ชนะน็อก โรคซึมเศร้า ตอน เปิดศึกช่วงชิงดวงจิตคืนด้วยตำราพิชัยสงครามของซุนวู 1
http://ppantip.com/topic/35216623
นอกจากกองทัพที่มีทหารจำนวนมากแล้ว กองทัพฉันยังมี ฝ่ายเสนาธิการ
ซึ่งมีจิตแพทย์ร่วมด้วย จิตแพทย์ คือผู้ที่ร่วมวางแผนในการรบ ให้ข้อคิด
ข้อแนะนำ ปรับทัศนคติ ส่วนยาคือทหารเอกคู่ใจที่มีฝีมือรบฉกาจฉกรรจ์
ที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพ ดังนั้นฉันจึงกินยาอย่างสม่ำเสมอ
และเคร่งครัดตามคำสั่งแพทย์โดยไม่ซื้อยากินเอง
อ้อ..และทหารก็ต้องแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายที่พอเหมาะกับอายุและสภาพร่างกายด้วยนะคะ
ฉันเลือกใช้การเดิน แล้วอย่าลืมกองทัพเดินด้วยท้องด้วยนะคะ กินอาหารที่มีประโยชน์ด้วยค่ะ
กองทัพของคุณไม่จำเป็นต้องเหมือนฉัน เพราะคุณเป็นคนสร้างกองทัพของคุณเอง
กองหน้าของคุณ จะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณชอบ คุณสามารถทำได้หลายวิธี อาจเป็น
การสวดมนต์ นั่งสมาธิ การออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ กีฬา กิจกรรมนันทนาการ
เอาหล่ะค่ะที่นี้ ทหาร ของฉันพร้อมแล้ว
ซุนวูบอกถึงคุณลักษณะแม่ทัพที่จะชนะศึก สรุปได้ว่า ต้องเป็น แม่ทัพที่เก่ง ฉลาด
รู้จักควบคุมตัวเองและกองทัพ มีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญ รู้การณ์ศึกดี
มีระเบียบวินัย มีคุณธรรมและ มีเมตตา เอ่อ...แปลกจัง
แม้ในยามศึกสงครามความเมตตาก็สามารถเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ชัยชนะด้วยนะ?
เรามาดูแม่ทัพของฉันกันนะคะ
ตายแล้ว!!!!!!!! แม่ทัพของฉันไม่พร้อมเลย แม่ทัพของฉันช่างหดหู่ สิ้นหวัง สับสน
สมองมึนงงตลอดเวลาคิดอะไรไม่ออก หมดเรี่ยวแรง นี่มันไม่ใช่คุณลักษณะของแม่ทัพที่ดีเลยนี่นา
แล้วฉันจะทำยังไงดี คืนก็ไม่ได้ฮ่องเต้ประทานมาแล้ว 55 เอาไงดีน้า...
ในตำรายังบอกอีกว่า “ถ้าเหล่าทหารล้วนเข้มแข็งแต่ตัวนายอ่อน จะทำให้กองทัพหมดซึ่งกำลัง
แต่ถ้าเหล่าทหารนั้นอ่อน แต่ตัวนายเข้มแข็งแล้วหล่ะก็ กองทัพก็จะหงอยเหงาขวัญหนีดีฝ่อ
ส่วนแม่ทัพที่ไม่เข้มแข็งนั้น และคำสั่งไม่แน่นอน เลยไปถึงหย่อนยานไม่เคร่งครัดในวินัย สั่งสิ่งใดไป
ตัวนาย และทหารย่อมปฏิบัติไม่ได้ดังคิด เกิดความวุ่นวายโกลาหล แม่ทัพจะคิดอ่านใช้ยุทธวิธีใดจัดการต่อข้าศึกก็ย่อมทำไม่ได้ “
งั้นตอนนี้กองทัพของฉันเข้าข่าย “ถ้าเหล่าทหารล้วนเข้มแข็งแต่ตัวนายอ่อน จะทำให้กองทัพหมดซึ่งกำลัง”
ดังนั้น
ฉั้บ!! สับสวิทซ์
ต่อไปนี้เป็นบทฝึกแม่ทัพ
วันหนึ่งฉันนั่งอยู่ ความคิดแวบได้ไหลเข้ามาในสมองอย่างเงียบๆ
“ลิ้นชักในห้องนอน ในบ้าน ก็เหมือนในจิตใจ” เอ๊ะยังไงนะฉันแปลกใจบ้าน ทำไมถึงเหมือนจิตใจทำไมเหรอ.
