เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว
Bliss Out There เราพาเที่ยวกันอีกแล้วววววววว! คราวนี้พาไปไกลถึง “
เวนิส” เมืองแห่งสายน้ำ ประเทศอิตาลี ทวีปยุโรป ด้วยความที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม มีงานศิลปะเด็ดๆ และวิถีสโลๆเหมือนน้ำที่ไหลไปทั่วเมือง ทำให้เวนิสเป็นสถานที่ในฝันของใครหลายๆคนค่ะ แต่ช้าก่อน… อย่าเพิ่งคิดว่าเห้ย ก็ได้แค่ฝันแหละ เพราะจริงๆแล้วการเที่ยวเวนิสนั้นง่ายนี๊ดดดดดดดดดดดดเดียว งบก็สมเหตุสมผล ใครๆก็ไปได้ค่ะ : D
ขอเกริ่นนิดนึงว่าที่เราโตมาเป็นมนุษย์เสพติดการท่องเที่ยวได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่ง(ซึ่งเป็นส่วนหลักๆเลย)ก็เพราะพ่อเราเนี่ยแหละ ตอนนี้ท่านอายุย่าง 65 ปี แล้ว ถึงพ่อจะขึ้นเหนือล่องใต้ ไปนู่นไปนี่มาเยอะ แต่ที่ที่พ่อฝันไว้แล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปก็คือเวนิส! ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำความฝันพ่อให้เป็นจริง บวกกับการบังเอิญเจอตั๋วเครื่องบินราคาถูกเว่อร์… ทริปเฟี้ยวๆ พาพ่อเที่ยวอิตาลีจึงเกิดขึ้นนนนนนนนนนนนน!!
ก่อนจะไปลุย เรามาดูเรื่องงบประมาณกับการเตรียมตัวกันดีกว่าเพื่อนเอ้ย ขออนุญาตแจกแจงงบ 29,055 บาท/คน อย่างคร่าวๆ ด้วยรูปนี้แล้วกันค่ะ : D (ป.ล.
งบนี้ไม่ได้รวมค่าของฝาก และ ค่าทำวีซ่า 60 ยูโร หรือ 2,335 บาท ซึ่งเพื่อนๆสามารถดูข้อมูลและขั้นตอนเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าได้ในลิงก์นี้เลยยยยยยยยย
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/how_to_apply.html ป.ล. 2 สำหรับคนที่อายุเกิน 26 ปี ค่าเข้าสถานที่ต่างๆจะมากกว่านี้ค่ะ ข้อมูลอยู่ในรีวิวเรียบร้อยแล้ววว)
ทริปนี้เราบินจากดอนเมืองไปฮ่องกงด้วยสายการบิน Air Asia และ จากฮ่องกงไปเวนิส + จากมิลานกลับสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Etihad ค่ะ ใครอยากได้ตั๋วเครื่องบินราคาน่าคบหาแบบนี้ ต้องคอยติดตามพวกเพจ
ติดโปร - PRO addict (
https://www.facebook.com/TidPromo) หรือ
ChangTrixget (
https://www.facebook.com/ch.trixget) บางทีมาเป็นราคาดีลรวมที่พักให้ด้วย
พวกเราพักห้อง Private ที่โฮสเทลชื่อ
The Caponi Bros ราคา 3 คน 4 คืน 13,071 บาท ตกคนละ 4,357 บาท ค่ะ จุดขายคือนางอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Venezia Mestre ไปไหนมาไหนสะดวก ห้องพักและบริการอยู่ในระดับปานกลาง หน้าตาจะเป็นยังไง ไปชม…
ป้ายเล็กๆ สงสัยกลัวมีคนมาพัก
ภาพรวมนะ…
ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว ค่ะ เป็นครัวซองคนละชิ้น ซีเรียล กาแฟ น้ำส้ม นม ขนมปังกรอบซึ่งเติมได้ไม่อั้น แถมเนย น้ำผึ้ง แยมผลไม้ ช็อกโกแลตนูเทลล่า ไว้ให้ทาขนมปัง เหมือนจะน้อยแต่มันอิ่มใช้ได้เลยแหละ
ใครดูที่นี่แล้วยังไม่กดไลค์ แนะนำให้เสิร์ชชื่อ Ai Boteri, Reiter Hotel, Hotel Ariston ดูค่ะ หรือจะหาในเว็บ
