เรื่องเหล้า ตอน ล้มเลิก

กระทู้สนทนา
ฉิม หนุ่มใหญ่หัวหน้าก๊วนสุราในซอยเล็ก ๆ ท้ายหมู่บ้าน ด้วยความที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มและความพิสมัยในรสน้ำอมฤตยิ่งกว่าจานอาหารชั้นเลิศในภัตตาคารหรู เขาเข้ามานั่งรอในร้านเหล้าเตรียมสั่งเครื่องดื่มและอาหารไว้แล้ว แน่นอนว่าฉิมไม่เคยแม้แต่เดินเฉียดกายเข้าใกล้ภัตตาคารหรู เพราะด้วยอาชีพแรงงานขั้นต่ำรายวัน ความสุขเดียวของฉิมคือการเจียดเงินที่ต้องดูแลลูกเมียมาเข้ากลุ่มสมาคมสุราในคืนวันศุกร์และวันสุข

             ทุก ๆ สิ้นอาทิตย์ฉิมจะต้องมาเจอเพื่อนคลายทุกข์ที่บรรจุอยู่ในขวดกลมขนาด 750 มิลลิลิตร และยังมีเพื่อนคลายทุกข์อีก 3 คนที่มาร่วมวงด้วยกันเป็นประจำไม่เคยขาดแม้สักคนเดียวมาตลอด 5 ปี หากฉิมเป็นประธานบริษัท เขาคงแจกประกาศนียบัตรให้กับ ยศ เต้และนัยแล้ว ในฐานะที่มาเข้าร่วมประชุมใหญ่ประชุมย่อยไม่เคยขาด และทั้งหมดต่างอยู่ครบวาระการประชุมทุกครั้งจนกว่าท่านประธานจะปิดการประชุม

             ยศ หนุ่มน้อยลงมาหน่อยจากฉิม เขาโสดไม่มีภาระผูกพัน ด้วยความหล่อคมเข้มแต่งตัวดีและมีเสน่ห์ ยศจึงมีคู่เดทมากหน้าหลายตา หลายคืนหลังเลิกงานจากออฟฟิศ หนุ่มหน้าตาดีมักจะผลาญเวลาไปกับการใช้ชีวิตคู่ชั่วคราวในแต่ละคืน แต่ยกเว้นคืนวันศุกร์เท่านั้นที่เขาจะรีบเคลียร์งานและกลับบ้านตรงเวลา เพื่อที่จะมาทันกำหนดนัดหมายสำคัญ

             เต้ หนุ่มเมสเซ็นเจอร์รับส่งเอกสารย่านใจกลางเมือง เต้อายุเท่าเดียวกับยศ ด้วยอุดมการณ์ที่มีเหมือน ๆ กันกับฉิมและยศ เขาจึงจงใจจัดสรรช่วงเวลาการรับงานในวันศุกร์เป็นพิเศษ เขาจะไม่รับงานเกินเวลาโดยเด็ดขาด แม้ว่าค่าจ้างงานในช่วงเวลานั้นจะหอมหวานเพียงใด แต่ในความคิดของเต้ มันคงไม่มีทางหอมหวานยิ่งไปกว่าน้ำสีเข้มนั่น และมิตรภาพในวงเหล้าที่พวกเขาช่วยกันสั่งสมมานนานกว่าครึ่งทศวรรษแล้ว

             และสมาชิกวงเหล้าอีกคนที่ชื่อนัย นัยเป็นรุ่นน้องในกลุ่ม เขามีอาชีพเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง ในวงการผู้รับเหมามักจะต้องไปสังสรรค์ในคืนวันสุดสัปดาห์เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ในสายตาของเพื่อนร่วมงานมักคิดว่านัยเป็นคนที่ไม่ดื่มสุรา เพราะทุกคืนวันศุกร์นัยจะไม่ติดตามกลุ่มเพื่อนร่วมงานไปร่ำสุราที่ไหน เพราะเขามีกลุ่มสุราส่วนตัวอยู่แล้วใกล้ ๆ บ้านของเจาเอง

             

             ยศ เต้และนัยขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอกันที่หน้าร้านเหล้าพอดี ร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่สร้างจากสังกะสีเก่า ๆ ผุ ๆ เก้าอี้กับโต๊ะที่สร้างจากไม้ง่าย ๆ วางเรียงรายกันกว่าสิบชุด ครัวที่ดูไม่สะอาดนักแต่ถูกปกปิดด้วยความมืด แต่ด้วยราคาเครื่องดื่มและอาหารที่เป็นมิตรกับกระเป๋าคนใช้แรงงาน ร้านเหล้าของลุงโฉมจึงแออัดไปด้วยลูกค้าขาประจำและขาจร

             “รีบ ๆ เข้าไปเลย ลูกพี่พวกเอ็งมานั่งรอนานแล้ว”