แล้วฉันก็กวาดตาไปรอบๆห้อง ในห้องฉันมีของสุมอยู่เยอะไปหมด แทบไม่เคยทิ้งอะไรเลย
มันรกเลยหล่ะเพราะว่าฉันไม่เคยหยิบจับอะไรมาเป็นปีๆได้แต่นั่งทอดอาลัยตายอยากซึมเศร้าอยู่
ในลิ้นชักของฉันตอนนั้นฉันเปิดออกมันรกมากจริงๆ มันมีขยะของฉันอยู่จำนวนมาก เต็มไปหมด
เช่น บิลเก่าๆที่ไม่จำเป็น เอกสารที่ไม่จำเป็น โบชัวร์เก่าต่างๆ ปากกาลูกลื่นเก่าเก็บที่หมึกแห้งไปแล้ว
ปฏิทินเก่าปีก่อนๆ กระป๋องกระโหลกกะลา ของแจกของแถมที่เป็นไม่ประโยชน์สำหรับฉัน
อะไรต่อมิอะไรที่ฉันหมักไว้ในลิ้นชักมันน่าตกใจจริงๆ ทั้งเอกสารสำคัญไม่สำคัญปนเปกันยุ่งไปหมด
ตู้เสื้อผ้าที่อัดแน่นจนแทบทะลักห้าตู้แต่มันก็ยังไม่พอมีราวแขวนสองเมตรและหนึ่งเมตรแขวนเสื้อผ้าอีก
มันปนเปกันไปหมดทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ของเก่าของใหม่ ที่ซื้อมาแล้วไม่ใส่เก็บดองไ
ว้ตอนซื้อชอบว่าสวยดีแต่พอกลับมาบ้านใส่ไม่ได้หรือดูแล้วไม่เหมาะ แล้วในห้องก็ยังมีของอีกมากมายก่ายกอง
เช่นไดร์เป่าผม สี่อัน มีทั้งหมดสภาพและยังใช้งานได้ ลิปสติกทั้งเก่าทั้งใหม่ทั้งชอบไม่ชอบสี สวยไม่สวย
และที่ซื้อซ้ำสองรอบสามรอบ พู่กันและฟองน้ำแต่งหน้า ที่ทาตา แปรงหวี กิ๊บติดผมของพวกนี้เยอะมาก
มากกว่ากูรูความงามเสียอีก และ ของแจกของแถมชิ้นใหญ่ๆที่วางไว้จนฝุ่นจับ
เอาไงดีหล่ะ เรื่องใหญ่แน่ ไม่ไหวหรอก มันมีคำว่า ไม่ไหวหรอก อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไร
มันเป็นความเคยชินของฉันแล้วในตอนนั้นอะไรๆก็ “ไม่ไหวหรอก” “ไม่ไหวหรอก”
ฉันมองไปรอบๆห้องแล้วก็มีความคิดที่ไหลเข้ามาภายในสมองฉันอีก
”เก็บบ้านให้เป็นระเบียบชีวิตจะมีความสุขและสดชื่นขึ้น”
ฉันจะไหวไม๊นี่ ไม่ไหวหรอก
พลันความคิดแวบเข้ามาทันที ”ทำได้” เสียงในสมองบอกและบอกกับฉันอีกครั้ง
”ในบ้านก็เหมือนในจิตใจ”
ฉันนั่งคิด ก็จริงนะแล้วฉันก็คิดได้ว่า ฉันมีของที่ไม่ใช้เยอะมากในห้อง.
มันก็เหมือนจิตใจของฉันที่สับสนวุ่นวาย สุ่มไว้ทั้งเรื่องดีและไม่ดีที่ไม่มีประโยชน์ไร้ค่า
ไม่มีความหมายมากมายปนเปซะจนแยกออกมาไม่ได้ว่าอันไหนควรจำอันไหนควรทิ้งไป.
ความคิดไหลเข้ามาในสมองฉันอีก
“ในลิ้นชักมันก็เหมือนในส่วนลึกของจิตใจ”
จริงเหรอ ฉันต้องพิสูจน์
ฉันเริ่มจากรื้อแต่ละลิ้นชักออกมา แล้วทำความสะอาด ส่วนเอกสารอะไรที่ไม่สำคัญที่ไม่ใช้ทิ้งทิ้งไป
จัดวางของในลิ้นชักให้เป็นหมวดหมู่ แบ่งมันเป็นประเภทมีระเบียบหยิบฉวยได้ง่าย
ลิ้นชักเอกสารสำคัญ เช่น เอกสารการเงิน บุ๊กแบงก์ลิ้นชักนึง กรมธรรม์ประกันชีวิต ใบเสร็จค่างวด
พินัยกรรม ลิ้นชักนึง วุฒิการศึกษาใบปริญญาบัตรลิ้นชักนึง ทะเบียนบ้าน ทะเบียนรถ เอกสารทั่วไปลิ้นชักนึง
เมื่อลิ้นชักต่างๆถูกจัดเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนั้นฉันมาจัดการกับเสื้อผ้า ฉันค่อยๆจัดทีละตู้ ที่ละตู้ อย่างใจเย็นๆ ค่อยๆทำไปวันละตู้สองตู้
ด้วยการ หยิบเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แต่ยังแขวนอยู่นานกว่าสองปี เสื้อผ้าที่พับทิ้งกองไว้ในพื้นตู้เอาออกมาให้หมด
ไม่ใช้ให้คนอื่นไปยังมีประโยชน์กว่าสุมไว้แล้วรก. หรือบริจาคไปได้กุศลด้วย.