http://www.hostelbookers.com ,
http://www.hostelworld.com ,
http://www.hostels.com แบบเราก็ได้ เวิร์คๆ
มาต่อกันที่ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ… มีบัตร
Venezia Unica City Pass ติดตัวไว้ จะช่วยให้เราประหยัดไปได้หลายขุม พวกนายสามารถเลือกบัตรให้คุ้มและเข้ากับสไตล์การท่องเที่ยวของตัวเอง โดยดูรายละเอียดและจองล่วงหน้าผ่านเว็บนี้ๆๆๆ
http://www.veneziaunica.it/en/e-commerce/services อย่างเราเน้นเข้าสถานที่ Landmarkกับพวกพิพิธภัณฑ์ศิลปะ โบสถ์เข้าแค่ที่เด่นๆ ใช้เรือบ้าง เน้นเดินเท้ามากกว่า
บัตร Museum Pass ราคา 18 ยูโร เข้าชมได้ 11 สถานที่จึงเหมาะกับเราที่สุดค่ะ
(อายุมากกว่า 26 ปี ราคา 24 ยูโร) ส่วนค่าเข้าชมสถานที่ที่ไม่รวมในบัตรนี้ เราจะบอกอีกทีน้า (แนะนำจริงๆว่าควรมี เพราะถ้าไปซื้อแยกตามสถานที่ บางที่ก็ปาเข้าไป 10-15 ยูโรแล้ว ด้วยรักและห่วงใยจาก Bliss Out There <3)
ใกล้แล้ว ใกล้ได้ไปแล้ววววววววววววว ขอฝากแผนที่ไว้ให้ทำความเข้าใจกันอีกหน่อยค่ะ เวนิสประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยเกาะแน่นๆๆหน่อยนะน้องนะ ผิด! ประกอบด้วยเกาะ 8 เกาะ ตามรูปเลย ซึ่งยังไม่รวม Murano Burano และ Torcello ที่คนชอบนั่งเรือออกไปเที่ยว พวกนายต้องศึกษาให้ดีว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แต่ละที่อยู่เกาะไหน ที่ไหนใกล้กันก็วางแผนไปวันเดียวกัน ที่ไหนปิดวันไหนต้องดูด้วย แต่ถ้าจะให้ง่ายเลยคือไปตามเราค่ะ เราพาไป โกโกโก!!
เรา พ่อ พี่ชาย ถึงสนามบิน Venice Marco Polo ตอน 7 โมงเช้าของวันที่ 3 พ.ค. 59 ถึงแล้วไม่รอช้า พุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ Public Transportation Ticket ควักเงินคนละ 8 ยูโรซื้อตั๋วรถบัสทันที พวกเรา
นั่งรถสาย 15 ไปลงที่ป้าย Mestre FS(อยู่หน้าสถานีรถไฟ Venezia Mestre) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นข้ามถนน เดินต่ออีกไม่เกิน 400 เมตร ก็จะเจอ The Caponi Bros วิมานหลังน้อยๆของพวกเรา เย้ : D
Check in เก็บของเสร็จก็ได้เวลาอันสมควรที่ชาวไทย 3 คนจะออกไปเขย่าเมืองแห่งสายน้ำกันแล้ว! จากที่พัก เราเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Venezia Mestre ซื้อ
ตั๋วไป - กลับ Venezia Mestre – Venezia S.Lucia ราคา 2.50 ยูโร ที่เครื่องซื้อตั๋ว ซื้อแล้วดูให้ดีว่าเราต้องรอที่ชานชาลาที่เท่าไหร่ แล้วอย่าลืม Validate(เปิดใช้งาน) ตั๋วในเครื่องเล็กๆหน้าตาประหลาดๆด้วย เพราะถ้าวันดีคืนดีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจตั๋วบนรถแล้วพวกนายยังไม่ได้ Validate ตั๋ว รับรองว่าชีวิตมีสีสันแน่นอน