             ลุงโฉมพูดทักทายเมื่อมองเห็นกลุ่มลูกค้าขาประจำและจำได้ว่ากลุ่มไหน พูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าลงไปสับคอไก่บนเขียงไม้เก่า ๆ

             “เข้าไปเลย เดี๋ยวลูกพี่พิโรธ”

             ยศพูดเร่งให้ทั้งหมดเดินเข้าร้าน

             สิ่งที่ทั้งสามเห็นเมื่อไปถึงที่โต๊ะ คือขวดเหล้าที่พร่องลงไปเกินคอขวดแล้ว จานลาบเป็ดที่ลดจำนวนลงไปกว่าหนึ่งในสาม ชามต้มโคล้งที่น้ำลดระดับลงไปทิ้งรอยน้ำที่ลดลงมากว่าหนึ่งนิ้ว

             ทันทีที่ฉิมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะหลังจากที่กระดกแก้วเหล้ารวดเดียวหมด เขาเห็นเพื่อนรุ่นน้องทั้งสามยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ด้วยแววตาที่ระอายเล็กน้อยลดลงมามองของที่วางบนโต๊ะ เขาจึงพยายามพูดแก้ตัว

             “อื้ม...” ฉิมทำเสียงดังในลำคอ “กับแกล้มยังอร่อยเหมือนเดิม เป็ดสด ๆ เพิ่งถูกฆ่าวันนี้ ต้มโคล้งรสชาติดีจากปลาแห้งที่ตากได้ที่ และไม่ต้องห่วงว่าเหล้าขวดนี้จะเป็นเหล้าปลอม ข้าทดสอบแล้ว”

             ฉิมยกขวดเหล้ามาเทใส่แก้วโดยที่ไม่ลืมเปิดฝา ก่อนจะยกขวดโซดาเทตามลงไปจนหมดขวด

             “อ้อ” ฉิมมองไปที่ทั้งสามพร้อมชูขวดโซดา “โซดายังซ่าถึงหยดสุดท้าย”

             ฉิมเทน้ำทั้งหมดในแก้วลงคอ

             “โธ่... ไอ้พี่บ้า เขาปลอมแต่เหล้าแบล๊คเลเบิ้ล ชีวาส เหล้าขวดละพันสองพัน แล้วนี่อะไร” ยศชี้ไปที่ขวดเหล้า “แสงโสมขวดละสองร้อยกว่าบาท ถ้าโจรมันโง่มาปลอมแสงโสมขาย ชาติหน้ามั้งพวกมันคงจะรวยกัน”

             เต้และนัยหัวเราะชอบใจ

             “ขอบคุณนะครับพี่” นัยยกมือไหว้ไปที่ฉิม

             “ขอบคุณเรื่องอะไรวะ” ฉิมทำท่างง

             “ก็ขอบคุณที่ยอมเสี่ยงชิมเหล้าปลอมให้พวกผมไงครับ” นัยตอบพร้อมทำหน้าทะเล้นเรียกเสียงหัวเราะจากยศและเต้

             “เอ่อ ๆ ข้าผิดเองที่เสียมารยาทไม่รอน้อง ๆ ที่เคารพก่อน มา ๆ มานั่งกันได้แล้ว”

             “แหมพี่ ไม่มีใครว่าอะไรซักหน่อย” นัยพูดเสร็จก็จัดแจงชงเครื่องดื่มให้ทุกคนบนโต๊ะ ในฐานะที่เขาเป็นน้องเล็กสุดในวง

             “แล้วทำไมวันนี้พวกเอ็งมาช้าวะ มาช้ากว่าปกติเกือบยี่สิบนาที” ฉิมเปิดประเด็น

             “ผมก็จะมาทันแล้วล่ะพี่ แต่ที่ถนนใหญ่มีอุบัติเหตุ ถนนปิดเหลือเลนเดียว” เต้อธิบายเหตุผล

             “ส่วนผมต้องส่งเมล์ให้ลูกค้าน่ะพี่ เลยออกจากไซท์งานช้าไปนิดนึง” นัยอธิบายบ้าง

             “เหรอ น่าเห็นใจ งานคงยุ่ง” ฉิมปลอบใจรุ่นน้องก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มระบายความเครียด เหมือนเรื่องเครียด ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นกับเขาเอง

             “แล้วเอ็งล่ะไอ่ยศ ทำไมถึงมาช้าวันนี้” หัวหน้าแก๊งวงเหล้าหันไปมองหน้าผู้ถูกถาม

             “เครียดเรื่องที่ทำงานนิดหน่อยน่ะพี่ โดนเพื่อนร่วมงานโบ้ยงานให้ ผมเลยต้องรีบเคลียร์งาน เป็นแบบนี้มาทั้งอาทิตย์แล้วเนี่ย เบื่อ ๆ”