ทีนี้ฉันมีเฉพาะเสื้อผ้าที่ใช้อยู่จริงๆ คุณเชื่อไม๊มันมีเกือบครึ่งที่ฉันเอาออกไป ตู้งี้โล่งเลย
ต่อจากนั้น
ฉันเริ่มจากแยกสีแยกสีต่างๆ. สีขาวสีฟ้าสีเขียวตู้หนึ่ง เสื้อผ้าประเภทลาย จุด ดอก มนต์รักลูกทุ่ง อีกตู้
กระโปรงชุดตู้นึง กางเกงขาสั้น-ยาวอีกตู้ แล้วฉันก็แปลกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าสีดำของฉันเยอะมาก
ฉันรวมเสื้อผ้าสีดำได้ตู้หนึ่งเต็มค่อนข้างแน่น ฉันคิดว่าฉันควรจะต้องหาเสื้อผ้าสีสดใสใส่บ้างแล้ว
คุณเชื่อไม๊ฉันลืมความทุกข์ไปเลยตอนนั้นเป็นเพราะว่าใจฉันจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า
ฉันมัวแต่สาละวนกับการคิดออกแบบว่าจะทำยังไงให้ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้าเป็นระเบียบและหยิบใช้สอยได้สะดวก
จงจัดห้องของคุณ ลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า ในบ้านให้เป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย.ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรมาประดับจัดวาง
ไม่ต้องสวยงามอลังการงานสร้างอะไร เอาเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ทำมันให้เข้ารูปเค้าร่าง
มันเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญของการจัดรูปแบบความคิดเลยหล่ะ นี่แหละเคล็ดลับ
ถ้าคุณกลับขึ้นไปอ่านจะเห็นว่าฉันเขียนว่า จงจัด ไม่ใช้ น่าจะ หรือบางทีคุณลอง
เชื่อฉัน ในลิ้นชักของคุณอย่าให้รกรุงรังต้องจัดให้เป็นระเบียบ.
อันนี้สำคัญสุด มันบ่งบอกว่าสภาพ จิตใจคุณเป็นยังไงและยังบ่งบอกว่าคุณเป็นคนยังไงด้วย
คุณว้าวุ่นแค่ไหนก็ดูในลิ้นชักคุณนั่นแหละ
หลังจากที่ได้ทำจนเสร็จฉันรู้เลยว่าการจัดห้องยังเป็นเครื่องชี้แนะว่าเราควรต้องควบคุมตัวเองเรื่องการใช้จ่ายยังไง
และสิ่งที่ฉันได้รับในตอนนั้นคือ ฉันมีความรู้สึกว่าฉันมีความสุขอย่างลึกๆซึมซาบลงไปในจิตใจของฉัน
ฉันสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง ฉันปล่อยให้ความรู้สึกนี้อยู่กับฉันระยะหนึ่ง
ฉันพบว่าฉันสดชื่นและมีความสุขสงบขึ้น ผลพลอยได้คือห้องฉันสะอาดมีระเบียบเรียบร้อยน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง
นี่ไงความสุข ความสุขที่อยู่ใกล้ใกล้ตัวโดยที่ไม่ต้องออกไปค้นหาที่ไหน
แต่..เอ..ทำไมแต่ก่อนฉันถึงไม่รู้หรือมันใกล้เกินไปเสียจนฉัน มองไม่เห็น
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความทุกข์มันมาบดบังกันแน่นะ
แต่ช่างเถอะ จะเป็นเพราะอะไรก็ช่างเอาเป็นว่า ตอนนี้ห้องฉันน่าอยู่มากๆ
สิ่งที่ฉันได้รับจากการที่ฉันจัดเก็บห้องฉันครั้งนี้มันทำให้ฉันพบว่า
สิ่งของชิ้นไหนที่ฉันต้องการ ไม่ต้องการ สำคัญไม่สำคัญ ชอบไม่ชอบ จำเป็นไม่จำเป็น ควรมีหรือไม่ควรมี
หรือถ้าทิ้งไว้มีแต่รกเกะกะหาประโยชน์ไม่ได้ และฉันยังพบอีกว่าการสร้างความสุขใจเล็กๆน้อยๆขึ้นในจิตใจ
