เราเป็นหนึ่งในคนที่ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า รักคืออะไร? เกิดขึ้นมาได้ยังไง? อะไรที่ให้รู้สึกว่ารักใครสักคน?
ถ้าถามใครต่อใคร ในทางปรัชญาก็มักจะได้คำตอบว่าความรักคือการให้ คือการรักใครแบบไม่มีเงื่อนไข, ความรักคือการผูกมัด,
ความสัมพันธ์หรือพันธสัญญาที่มีขึ้นระหว่างคนสองคน ฯลฯ ในแง่มุมนี้เราเข้าใจดี และเราก็เชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น
แต่มันก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ตรงใจเราซะทีเดียว ในเมื่อเรายังสงสัยว่าความรักมันส่งผลอะไรในตัวเราให้เรียกว่ามันคือความรัก
รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
จนกระทั่งเราได้มีโอกาสหาคำตอบให้กับมันอีกครั้ง ซึ่งมันก็มีคำนิยามและคำอธิบายให้กับความรักที่ต่างออกไป
เมื่อเราได้มาทำเข้าใจ"ความรัก"ในมุมมองวิทยาศาตร์ น่าสนใจทีเดียวค่ะ เลยเอามาแชร์ให้กัน..
(อ้างอิงจากบทสนทนาของ Dr. Barbara L. Fredrickson, the University of North Carolina at Chapel Hill)
ความรักในมุมมองวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่...
ความต้องการทางเพศ, การรักใคร่โรแมนติก, พันธสัญญา หรือการผูกมัดใดๆ
และ"รัก"เป็นอารมณ์ที่เกิดและมีได้ไม่นาน, ไม่ใช่จู่ๆก็เกิดขึ้นมาดื้อๆ และไม่ใช่ว่าไม่มีเงื่อนไข
"รัก" คือ อารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดจากประสบการณ์ที่มีและเกิดขึ้นระหว่างบุคคล(คนสองคนหรือมากกว่านั้น)ในชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้มีการแบ่งปันหรือส่งผ่านอารมณ์ในเชิงบวกระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น, มีพฤติกรรมของบุคคลที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน รวมไปถึงการดูแลและความห่วงใยที่มีให้กันก็มากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งถ้าผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งจะก่อให้เกิด
1. สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างบุคคล (ยกตัวอย่างเช่น รู้สึกว่าเราเข้าใจกันนะ หรือเราเข้ากันได้ดี เป็นต้น),
2. การผูกมัดทางสังคม (เช่น มีสถานะขึ้นชื่อว่า แฟน, คนรัก)
3. และสุดท้ายจึงเกิดพันธสัญญา (ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน หรือการให้สัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์และมีกันและกันตลอดไป)
ดังนั้นเราสังเกตได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากคำอธิบายข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการหึงหวง, การประชด, คำพูด, ท่าทาง
และการแสดงออกต่างๆล้วนเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาภายหลัง จริงๆแล้ว "รัก" เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกในเชิงบวกเท่านั้น
แต่ไม่ว่าความรักจะถูกนิยามว่าอย่างไร ต่างก็มีจุดประสงค์และเป้าหมายที่เหมือนกันคือ การดูแลรักษาประคับประคองความรักไว้ให้ดี
ก็เหมือนคอยป้อนสารอาหารและสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้าไปหล่อเลี้ยงความรัก และมันจะส่งผลดีกับตัวเราและกระจายไปสู่คนอื่นๆรอบข้างเช่นกัน
What is Love? รักคือ.. ความรักในมุมมองวิทยาศาสตร์
เราเป็นหนึ่งในคนที่ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า รักคืออะไร? เกิดขึ้นมาได้ยังไง? อะไรที่ให้รู้สึกว่ารักใครสักคน?
ถ้าถามใครต่อใคร ในทางปรัชญาก็มักจะได้คำตอบว่าความรักคือการให้ คือการรักใครแบบไม่มีเงื่อนไข, ความรักคือการผูกมัด,
ความสัมพันธ์หรือพันธสัญญาที่มีขึ้นระหว่างคนสองคน ฯลฯ ในแง่มุมนี้เราเข้าใจดี และเราก็เชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น
แต่มันก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ตรงใจเราซะทีเดียว ในเมื่อเรายังสงสัยว่าความรักมันส่งผลอะไรในตัวเราให้เรียกว่ามันคือความรัก
รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
จนกระทั่งเราได้มีโอกาสหาคำตอบให้กับมันอีกครั้ง ซึ่งมันก็มีคำนิยามและคำอธิบายให้กับความรักที่ต่างออกไป
เมื่อเราได้มาทำเข้าใจ"ความรัก"ในมุมมองวิทยาศาตร์ น่าสนใจทีเดียวค่ะ เลยเอามาแชร์ให้กัน..
(อ้างอิงจากบทสนทนาของ Dr. Barbara L. Fredrickson, the University of North Carolina at Chapel Hill)
ความรักในมุมมองวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่...
ความต้องการทางเพศ, การรักใคร่โรแมนติก, พันธสัญญา หรือการผูกมัดใดๆ
และ"รัก"เป็นอารมณ์ที่เกิดและมีได้ไม่นาน, ไม่ใช่จู่ๆก็เกิดขึ้นมาดื้อๆ และไม่ใช่ว่าไม่มีเงื่อนไข
"รัก" คือ อารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดจากประสบการณ์ที่มีและเกิดขึ้นระหว่างบุคคล(คนสองคนหรือมากกว่านั้น)ในชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้มีการแบ่งปันหรือส่งผ่านอารมณ์ในเชิงบวกระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น, มีพฤติกรรมของบุคคลที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน รวมไปถึงการดูแลและความห่วงใยที่มีให้กันก็มากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งถ้าผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งจะก่อให้เกิด
1. สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างบุคคล (ยกตัวอย่างเช่น รู้สึกว่าเราเข้าใจกันนะ หรือเราเข้ากันได้ดี เป็นต้น),
2. การผูกมัดทางสังคม (เช่น มีสถานะขึ้นชื่อว่า แฟน, คนรัก)
3. และสุดท้ายจึงเกิดพันธสัญญา (ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน หรือการให้สัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์และมีกันและกันตลอดไป)
ดังนั้นเราสังเกตได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากคำอธิบายข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาการหึงหวง, การประชด, คำพูด, ท่าทาง
และการแสดงออกต่างๆล้วนเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาภายหลัง จริงๆแล้ว "รัก" เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกในเชิงบวกเท่านั้น
แต่ไม่ว่าความรักจะถูกนิยามว่าอย่างไร ต่างก็มีจุดประสงค์และเป้าหมายที่เหมือนกันคือ การดูแลรักษาประคับประคองความรักไว้ให้ดี
ก็เหมือนคอยป้อนสารอาหารและสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้าไปหล่อเลี้ยงความรัก และมันจะส่งผลดีกับตัวเราและกระจายไปสู่คนอื่นๆรอบข้างเช่นกัน