรุงด้วยความร้อนก่อน
การที่เราพยายามงดโปรตีนนั้น เซลมะเร็งก็จะพยายามเสาะหาโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้เอามาเป็นอาหาร ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอ และอ่อนแอลงรวดเร็วกว่าเซลมะเร็งมาก จนเราตายก่อนมะเร็ง
การที่ร่างกายได้รับโปรตีนอย่างครบถ้วน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะแข็งแรง และต่อสู้กับเซลมะเร็งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บวกกับประสิทธิภาพของยา เราก็จะค่อยๆ ต้อนเซลมะเร็งไปจนมุม
ผักผลไม้และสมุนไพรหลายอย่างมีสารต้านมะเร็งจริง และยารักษามะเร็งก็สกัดมาจากสิ่งเหล่านั้น แต่นั่นคือตัวเสริม เริ่มแรกคือร่างกายต้องแข็งแรงก่อน
ส่วนน้ำแข็งนั้น ไม่ได้มีผลอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
ร่างกายคนเรามีค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสม เมื่อใดก็ตามที่เราได้รับกรดหรือด่างมากเกินไป ร่างกายจะเร่งขับออกมาเพื่อให้กลับไปอยู่ในสภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง ค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ ไม่ได้มีผลอะไรกับร่างกาย สำคัญอยู่ที่แร่ธาตุที่อยู่ในน้ำมากกว่า
กับคำถามที่ว่า แล้วที่พูดกันนักหนาว่าน้ำโซดาบีบมะนาวช่วยต้านมะเร็งนั้น นักโภชนาการบอกว่า น้ำโซดาไม่ใช่ด่างซึ่งคุณบอกว่าช่วยต้านมะเร็ง แล้วคุณดันบีบมะนาวซึ่งเป็นกรดลงไปอีก คิดดูเอาเองละกัน
(ผมไม่ต้องการเปิดเผยชื่อสถานพยาบาล เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนคุณหมอครับ)
แก้ไขเรื่องน้ำโซดาไม่ใช่ด่างครับ ขอขอบพระคุณคุณ ส.มโนมัย คห.1 ที่ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดครับ ผมคงจดมาผิด