มันเติมพลังชีวิตให้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณรู้ไม๊ความสุขเล็กๆน้อยๆนี่มันเกิดขึ้นบ่อยๆได้นะ
และคุณควรจะทำบ่อยๆเพราะมัน ไม่เหมือนความสุขในเรื่องใหญ่ๆที่นานๆจะเข้ามาในชีวิตครั้ง
อาจจะ สิบปี ยี่สิบปี หรือครั้งเดียวในชีวิต เช่นเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ได้รถใหม่ ซื้อบ้าน
แต่ความสุขเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และสิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันได้รับ
คือ ความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆต่อไปในเมื่อก้าวแรกผ่านได้ก้าวที่สองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ฉันนำวิธีการจัดลิ้นชัก จัดตู้ จัดภายในห้องของฉันนี้มาปรับใช้กับวิธีคิดของฉันด้วย
และมันคือข้อหนึ่งในคัมภีร์การดำเนินชีวิตให้มีสุขของฉันเลยหล่ะ
“เมื่อห้องสะอาดมีระเบียบ เนื้อตัวสะอาดและจิตใจสะอาด.
นั่นแหละจึงจะพร้อมสำหรับสิ่งสร้างสรรค์” ความคิดในจิตใจบอกกับฉัน
ฉันรู้ว่าฉันควร
ทำความสะอาดจิตใจ ขัดเกลาจิตใจ ค่อยๆและค่อยๆแกะสิ่งที่ไม่ดีที่เกาะกลุ่มจิตใจฉันออกไป ออกไป
เหมือนกับที่ฉันได้จัดการกับลิ้นชักและตู้ในห้อง คือ ทิ้งขยะในจิตใจออกไปเป็นอันดับแรก
แล้วฉันจะต้องทำยังไงในเมื่อมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจ แบบไหน ยังไง เอาออกมาทิ้งได้ยังไง
ฉันมีคำถามและฉันก็ได้รับคำตอบในเวลาต่อมา
“สิ่งของที่เป็นขยะก็ทิ้งออกไป ส่วนอภัยและเมตตา คือการทิ้งขยะในจิตใจ
และการจัดเรียงระบบความคิดจิตใจ คือ การถามใจตัวเอง ความรักสามร้อยหกสิบองศาและ การให้”
อภัย เมตตา นี่ฉันพอเข้าใจว่าทำได้ (ตอนนั้นฉันคิดว่าเข้าใจดีแต่จริงๆมันยังเป็นการเข้าใจที่ผิวเผินอยู่แต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจลึกซึ้ง)
แต่ความรักสามร้อยหกสิบองศา งง ฉันงง แล้วฉันก็ได้รับปริศนามาขบคิดในขณะที่ยัง งงๆ กับความรักสามร้อยหกสิบองศาอยู่
“ ความแตกต่างระหว่างมีความรู้และมีปัญญา ใช้ปัญญาสิ ใช้ปัญญา”
ฉันมาทบทวนคำสองคำ ความรู้ อ้อ ก็การศึกษา หรือรู้มาจาก ครอบครัว สื่อต่างๆ อายุมากก็รู้มากเพราะมีประสบการณ์
ปัญญา ฉันก็รู้ คือ ความรู้ที่เข้าใจถึงเหตุและเข้าใจถึงผล รู้อย่างท่องแท้ ความรู้ที่ได้รับการตรึกตรองอย่างดีแล้วด้วยเหตุผล
และปัญญาอาจมาจากการเจริญสติอีกวิธีหนึ่ง
แล้วฉันก็นึกฉุกใจขึ้นมา อือ...ก็จริงนะ ฉัน ไม่ค่อยเคยให้เวลากับตัวเองในการที่จะนั่งนึกตรึกตรองด้วยการใช้ปัญญา
ในเรื่องต่างๆและอย่างเรื่องที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อืมมม...ต่อไปนี้ฉันจะใช้ปัญญาด้วยการใช้สติตรึกตรองและทบทวน
เรื่องราวต่างๆเพื่อการดำเนินชีวิตของฉันแล้วหล่ะ
“ความรักสามร้อยหกสิบองศาเหมือนดวงดาวที่ทอประกายแสงรอบตัว” ความคิดแวบไหลเข้ามาอีกครั้ง
........