จาก Venezia Mestre ไป Venezia S.Lucia ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ นั่งดูวิวไปเพลินๆ แค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว สถานี Venezia S.Lucia เป็นสถานีรถไฟสถานีเดียวในเกาะเล็กเกาะน้อยทั้ง 8 เกาะของเวนิส ไปถึงก็จะเห็นนักท่องเที่ยวเดินวนเวียนหาที่ซื้อตั๋ว หาท่าเรือรอเรือเมล์กันให้วุ่น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรารีบไปต่อคิวซื้อตั๋วเรือกันดีกว่าแกรรรรร
วันแรกก็ต้องไปโดนสถานที่ฮอตฮิตติดท๊อปในเกาะ San Marco สิถึงจะถูกกกกก พวกเรา
ซื้อตั๋วเรือเมล์ไป – กลับ Ferrovia(S.Lucia) – San Marco ที่ห้อง Information หน้าสถานีรถไฟ Venezia S.Lucia ค่ะ ราคาคนละ 15 ยูโร ซื้อเสร็จก็ไปสแตนบายรอเรือสาย 2 ที่ท่า C หรือ D ก็ได้ พอเรือมาก็กระโดดขึ้นเล้ยยยยยยยย
นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่า San Marco ค่ะ ถึงปุ๊ปเราก็ทำการเดินสำรวจเล็กน้อย เห็นเรือแจวชิคๆแบบนี้เขาเรียก
Gondola นะ ใครอยากนั่งชมวิวล่อง Grand Canal ลัดเลาะเกาะเวนิสคือแนะนำ
ราคาประมาณ 80 ยูโร นั่งได้ 40 นาที ถ้าเห็นอาหมวยอาตี๋คนไหนสนใจ จะไปหุ้นนั่งลำเดียวกันก็ได้ค่ะ ประหยัดๆๆๆๆ
จากท่าเรือ เดินเลี้ยวซ้ายมาค่ะ ข้ามสะพาน 2 สะพาน แล้วจะเจอสิ่งนี้อยู่ทางขวามือ…
Bridge of Sighs / สะพานถอนหายใจ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างชั้นใต้ดินของ Doge’s Palace กับแดนคุมขังนักโทษ สร้างขึ้นในปี 1602 ที่ชื่อสะพานถอนหายใจเพราะว่า สะพานนี้เป็นที่สุดท้ายที่นักโทษจะได้มองเห็นท้องฟ้า ทะเล และถอนหายใจ เห้อออออออออออออ ก่อนที่จะถูกจองจำ
เดินเลย Bridge of Sighs มาหน่อย
Doge’s Palace / พระราชวังดอจจ์ จะอยู่ทางขวามือเลย ที่นี่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 เคยเป็นที่ทำการของฝ่ายบริหารเมืองเวนิสและบ้านของดยุคค่ะ
ข้างในบอกได้คำเดียวว่าเลอค่า ทองคือจัดเต็ม งานจิตรกรรมคือจัดหนัก ใครสนใจไปโดนได้ทุกวัน 8.30-19.00 น.(แถวเข้าชมปิด 18.00 น.)
ค่าเข้า 19 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี ลดเหลือ 12 ยูโรค่ะ ส่วนใครใช้ Museum Pass แบบเราก็หายห่วง ยื่นใบจองให้พนักงานตรวจ แล้วเดินเข้าไปสวยๆได้เลย
อ้าปากค้างกันเลยที่เดียว…
ความยิ่งใหญ่ต่อไปอยู่ไม่ไกลเลยค่ะ เดินเลี้ยวไปด้านหลังของพระราชวังดอจจ์ ก็เจอ
St. Mark’s Basilica / Basilica di San Marco/ โบสถ์เซนต์มาร์ค แล้ว (ตอนเราไป โบสถ์ปรับปรุงอยู่บางส่วน) โบสถ์นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 เป็นศิลปะแบบไบเซนไทน์ ผนังด้านในตกแต่งด้วยทองและภาพจิตรกรรมทั้งหมด บอกไม่ได้ว่าสวยขนาดไหนเพราะเขาไม่ให้ถ่ายรูป! อยากขนลุกแบบเราต้องเข้าไปดูกันเอง ข่าวดีคือ
ไม่เสียค่าเข้า ยกเว้นส่วนพิพิธภัณฑ์ เสียคนละ 5 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี 2 ยูโร ค่ะ วันจันทร์-เสาร์ โบสถ์เปิด9.45-17.00 น. วันอาทิตย์เปิด 14.00-16.00 น. ส่วนพิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน 9.45-16.45 น.
