สำหรับแฟนบอลไทยในยุคนี้ถ้าอายุสัก 20 กว่าปีขึ้นไป คงไม่มีใครไม่รู้จักทีมชาติไทยชุดดรีมทีม โดยมีจุดกำเนิดจากไอเดียของ “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล ผู้จัดการทีมในยุคนั้นที่ยึดโมเดลนักฟุตบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกาชุดฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ดึงนักเตะสหรัฐฯที่ค้าแข้งในต่างแดนมาอยู่รวมกันในศูนย์ฝึก ไม่ต้องกลับไปเล่นให้กับต้นสังกัด และทางทีมชาติจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินเดือนให้กินนอนอยู่ในแคมป์ฝึกซ้อม
จุดแจ้งเกิดของทีมชาติไทยชุดดรีมทีม คือรายการคิงส์คัพ ปี พ.ศ.2536 ที่ได้แชมป์ชนิดหักปากกาเซียนเพราะเป็นทีมชาติชุดบี ทั้งที่ถูกมองว่าเป็น Underdog หรือทีมรองบ่อน ขณะที่ชุดเอกลับไม่ได้แชมป์และหลังจากนั้นก็ประสบความสำเร็จในภูมิภาคอาเซียนคว้าแชมป์ซีเกมส์ จนไปถึงการได้อันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ ในปี พ.ศ.2541 ที่มีปีเตอร์ วิธ คุมทีม
นักเตะในยุคนั้นก้าวขึ้นมามีเชื่อเสียงในอาชีพโค้ชฟุตบอลในเวลาต่อมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่พาทีมชาติไทยกลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุคที่เขาเป็นนักเตะอีกครั้ง
หรือคนอื่นอย่าง ธชตวัน (ตะวัน) ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, วรวุฒิ ศรีมะฆะ, กฤษฎา เพี้ยนดิษฐ์, เศกสรร ปิตุรัตน์ ฯลฯ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคอลูกหนังไทยจนถึงทุกวันนี้
โมเดลนี้ถูกผู้หลักผู้ใหญ่นำมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่ฟุตบอลลีกบ้านเราก้าวสู่ความเป็นอาชีพอย่างเต็มตัว นักเตะแต่ละคนมีต้นสังกัด กินเงินเดือนหลักแสน และไม่มีทางที่จะดึงมาร่วมซ้อมกินนอนด้วยกันเหมือนอดีตสมัยที่ลีกไทยยังเป็นเพียงกึ่งอาชีพ
แต่ความเป็นไปไม่ได้ ก็สามารถเป็นไปได้หากมีกำลังทรัพย์และคอนเน็กชั่น ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วกับสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่กว้านซื้อหรือยืมนักเตะทีมชาติไทยเข้าสู่ทีม ไม่ว่าจะเป็น 3 ทหารเสือ บีอีซี เทโรศาสน อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา รวมถึงรายล่าสุดที่ย้ายมาแบบช็อกแฟนบอลก็คือ ธีราทร บุญมาทัน ไอค่อนของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้ตอนนี้มีนักเตะทีมชาติอยู่ในทีมเกือบจะครบทุกตำแหน่ง
และจากการเปิดเผยของเจ้าของทีม “กิเลนผยอง” แย้มว่าจะมีนักเตะทีมชาติไทยอีก 3-4 รายเข้ามาสู่ทีม แม้ยังไม่รู้ว่าเอามาแล้วจะใส่ลงเล่นตรงไหนก็ตามที
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่อาจจะใช้คำว่าทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ก็ไม่น่าจะผิดนัก อย่างที่ทราบว่าผลการจับสลากแบ่งสายฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย ไทย อยู่ร่วมสายกับมหาอำนาจลูกหนังทวีปอย่าง ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, ยูเออี และ อิรัก ซึ่งถ้าวัดกันที่ฝีเท้า “ช้างศึก” เป็นรองทุกทีมอย่างไม่ต้องสงสัย