ชนะน็อก โรคซึมเศร้า ตอน เปิดศึกช่วงชิงดวงจิตคืนด้วยตำราพิชัยสงครามของซุนวู 2
http://ppantip.com/topic/35216623
นอกจากกองทัพที่มีทหารจำนวนมากแล้ว กองทัพฉันยังมี ฝ่ายเสนาธิการ
ซึ่งมีจิตแพทย์ร่วมด้วย จิตแพทย์ คือผู้ที่ร่วมวางแผนในการรบ ให้ข้อคิด
ข้อแนะนำ ปรับทัศนคติ ส่วนยาคือทหารเอกคู่ใจที่มีฝีมือรบฉกาจฉกรรจ์
ที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพ ดังนั้นฉันจึงกินยาอย่างสม่ำเสมอ
และเคร่งครัดตามคำสั่งแพทย์โดยไม่ซื้อยากินเอง
อ้อ..และทหารก็ต้องแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายที่พอเหมาะกับอายุและสภาพร่างกายด้วยนะคะ
ฉันเลือกใช้การเดิน แล้วอย่าลืมกองทัพเดินด้วยท้องด้วยนะคะ กินอาหารที่มีประโยชน์ด้วยค่ะ
กองทัพของคุณไม่จำเป็นต้องเหมือนฉัน เพราะคุณเป็นคนสร้างกองทัพของคุณเอง
กองหน้าของคุณ จะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณชอบ คุณสามารถทำได้หลายวิธี อาจเป็น
การสวดมนต์ นั่งสมาธิ การออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ กีฬา กิจกรรมนันทนาการ
เอาหล่ะค่ะที่นี้ ทหาร ของฉันพร้อมแล้ว
ซุนวูบอกถึงคุณลักษณะแม่ทัพที่จะชนะศึก สรุปได้ว่า ต้องเป็น แม่ทัพที่เก่ง ฉลาด
รู้จักควบคุมตัวเองและกองทัพ มีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญ รู้การณ์ศึกดี
มีระเบียบวินัย มีคุณธรรมและ มีเมตตา เอ่อ...แปลกจัง
แม้ในยามศึกสงครามความเมตตาก็สามารถเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ชัยชนะด้วยนะ?
เรามาดูแม่ทัพของฉันกันนะคะ
ตายแล้ว!!!!!!!! แม่ทัพของฉันไม่พร้อมเลย แม่ทัพของฉันช่างหดหู่ สิ้นหวัง สับสน
สมองมึนงงตลอดเวลาคิดอะไรไม่ออก หมดเรี่ยวแรง นี่มันไม่ใช่คุณลักษณะของแม่ทัพที่ดีเลยนี่นา
แล้วฉันจะทำยังไงดี คืนก็ไม่ได้ฮ่องเต้ประทานมาแล้ว 55 เอาไงดีน้า...
ในตำรายังบอกอีกว่า “ถ้าเหล่าทหารล้วนเข้มแข็งแต่ตัวนายอ่อน จะทำให้กองทัพหมดซึ่งกำลัง
แต่ถ้าเหล่าทหารนั้นอ่อน แต่ตัวนายเข้มแข็งแล้วหล่ะก็ กองทัพก็จะหงอยเหงาขวัญหนีดีฝ่อ
ส่วนแม่ทัพที่ไม่เข้มแข็งนั้น และคำสั่งไม่แน่นอน เลยไปถึงหย่อนยานไม่เคร่งครัดในวินัย สั่งสิ่งใดไป
ตัวนาย และทหารย่อมปฏิบัติไม่ได้ดังคิด เกิดความวุ่นวายโกลาหล แม่ทัพจะคิดอ่านใช้ยุทธวิธีใดจัดการต่อข้าศึกก็ย่อมทำไม่ได้ “
งั้นตอนนี้กองทัพของฉันเข้าข่าย “ถ้าเหล่าทหารล้วนเข้มแข็งแต่ตัวนายอ่อน จะทำให้กองทัพหมดซึ่งกำลัง”
ดังนั้น
ฉั้บ!! สับสวิทซ์
ต่อไปนี้เป็นบทฝึกแม่ทัพ
วันหนึ่งฉันนั่งอยู่ ความคิดแวบได้ไหลเข้ามาในสมองอย่างเงียบๆ
“ลิ้นชักในห้องนอน ในบ้าน ก็เหมือนในจิตใจ” เอ๊ะยังไงนะฉันแปลกใจบ้าน ทำไมถึงเหมือนจิตใจทำไมเหรอ.