             ยศพูดเสร็จก็รีบรินแก้วเหล้าเข้าปากเพื่อระงับอารมณ์ที่ร้อนระอุ

             “ผมอยากจะลาออกจากบริษัทเต็มทนแล้ว”

             “ใจเย็น ๆ แค่อาทิตย์เดียวเองไม่ใช่เหรอ อดทนหน่อยสิ ช่วงนี้งานอาจจะยุ่งก็ได้นะ รอซักพักให้อะไรเข้าที่เข้าทางก่อน อย่าลืมสิว่างานสมัยนี้หายาก ลาออกไปแล้วไม่ได้งานใหม่จะเอาอะไรกิน” ฉิมปลอบใจและเตือนสติรุ่นน้อง

             “ใช่ ๆ งานของแกออกจะดี ได้นั่งออฟฟิศตากแอร์เย็นสบาย ข้านี่สิขี่รถตากแดดทุกวัน ๆ” เต้พูด

             ฉิมนึกขึ้นได้ว่ากับแกล้มหมดจึงตะโกนสั่งเจ้าของร้าน

             “ลุงโฉม ขอถั่วทอด ยำแหนม เอ็นไก่ทอด” ฉิมสั่งของเสร็จก็หันมาทางยศ “ ข้าสั่งกับแกล้มมาแล้ว เดี๋ยวเรามาดื่มย้อมใจกันให้อารมณ์เย็น ๆ”

             ไม่นานลุงโฉมเจ้าของร้านก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะตามที่ฉิมสั่ง เขายังเอาขวดโซดาขวดใหม่มาวางแทนขวดเดิมที่พร่องไปจนหมดแล้ว

             “ขอบคุณพี่” ยศเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “อ้อ... ผมมีของมาฝากพวกพี่ด้วย เกือบลืมแน่ะ” เมื่อพูดจบเขาหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนโต๊ะและล้วงมือเข้าไปหยิบของมาวางบนโต๊ะ 3 ชิ้น

             “เฮ้ย ! อะไรวะ สวยดี” ใครคนหนึ่งร้องอุทานเบา ๆ

             “วุ้นกุหลาบ” ยศเฉลย

             “ไหน ๆ ไม่เห็นมีดอกกุหลาบซักกลีบเลย” เจ้าของเสียงอุทานถาม

             “ไม่ใช่ ๆ นี่คือวุ้นมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงถูกนำมาหั่นบาง ๆ แล้วมาเรียงกันให้เป็นดอกกุหลาบ” ยศหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดจิ้ม “นี่ไงพี่”

             ฉิมรับสมาร์ทโฟนมาดู โดยมีสองคนที่นั่งข้างมาร่วมดูด้วย

             http://ppantip.com/topic/35159147

             “เป็นแบบนี้นี่เอง” ฉิมคลายความสงสัย เนื่องจากในร้านแสงน้อยทำให้มองไม่ถนัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร “มันเป็นของหวานนี่ ขอบใจ เดี๋ยวข้าเอากลับไปกินที่บ้านละกัน ของหวานกับเหล้าไม่เข้ากัน ลิ้นไม่รับรสแล้วตอนนี้”

             ยศเห็นเพื่อนร่วมวงทำท่าจะเก็บของฝาก จึงรีบพูด

             “กินเลย ๆ อร่อยมากนะ รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย เอากลับไปกินที่บ้านทิ้งไว้นานเดี๋ยวไม่อร่อยแล้ว”

             ทั้งสามได้ยินดังนั้นจึงค่อย ๆ เปิดฝาและใช้ช้อนตักเนื้อวุ้นใส่ปาก

             “อร่อย !” ฉิม เต้ และนัยแทบจะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

             “ไปเอามาจากไหนเนี่ย” เต้ถาม

             “พอดีมีสาว ๆ ซื้อมาฝาก ข้าเลยบอกว่าเอามาสี่เลย เพราะคิดถึงพวกเราไง”

             “สุดยอด ร้ายกาจจริง ๆ” เต้พูด

             “ว่าแต่ทำยากมั้ยนี่” นัยพูด

             “ไม่น่ายากนะ แค่จัดเรียงชิ้นมะม่วงให้เป็นรูปดอก เอาวางในถ้วยแล้วก็ราดด้วยน้ำที่ผสมผงวุ้นแล้วก็แช่ในตู้เย็นให้แข็งก็ขายได้แล้ว”

             “ทำไมทำง่ายจัง วัตถุดิบใช้แค่สองอย่างเอง” เต้เสริม “คงจะขายดีนะเนี่ย”

             “คนที่ซื้อวุ้นนี้มาให้บอกว่านี่คือ 4 กล่องสุดท้ายพอดี” ยศบอก

             “แล้วร้านอยู่ขายที่ไหน” ฉิมถาม

             “เปล่าหรอก เป็นพนักงานออฟฟิศตึกเดียวกันเขาทำมาขายเล่น ๆ ที่ออฟฟิศไม่ได้ทำจริงจังอะไร มาวันนึงก็ 10 ชิ้นกว่า ๆ”