วิธีที่จะทำให้เราต่อกรกับคู่ต่อสู้เหล่านี้ได้ดีที่สุด ก็คงจะเป็นทีมเวิร์กหาใช่การพึ่งโชคลางหรือเครื่องรางของขลังแต่อย่างใด นั่นคือที่มาของแผนการที่สโมสร, สมาคมฟุตบอล และ ทีมชาติ มีการหารือกันอยู่อย่างไม่เปิดเผย ว่าจะต้องสร้างดรีมทีม2 ขึ้นมา ภายใต้ลีกอาชีพในปัจจุบัน ซึ่งทางเดียวที่ทำได้คือต้องกว้านซื้อนักเตะทีมชาติมาอยู่ทีมเดียวกัน ให้ฝึกซ้อมด้วยกันทุกวัน ทำให้ทุกคนคุ้นเคยกันชนิดมองตารู้ใจให้ได้
“โค้ชแบน” กับ “ซิโก้” เป็นเพื่อนรักกันมานาน แม้ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้านจะทำให้ทั้งคู่มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันน้อยลงกว่าสมัยวัยรุ่น แต่ตอนนี้ “ซิโก้” คือที่ปรึกษาของเมืองทอง ขณะที่ “โค้ชแบน” คือเฮดโค้ช แน่นอนว่าการคว้านักเตะทีมชาติไปร่วมทีมอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่ ขณะที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณฑ์ จุลดิลก เลขาฯสมาคม ก็เคยกำชับ “ซิโก้” ไว้ว่าอยากให้สร้างดรีมทีมขึ้นมาเหมือนในอดีต เป็นโปรเจ็กต์ที่ต้องการให้ทีมชาติไทยยิ่งใหญ่และต้องยั่งยืน
“อุ้ม” ธีราทร เผยกับรายการทีวีช่องหนึ่งว่า การย้ายทีมได้ปรึกษา “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายเทคนิคของสมาคม โดยให้ช่วยหาทีมในเจลีกให้ และก็มีทีมอย่าง โชนัน เบลมาเร่ และ อัลบิเร็กซ์ นิงาตะ แสดงความสนใจแล้ว แต่ติดขัดว่าหากย้ายในตอนนี้จะลงเล่นไม่ได้ เพราะตลาดนักเตะของญี่ปุ่นจะเปิดหลังจบฤดูกาลซึ่งต้องรอคอยอีกเกือบปี จนในที่สุดก็เลือกย้ายซบ เมืองทอง เพื่อจะได้เล่นกับเพื่อนร่วมทีมชาติหลายๆ ราย ที่เป็นศิษย์เก่า อัสสัมชัญ ธนบุรี เหมือนกัน และการได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิดที่จ.นนทบุรี ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ข้อดีของการยกนักเตะทีมชาติมาเล่นให้ทีมเดียวกัน แน่นอนว่าสโมสรได้รับประโยชน์เต็มๆ เพราะคุณภาพนักเตะไทยเหนือกว่าทุกทีม ผลงานในลีกก็ย่อมดีตามไปด้วย แต่ตรงกันข้ามหากนักเตะไปรับใช้ทีมชาติพร้อมๆ กัน คงหลีกเลี่ยงอาการล้าไม่ได้เหมือนอย่างที่ บีอีซี เคยประสบปัญหามาแล้วเมื่อปีก่อนจนเกือบต้องตกชั้น
แม้โดยส่วนตัวจะมองว่าเป็น ทฤษฎีสมคบคิด ของหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ผมก็ยังมองว่าเป็นไอเดียที่น่าซื้อ เพราะอย่างที่กล่าวไป ทีมเวิร์กเท่านั้นที่จะทำให้เราสู้ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกได้ ต้องคอยดูผลลัพธ์ที่ออกมาต่อไปว่าระบบทีมเวิร์กของดรีมทีม2 มันจะเวิร์กหรือไม่ และระยะยาวฟุตบอลลีกบ้านเราจะเป็นอย่างไรกับวิธีการนี้ คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะช่วยตอบคำถามให้ผมได้
ที่มา : http://www.hotscorethailand.com/fc-detail.php?id=171
ดรีมทีม2ทฤษฎีสมคบคิด?
