3 ทำนายย้ำชัดเจน มันคือการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทำไมตำรวจบอกไม่ใช่ ผมงง??

3 ทำนายย้ำชัดเจน มันคือการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทำไมตำรวจบอกไม่ใช่ ผมงง??

1.ทนายอนันตชัยย้ำชัดเจนว่าคือ "การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน"
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
2.ทนายคู่ใจ FB ของทนายรณณรงค์ ให้ความเห็นตามนี้
จากลิงค์
https://www.facebook.com/applawyer/photos/a.541696149204737.1073741826.540888145952204/1086995148008165/?type=3&theater



ประหารเลย 7 วัยรุ่นชั่ว

กลายเป็นกระแสที่รุนแรงมากกับการที่ตำรวจไม่ตั้งข้อหา ฆ่าโดย ”ไตร่ตรองไว้ก่อน” มาดูกันว่าแค่ไหนเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน

“ไตร่ตรองไว้ก่อน” เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิด ผู้กระทำไม่ต้องรู้ว่าการกระทำของตนเป็นการไตร่ตรองหรือไม่ก็ได้ หากมีพฤติการณ์ปรากฏให้เห็นได้ว่า การฆ่าคนตายนั้นมีการคิดและทบทวนก่อนมีการลงมือฆ่าแล้ว ก็ถือว่าเป็นการฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ผู้กระทำไม่จำต้องไตร่ตรองนานแล้วจึงฆ่า

แม้คิดทบทวนไม่นานก็ถือว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

การที่โจ๋วัยรุ่นโทรตามเพื่อนมาและการหยิบพกพาอาวุธมาด้วย เป็นเจตนา เล็งเห็นผลว่า มีดเป็นอาวุธโดยสภาพ ถ้านำไปฟัน ทำร้าย อาจทำให้ถึงตายได้

ส่วนระยะเวลา ที่โทรตามเพื่อนและเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ จากรายงานข่าวประมาณการ 10 กว่านาที มีเวลาให้ยับยั้งชั่งใจ ระงับโทสะได้ เป็นการคิดไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว และถ้าฟังได้ว่าพฤติการณ์ขาดตอนไปจากการที่มีปากเสียงกันในตอนแรก ก็ไม่มีเหตุอื่นใดที่ตำรวจจะไม่แจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

แนวคำพิพากษาฎีกาล่าสุด ก็ตัดสินไว้ทำนองว่า ถ้ามีเวลาคิดยับยั้งชั่งใจ ก็เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งอัตราโทษตามมาตรา 289(4) คือประหารชีวิต

คำพิพากษาศาลฎีกา 4577/2558 จำเลยที่ 1 เดินออกจากร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุกลับถึงห้องพัก ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 2 ถึง 3 กิโลเมตร แล้วจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้พูดเกลี้ยกล่อมจำเลยที่ 1 ไม่ให้กลับไปอีก ทั้งได้ความว่าจำเลยทั้งสี่ออกไปจากร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุได้ประมาณ 30 นาที ก็กลับมาอีก เมื่อหักเวลาเดินทางไปและกลับระหว่างร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุกับห้องพักของจำเลยทั้งสี่เชื่อว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ใช้เวลาพูดเกลี้ยกล่อมไม่ให้จำเลยที่ 1 กลับไปที่ร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุนานประมาณ 20 นาที ซึ่งจำเลยที่ 1 น่าจะสามารถระงับสติอารมณ์ทำให้โทสะหมดสิ้นไปแล้วและกลับมามีสติสัมปชัญญะดีเหมือนเดิม การที่จำเลยที่ 1 กลับไปที่ร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุแล้วทำร้ายผู้ตายจึงหาใช่เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยที่ 1 ยังมีโทสะอยู่ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ขาดตอนไปแล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ตระเตรียมอาวุธมีดของกลางกลับไปที่ร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุ ไล่ตามผู้ตายที่วิ่งหนีไปเป็นระยะทางถึง 50 เมตร และใช้อาวุธมีดของกลางที่เตรียมมาฟันแทงผู้ตายอย่างแรงหลายครั้งจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 289 ผู้ใด (4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต สถานเดียว