             “เสียดายจริง ๆ ถ้าทำขายจริงจังน่าจะกำไรดี” ฉิมพูด

             “คงจะอย่างนั้น เขาขายอันละ 35 บาท”

             “เฮ้ย... ท่าทางจะกำไรดี แกทำขายจริง ๆ จัง ๆ เลยสิ ลาออกจากงานมาทำขายเลย” ฉิมเสนอ

             “มันจะดีหรือพี่ แล้วจะเอาไปขายที่ไหน”

             “ที่โรงงานข้าพวกสาว ๆ ชอบซื้อของแบบนี้กินประจำ สมมุตินะว่าขาย 35 บาท ต้นทุนผงวุ้นกับมะม่วง น่าจะซักครึ่งลูกมั้ง ตีไปเลยต้นทุน 10 บาท ได้แล้วเหนาะ ๆ 25 บาท แบ่งให้คนเอาไปขาย 5 บาท ข้าเอาไป 30 ชิ้นแกก็ได้แล้ว 600 บาท ในโรงงานคนเป็นร้อย ๆ ขายได้แน่นอนอยู่แล้ว แบ่งให้เต้กับนัยไปขายคนละ 20-30 ชิ้น วันนึงมีรายได้เป็นพัน โอ้... รวยๆ”

             ยศจ้องมองไปที่แก้วเหล้า แต่ในใจของเขารู้สึกพองโต เมื่อได้ยินคำพูดของฉิมที่อาจจะสร้างอาชีพใหม่ให้เขาหลุดพ้นจากวังวนการทำงานที่แสนน่าเบื่อในออฟฟิศ

             “น่าสนนะพี่ ถ้าผมทำได้วันละ 100 ชิ้น ก็น่าจะมีรายได้เกือบวันละ 2 พันบาท เดือน ๆ นึงก็น่าจะมีรายได้กว่า 3 หมื่นบาท นั่นมากกว่าที่ผมทุ่มเทชีวิตให้กับออฟฟิศเกือบสองเท่าเลยนะเนี่ย” ยศพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

             “จริงด้วยนะพี่ หากพี่ทำ ผมจะเอาไปขายที่ไซท์งาน พวกคนงานก่อสร้างและพวกคนคุมไซท์ต้องมาซื้อกินแน่ ๆ” นัยเสริม

             “เอาเลย ๆ ข้าก็จะเอาไปช่วยขายให้ที่คิวรถ ราคาแค่นี้พวกนั้นมันซื้อกินแน่ ไอ่พวกนี้กินขนมกันวันละเกือบร้อยแล้ว” เต้สนับสนุนด้วยอีกเสียง

             สายตาของยศเป็นประกายด้วยความหวังที่เขาจะสามารถลาออกจากออฟฟิศนรกนั้นได้ การมีธุรกิจส่วนตัวเป็นความฝันของหนุ่มสาวยุคใหม่ ไม่ต้องมีเจ้านาย ไม่ต้องมีเพื่อนร่วมงานให้ปวดหัว ไม่ต้องออกไปเผชิญรถติด ไม่ต้องไปแย่งอากาศกันหายใจ ไม่ต้อง ๆๆๆ ...

             “เดี๋ยววันจันทร์ผมจะไปเขียนใบลาออกเลย” ยศพูดเสร็จก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มฉลองให้กับอิสรภาพล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่มันยังมาไม่ถึง “เอ้า ! ทุกคนหมดแก้ว” ทุกคนบนโต๊ะทำตาม

             “แต่ก่อนอื่นต้องไปหาซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้มาสต๊อกเยอะ ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ลองฝึกทำ” ยศพูด

             “เดี๋ยวก่อน” ฉิมขัด “ซื้อมาเก็บไว้เดี๋ยวมันก็เน่าสิ เก็บไว้นานมันจะสุกไปก่อน”

             “จริงด้วย แล้วต้องทำยังไงล่ะเนี่ย”

             “ไม่ต้องห่วงพี่ ผมพอรู้จักเจ้าของสวนผลไม้ มีมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยนะ ถ้าเรารับประจำเขาคงลดราคาให้” นัยพูด

             “เยี่ยมเลย แล้วสวนเขาอยู่ที่ไหน”

             “อยู่นอกเมือง ขี่มอไซค์แค่สิบโลเอง ขนมาที่ละ 30-40 ลูกก็ได้ พอดีทำวันต่อวัน” นัยอธิบายเพิ่มพร้อมออกความเห็น

             “อืมม...” ยศทำท่าครุ่นคิด “เพิ่มขั้นตอนขนส่ง เพิ่มต้นทุนค่าเดินทาง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่