สำหรับแฟนบอลไทยในยุคนี้ถ้าอายุสัก 20 กว่าปีขึ้นไป คงไม่มีใครไม่รู้จักทีมชาติไทยชุดดรีมทีม โดยมีจุดกำเนิดจากไอเดียของ “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล ผู้จัดการทีมในยุคนั้นที่ยึดโมเดลนักฟุตบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกาชุดฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ดึงนักเตะสหรัฐฯที่ค้าแข้งในต่างแดนมาอยู่รวมกันในศูนย์ฝึก ไม่ต้องกลับไปเล่นให้กับต้นสังกัด และทางทีมชาติจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินเดือนให้กินนอนอยู่ในแคมป์ฝึกซ้อม
จุดแจ้งเกิดของทีมชาติไทยชุดดรีมทีม คือรายการคิงส์คัพ ปี พ.ศ.2536 ที่ได้แชมป์ชนิดหักปากกาเซียนเพราะเป็นทีมชาติชุดบี ทั้งที่ถูกมองว่าเป็น Underdog หรือทีมรองบ่อน ขณะที่ชุดเอกลับไม่ได้แชมป์และหลังจากนั้นก็ประสบความสำเร็จในภูมิภาคอาเซียนคว้าแชมป์ซีเกมส์ จนไปถึงการได้อันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ ในปี พ.ศ.2541 ที่มีปีเตอร์ วิธ คุมทีม
นักเตะในยุคนั้นก้าวขึ้นมามีเชื่อเสียงในอาชีพโค้ชฟุตบอลในเวลาต่อมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่พาทีมชาติไทยกลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุคที่เขาเป็นนักเตะอีกครั้ง
หรือคนอื่นอย่าง ธชตวัน (ตะวัน) ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, วรวุฒิ ศรีมะฆะ, กฤษฎา เพี้ยนดิษฐ์, เศกสรร ปิตุรัตน์ ฯลฯ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคอลูกหนังไทยจนถึงทุกวันนี้
โมเดลนี้ถูกผู้หลักผู้ใหญ่นำมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่ฟุตบอลลีกบ้านเราก้าวสู่ความเป็นอาชีพอย่างเต็มตัว นักเตะแต่ละคนมีต้นสังกัด กินเงินเดือนหลักแสน และไม่มีทางที่จะดึงมาร่วมซ้อมกินนอนด้วยกันเหมือนอดีตสมัยที่ลีกไทยยังเป็นเพียงกึ่งอาชีพ
แต่ความเป็นไปไม่ได้ ก็สามารถเป็นไปได้หากมีกำลังทรัพย์และคอนเน็กชั่น ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วกับสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่กว้านซื้อหรือยืมนักเตะทีมชาติไทยเข้าสู่ทีม ไม่ว่าจะเป็น 3 ทหารเสือ บีอีซี เทโรศาสน อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา รวมถึงรายล่าสุดที่ย้ายมาแบบช็อกแฟนบอลก็คือ ธีราทร บุญมาทัน ไอค่อนของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้ตอนนี้มีนักเตะทีมชาติอยู่ในทีมเกือบจะครบทุกตำแหน่ง
และจากการเปิดเผยของเจ้าของทีม “กิเลนผยอง” แย้มว่าจะมีนักเตะทีมชาติไทยอีก 3-4 รายเข้ามาสู่ทีม แม้ยังไม่รู้ว่าเอามาแล้วจะใส่ลงเล่นตรงไหนก็ตามที
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่อาจจะใช้คำว่าทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ก็ไม่น่าจะผิดนัก อย่างที่ทราบว่าผลการจับสลากแบ่งสายฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย ไทย อยู่ร่วมสายกับมหาอำนาจลูกหนังทวีปอย่าง ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, ยูเออี และ อิรัก ซึ่งถ้าวัดกันที่ฝีเท้า “ช้างศึก” เป็นรองทุกทีมอย่างไม่ต้องสงสัย