แล้วฉันก็กวาดตาไปรอบๆห้อง ในห้องฉันมีของสุมอยู่เยอะไปหมด แทบไม่เคยทิ้งอะไรเลย
มันรกเลยหล่ะเพราะว่าฉันไม่เคยหยิบจับอะไรมาเป็นปีๆได้แต่นั่งทอดอาลัยตายอยากซึมเศร้าอยู่
ในลิ้นชักของฉันตอนนั้นฉันเปิดออกมันรกมากจริงๆ มันมีขยะของฉันอยู่จำนวนมาก เต็มไปหมด
เช่น บิลเก่าๆที่ไม่จำเป็น เอกสารที่ไม่จำเป็น โบชัวร์เก่าต่างๆ ปากกาลูกลื่นเก่าเก็บที่หมึกแห้งไปแล้ว
ปฏิทินเก่าปีก่อนๆ กระป๋องกระโหลกกะลา ของแจกของแถมที่เป็นไม่ประโยชน์สำหรับฉัน
อะไรต่อมิอะไรที่ฉันหมักไว้ในลิ้นชักมันน่าตกใจจริงๆ ทั้งเอกสารสำคัญไม่สำคัญปนเปกันยุ่งไปหมด
ตู้เสื้อผ้าที่อัดแน่นจนแทบทะลักห้าตู้แต่มันก็ยังไม่พอมีราวแขวนสองเมตรและหนึ่งเมตรแขวนเสื้อผ้าอีก
มันปนเปกันไปหมดทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ของเก่าของใหม่ ที่ซื้อมาแล้วไม่ใส่เก็บดองไ
ว้ตอนซื้อชอบว่าสวยดีแต่พอกลับมาบ้านใส่ไม่ได้หรือดูแล้วไม่เหมาะ แล้วในห้องก็ยังมีของอีกมากมายก่ายกอง
เช่นไดร์เป่าผม สี่อัน มีทั้งหมดสภาพและยังใช้งานได้ ลิปสติกทั้งเก่าทั้งใหม่ทั้งชอบไม่ชอบสี สวยไม่สวย
และที่ซื้อซ้ำสองรอบสามรอบ พู่กันและฟองน้ำแต่งหน้า ที่ทาตา แปรงหวี กิ๊บติดผมของพวกนี้เยอะมาก
มากกว่ากูรูความงามเสียอีก และ ของแจกของแถมชิ้นใหญ่ๆที่วางไว้จนฝุ่นจับ
เอาไงดีหล่ะ เรื่องใหญ่แน่ ไม่ไหวหรอก มันมีคำว่า ไม่ไหวหรอก อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไร
มันเป็นความเคยชินของฉันแล้วในตอนนั้นอะไรๆก็ “ไม่ไหวหรอก” “ไม่ไหวหรอก”
ฉันมองไปรอบๆห้องแล้วก็มีความคิดที่ไหลเข้ามาภายในสมองฉันอีก
”เก็บบ้านให้เป็นระเบียบชีวิตจะมีความสุขและสดชื่นขึ้น”
ฉันจะไหวไม๊นี่ ไม่ไหวหรอก
พลันความคิดแวบเข้ามาทันที ”ทำได้” เสียงในสมองบอกและบอกกับฉันอีกครั้ง
”ในบ้านก็เหมือนในจิตใจ”
ฉันนั่งคิด ก็จริงนะแล้วฉันก็คิดได้ว่า ฉันมีของที่ไม่ใช้เยอะมากในห้อง.
มันก็เหมือนจิตใจของฉันที่สับสนวุ่นวาย สุ่มไว้ทั้งเรื่องดีและไม่ดีที่ไม่มีประโยชน์ไร้ค่า
ไม่มีความหมายมากมายปนเปซะจนแยกออกมาไม่ได้ว่าอันไหนควรจำอันไหนควรทิ้งไป.
ความคิดไหลเข้ามาในสมองฉันอีก
“ในลิ้นชักมันก็เหมือนในส่วนลึกของจิตใจ”
จริงเหรอ ฉันต้องพิสูจน์
ฉันเริ่มจากรื้อแต่ละลิ้นชักออกมา แล้วทำความสะอาด ส่วนเอกสารอะไรที่ไม่สำคัญที่ไม่ใช้ทิ้งทิ้งไป
จัดวางของในลิ้นชักให้เป็นหมวดหมู่ แบ่งมันเป็นประเภทมีระเบียบหยิบฉวยได้ง่าย
ลิ้นชักเอกสารสำคัญ เช่น เอกสารการเงิน บุ๊กแบงก์ลิ้นชักนึง กรมธรรม์ประกันชีวิต ใบเสร็จค่างวด
พินัยกรรม ลิ้นชักนึง วุฒิการศึกษาใบปริญญาบัตรลิ้นชักนึง ทะเบียนบ้าน ทะเบียนรถ เอกสารทั่วไปลิ้นชักนึง
เมื่อลิ้นชักต่างๆถูกจัดเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนั้นฉันมาจัดการกับเสื้อผ้า ฉันค่อยๆจัดทีละตู้ ที่ละตู้ อย่างใจเย็นๆ ค่อยๆทำไปวันละตู้สองตู้
ด้วยการ หยิบเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แต่ยังแขวนอยู่นานกว่าสองปี เสื้อผ้าที่พับทิ้งกองไว้ในพื้นตู้เอาออกมาให้หมด
ไม่ใช้ให้คนอื่นไปยังมีประโยชน์กว่าสุมไว้แล้วรก. หรือบริจาคไปได้กุศลด้วย.