ซึ่งต่อจากนี้พนักงานสอบสวนต้องพิจารณาสำนวนคดีอย่างรอบคอบเพราะนี่คือการคาดเดาจากคนภายนอกซึ่งไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินอะไรโดยตรงสิ้น อาจจะมีเรื่องบางอย่างหรือพลังงานบางสิ่งที่เราไม่เห็นเหมือนที่พนักงานสอบสวนได้เห็น

3.ทนายเกิดผล แก้วเกิด จาก FB
ลิงค์อ้างอิง https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=131071977303907&id=100012033163351

ตามที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ ไม่ดำเนินคดีข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับกลุ่มวัยรุ่น 6 คน ที่ฆ่าชายพิการ เพราะเหตุผลว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงเจตนานั้น
ความจริง จากภาพถ่าย cctv ที่ธนาคาร จะเห็นว่า วัยรุ่นดังกล่าวได้มีการใช้โทรศัพท์ให้เพื่อนออกมาพร้อมอาวุธ ซึ่งมีลักษณะเป็นการหารือ วางแผน นำอาวุธมีดไปฆ่าผู้ตาย ซึ่งเป็นชายพิการ
พฤติการณ์ดังกล่าว จึงเป็นการร่วมกันวางแผนฆ่าผู้ตาย อันการไตร่ตรองไว้ก่อน
และมีแนวคำพิพากษาฎีกา วินิจฉัยพฤติการณ์เช่นนี้ว่า เป็นการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หลายคดี เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13360/2556
พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรสาคร
โจทก์
นายณรงค์ โพธิ์ศรีทอง
จำเลย
ป.อ. มาตรา 83, 288, 289(4)
การที่จำเลยกับพวกมีการวางแผนและตระเตรียมอาวุธไปพร้อมตีทำร้ายผู้ตายหลายครั้งทั้งที่ผู้ตายเป็นคนพิการไม่มีทางต่อสู้ได้ จนได้รับบาดแผลและถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล และเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 288, 289 (4), 295, 296, 371 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 296, 371 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนกับฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 90 บาท คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 60 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 การกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นกับฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน รวมโทษในความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรแล้ว เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน และปรับ 60 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกับพวกมีการวางแผนและตระเตรียมอาวุธไปพร้อม เมื่อจำเลยกับพวกพบเห็นผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองก็ลงมือทันทีทันใดโดยที่ผู้ตายกับพวกไม่ทันตั้งตัว ผู้ตายถูกมีดฟันและทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ผู้ตายเป็นคนพิการไม่มีทางต่อสู้จำเลยกับพวกย่อมเลือกทำร้ายได้ การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการตระเตรียมอาวุธมุ่งทำร้ายผู้ตายนั้น เห็นว่า จากพฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธมีด ท่อนเหล็ก และท่อนไม้ของกลางฟันและตีทำร้ายร่างกายผู้ตายหลายครั้งทั้งที่ผู้ตายเป็นคนพิการไม่มีทางต่อสู้จนได้รับบาดแผลตามรายงานการตรวจศพ อันเป็นกรณีที่รับฟังถึงที่สุดแล้วว่าการกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล และเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกตระเตรียมอาวุธมีด ท่อนเหล็กและท่อนไม้ไว้เพื่อหาโอกาสทำร้ายผู้ตายกับพวกด้วยสาเหตุที่มีเรื่องบาดหมางไม่พอใจกันมาก่อน เมื่อสบโอกาสจำเลยกับพวกก็ร่วมกันใช้อาวุธดังกล่าวฟันและตีทำร้ายผู้ตายย่อมแสดงว่า จำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ไม่เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น


4.ขนาดรองปลัดกระทรวงยุติธรรมเห็นแย้งกับตำรวจเลยว่า "ทำไมไม่ตั้งข้อหา ฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน" กับ 6 วัยรุ่น
ลิงค์อ้างอิง
http://krvas.com/2016/05/17/7-16/


ความคิดเห็นของคุณตำรวจ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ล่าสุด
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ทนายหรือตำรวจโกหกฟันธงทีครับ???? ผมงงตรงที่ ทำไมตำรวจทำเหมือนรู้กฏหมายมากกว่าทนาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่