วิธีที่จะทำให้เราต่อกรกับคู่ต่อสู้เหล่านี้ได้ดีที่สุด ก็คงจะเป็นทีมเวิร์กหาใช่การพึ่งโชคลางหรือเครื่องรางของขลังแต่อย่างใด นั่นคือที่มาของแผนการที่สโมสร, สมาคมฟุตบอล และ ทีมชาติ มีการหารือกันอยู่อย่างไม่เปิดเผย ว่าจะต้องสร้างดรีมทีม2 ขึ้นมา ภายใต้ลีกอาชีพในปัจจุบัน ซึ่งทางเดียวที่ทำได้คือต้องกว้านซื้อนักเตะทีมชาติมาอยู่ทีมเดียวกัน ให้ฝึกซ้อมด้วยกันทุกวัน ทำให้ทุกคนคุ้นเคยกันชนิดมองตารู้ใจให้ได้
“โค้ชแบน” กับ “ซิโก้” เป็นเพื่อนรักกันมานาน แม้ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้านจะทำให้ทั้งคู่มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันน้อยลงกว่าสมัยวัยรุ่น แต่ตอนนี้ “ซิโก้” คือที่ปรึกษาของเมืองทอง ขณะที่ “โค้ชแบน” คือเฮดโค้ช แน่นอนว่าการคว้านักเตะทีมชาติไปร่วมทีมอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่ ขณะที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณฑ์ จุลดิลก เลขาฯสมาคม ก็เคยกำชับ “ซิโก้” ไว้ว่าอยากให้สร้างดรีมทีมขึ้นมาเหมือนในอดีต เป็นโปรเจ็กต์ที่ต้องการให้ทีมชาติไทยยิ่งใหญ่และต้องยั่งยืน
“อุ้ม” ธีราทร เผยกับรายการทีวีช่องหนึ่งว่า การย้ายทีมได้ปรึกษา “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายเทคนิคของสมาคม โดยให้ช่วยหาทีมในเจลีกให้ และก็มีทีมอย่าง โชนัน เบลมาเร่ และ อัลบิเร็กซ์ นิงาตะ แสดงความสนใจแล้ว แต่ติดขัดว่าหากย้ายในตอนนี้จะลงเล่นไม่ได้ เพราะตลาดนักเตะของญี่ปุ่นจะเปิดหลังจบฤดูกาลซึ่งต้องรอคอยอีกเกือบปี จนในที่สุดก็เลือกย้ายซบ เมืองทอง เพื่อจะได้เล่นกับเพื่อนร่วมทีมชาติหลายๆ ราย ที่เป็นศิษย์เก่า อัสสัมชัญ ธนบุรี เหมือนกัน และการได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิดที่จ.นนทบุรี ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ข้อดีของการยกนักเตะทีมชาติมาเล่นให้ทีมเดียวกัน แน่นอนว่าสโมสรได้รับประโยชน์เต็มๆ เพราะคุณภาพนักเตะไทยเหนือกว่าทุกทีม ผลงานในลีกก็ย่อมดีตามไปด้วย แต่ตรงกันข้ามหากนักเตะไปรับใช้ทีมชาติพร้อมๆ กัน คงหลีกเลี่ยงอาการล้าไม่ได้เหมือนอย่างที่ บีอีซี เคยประสบปัญหามาแล้วเมื่อปีก่อนจนเกือบต้องตกชั้น
แม้โดยส่วนตัวจะมองว่าเป็น ทฤษฎีสมคบคิด ของหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ผมก็ยังมองว่าเป็นไอเดียที่น่าซื้อ เพราะอย่างที่กล่าวไป ทีมเวิร์กเท่านั้นที่จะทำให้เราสู้ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกได้ ต้องคอยดูผลลัพธ์ที่ออกมาต่อไปว่าระบบทีมเวิร์กของดรีมทีม2 มันจะเวิร์กหรือไม่ และระยะยาวฟุตบอลลีกบ้านเราจะเป็นอย่างไรกับวิธีการนี้ คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะช่วยตอบคำถามให้ผมได้
ที่มา : http://www.hotscorethailand.com/fc-detail.php?id=171