ทีนี้ฉันมีเฉพาะเสื้อผ้าที่ใช้อยู่จริงๆ คุณเชื่อไม๊มันมีเกือบครึ่งที่ฉันเอาออกไป ตู้งี้โล่งเลย
ต่อจากนั้น
ฉันเริ่มจากแยกสีแยกสีต่างๆ. สีขาวสีฟ้าสีเขียวตู้หนึ่ง เสื้อผ้าประเภทลาย จุด ดอก มนต์รักลูกทุ่ง อีกตู้
กระโปรงชุดตู้นึง กางเกงขาสั้น-ยาวอีกตู้ แล้วฉันก็แปลกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าสีดำของฉันเยอะมาก
ฉันรวมเสื้อผ้าสีดำได้ตู้หนึ่งเต็มค่อนข้างแน่น ฉันคิดว่าฉันควรจะต้องหาเสื้อผ้าสีสดใสใส่บ้างแล้ว
คุณเชื่อไม๊ฉันลืมความทุกข์ไปเลยตอนนั้นเป็นเพราะว่าใจฉันจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า
ฉันมัวแต่สาละวนกับการคิดออกแบบว่าจะทำยังไงให้ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้าเป็นระเบียบและหยิบใช้สอยได้สะดวก
จงจัดห้องของคุณ ลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า ในบ้านให้เป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย.ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรมาประดับจัดวาง
ไม่ต้องสวยงามอลังการงานสร้างอะไร เอาเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ทำมันให้เข้ารูปเค้าร่าง
มันเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญของการจัดรูปแบบความคิดเลยหล่ะ นี่แหละเคล็ดลับ
ถ้าคุณกลับขึ้นไปอ่านจะเห็นว่าฉันเขียนว่า จงจัด ไม่ใช้ น่าจะ หรือบางทีคุณลอง
เชื่อฉัน ในลิ้นชักของคุณอย่าให้รกรุงรังต้องจัดให้เป็นระเบียบ.
อันนี้สำคัญสุด มันบ่งบอกว่าสภาพ จิตใจคุณเป็นยังไงและยังบ่งบอกว่าคุณเป็นคนยังไงด้วย
คุณว้าวุ่นแค่ไหนก็ดูในลิ้นชักคุณนั่นแหละ
หลังจากที่ได้ทำจนเสร็จฉันรู้เลยว่าการจัดห้องยังเป็นเครื่องชี้แนะว่าเราควรต้องควบคุมตัวเองเรื่องการใช้จ่ายยังไง
และสิ่งที่ฉันได้รับในตอนนั้นคือ ฉันมีความรู้สึกว่าฉันมีความสุขอย่างลึกๆซึมซาบลงไปในจิตใจของฉัน
ฉันสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง ฉันปล่อยให้ความรู้สึกนี้อยู่กับฉันระยะหนึ่ง
ฉันพบว่าฉันสดชื่นและมีความสุขสงบขึ้น ผลพลอยได้คือห้องฉันสะอาดมีระเบียบเรียบร้อยน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง
นี่ไงความสุข ความสุขที่อยู่ใกล้ใกล้ตัวโดยที่ไม่ต้องออกไปค้นหาที่ไหน
แต่..เอ..ทำไมแต่ก่อนฉันถึงไม่รู้หรือมันใกล้เกินไปเสียจนฉัน มองไม่เห็น
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความทุกข์มันมาบดบังกันแน่นะ
แต่ช่างเถอะ จะเป็นเพราะอะไรก็ช่างเอาเป็นว่า ตอนนี้ห้องฉันน่าอยู่มากๆ
สิ่งที่ฉันได้รับจากการที่ฉันจัดเก็บห้องฉันครั้งนี้มันทำให้ฉันพบว่า
สิ่งของชิ้นไหนที่ฉันต้องการ ไม่ต้องการ สำคัญไม่สำคัญ ชอบไม่ชอบ จำเป็นไม่จำเป็น ควรมีหรือไม่ควรมี
หรือถ้าทิ้งไว้มีแต่รกเกะกะหาประโยชน์ไม่ได้ และฉันยังพบอีกว่าการสร้างความสุขใจเล็กๆน้อยๆขึ้นในจิตใจ
มันเติมพลังชีวิตให้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณรู้ไม๊ความสุขเล็กๆน้อยๆนี่มันเกิดขึ้นบ่อยๆได้นะ
และคุณควรจะทำบ่อยๆเพราะมัน ไม่เหมือนความสุขในเรื่องใหญ่ๆที่นานๆจะเข้ามาในชีวิตครั้ง
อาจจะ สิบปี ยี่สิบปี หรือครั้งเดียวในชีวิต เช่นเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ได้รถใหม่ ซื้อบ้าน
แต่ความสุขเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และสิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันได้รับ
คือ ความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆต่อไปในเมื่อก้าวแรกผ่านได้ก้าวที่สองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ฉันนำวิธีการจัดลิ้นชัก จัดตู้ จัดภายในห้องของฉันนี้มาปรับใช้กับวิธีคิดของฉันด้วย
และมันคือข้อหนึ่งในคัมภีร์การดำเนินชีวิตให้มีสุขของฉันเลยหล่ะ
“เมื่อห้องสะอาดมีระเบียบ เนื้อตัวสะอาดและจิตใจสะอาด.
นั่นแหละจึงจะพร้อมสำหรับสิ่งสร้างสรรค์” ความคิดในจิตใจบอกกับฉัน
ฉันรู้ว่าฉันควร
ทำความสะอาดจิตใจ ขัดเกลาจิตใจ ค่อยๆและค่อยๆแกะสิ่งที่ไม่ดีที่เกาะกลุ่มจิตใจฉันออกไป ออกไป
เหมือนกับที่ฉันได้จัดการกับลิ้นชักและตู้ในห้อง คือ ทิ้งขยะในจิตใจออกไปเป็นอันดับแรก
แล้วฉันจะต้องทำยังไงในเมื่อมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจ แบบไหน ยังไง เอาออกมาทิ้งได้ยังไง
ฉันมีคำถามและฉันก็ได้รับคำตอบในเวลาต่อมา
“สิ่งของที่เป็นขยะก็ทิ้งออกไป ส่วนอภัยและเมตตา คือการทิ้งขยะในจิตใจ
และการจัดเรียงระบบความคิดจิตใจ คือ การถามใจตัวเอง ความรักสามร้อยหกสิบองศาและ การให้”
อภัย เมตตา นี่ฉันพอเข้าใจว่าทำได้ (ตอนนั้นฉันคิดว่าเข้าใจดีแต่จริงๆมันยังเป็นการเข้าใจที่ผิวเผินอยู่แต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจลึกซึ้ง)
แต่ความรักสามร้อยหกสิบองศา งง ฉันงง แล้วฉันก็ได้รับปริศนามาขบคิดในขณะที่ยัง งงๆ กับความรักสามร้อยหกสิบองศาอยู่
“ ความแตกต่างระหว่างมีความรู้และมีปัญญา ใช้ปัญญาสิ ใช้ปัญญา”
ฉันมาทบทวนคำสองคำ ความรู้ อ้อ ก็การศึกษา หรือรู้มาจาก ครอบครัว สื่อต่างๆ อายุมากก็รู้มากเพราะมีประสบการณ์
ปัญญา ฉันก็รู้ คือ ความรู้ที่เข้าใจถึงเหตุและเข้าใจถึงผล รู้อย่างท่องแท้ ความรู้ที่ได้รับการตรึกตรองอย่างดีแล้วด้วยเหตุผล
และปัญญาอาจมาจากการเจริญสติอีกวิธีหนึ่ง
แล้วฉันก็นึกฉุกใจขึ้นมา อือ...ก็จริงนะ ฉัน ไม่ค่อยเคยให้เวลากับตัวเองในการที่จะนั่งนึกตรึกตรองด้วยการใช้ปัญญา
ในเรื่องต่างๆและอย่างเรื่องที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อืมมม...ต่อไปนี้ฉันจะใช้ปัญญาด้วยการใช้สติตรึกตรองและทบทวน
เรื่องราวต่างๆเพื่อการดำเนินชีวิตของฉันแล้วหล่ะ
“ความรักสามร้อยหกสิบองศาเหมือนดวงดาวที่ทอประกายแสงรอบตัว” ความคิดแวบไหลเข้ามาอีกครั้ง
........