นี่คือ
Clock Tower / หอนาฬิกา ค่ะ อยู่ข้างโบสถ์เซนต์มาร์ค เป็นทางเข้าถนน Merceria
เผลอแป๊ปเดียวปาเข้าไปบ่ายกว่าแล้ว ท้อง ไส้ กระเพาะโวยวายกันใหญ่ พวกเราตัดสินใจหาของกินในถนนเส้นนี้แหละ เป็นเมนูมหัศจรรย์ ที่กินร้านไหนก็อร่อย หน้าตาอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังง๊ายยยยยก็อร่อย มันคือขนมปังแบบต่างๆที่ประกบนู่นประกบนี่ไปเรื่อย เมนูนี้พวกนายสามารถหากินได้ทั่วเกาะเวนิส ในราคาประมาณ 3 – 5 ยูโร เอาเป็นว่ารีบกิน เติมพลัง แล้วเราไปลุยกันต่อ เฮ!
สถานที่ต่อไป ไฉไลไม่เบา
Correr Museum / Museo Correr พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ และ Art Collection มีขนาดกว้างงงงงงงงงงงงงใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่บริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์โค ข้างในประกอบด้วยงานจิตรกรรม งานประติมากรรม ข้าวของเครื่องใช้สวยๆงามๆที่แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว พิพิธภัณฑ์นี้เปิดทุกวัน เวลา 10.00-19.00 น. ค่าเข้าชมรวมอยู่ใน Museum Pass เรียบร้อยยย ใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ลิงก์นี้เลยยยย
http://correr.visitmuve.it/en/home/
[CR] ทำฝันพ่อให้เป็นจริง ที่ เวนิส, อิตาลี (4 วัน 4 คืน ด้วยงบ 29,055 บาท/คน)
ขอเกริ่นนิดนึงว่าที่เราโตมาเป็นมนุษย์เสพติดการท่องเที่ยวได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่ง(ซึ่งเป็นส่วนหลักๆเลย)ก็เพราะพ่อเราเนี่ยแหละ ตอนนี้ท่านอายุย่าง 65 ปี แล้ว ถึงพ่อจะขึ้นเหนือล่องใต้ ไปนู่นไปนี่มาเยอะ แต่ที่ที่พ่อฝันไว้แล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปก็คือเวนิส! ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำความฝันพ่อให้เป็นจริง บวกกับการบังเอิญเจอตั๋วเครื่องบินราคาถูกเว่อร์… ทริปเฟี้ยวๆ พาพ่อเที่ยวอิตาลีจึงเกิดขึ้นนนนนนนนนนนนน!!
ก่อนจะไปลุย เรามาดูเรื่องงบประมาณกับการเตรียมตัวกันดีกว่าเพื่อนเอ้ย ขออนุญาตแจกแจงงบ 29,055 บาท/คน อย่างคร่าวๆ ด้วยรูปนี้แล้วกันค่ะ : D (ป.ล. งบนี้ไม่ได้รวมค่าของฝาก และ ค่าทำวีซ่า 60 ยูโร หรือ 2,335 บาท ซึ่งเพื่อนๆสามารถดูข้อมูลและขั้นตอนเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าได้ในลิงก์นี้เลยยยยยยยยย http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/how_to_apply.html ป.ล. 2 สำหรับคนที่อายุเกิน 26 ปี ค่าเข้าสถานที่ต่างๆจะมากกว่านี้ค่ะ ข้อมูลอยู่ในรีวิวเรียบร้อยแล้ววว)
ทริปนี้เราบินจากดอนเมืองไปฮ่องกงด้วยสายการบิน Air Asia และ จากฮ่องกงไปเวนิส + จากมิลานกลับสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Etihad ค่ะ ใครอยากได้ตั๋วเครื่องบินราคาน่าคบหาแบบนี้ ต้องคอยติดตามพวกเพจ ติดโปร - PRO addict (https://www.facebook.com/TidPromo) หรือ ChangTrixget (https://www.facebook.com/ch.trixget) บางทีมาเป็นราคาดีลรวมที่พักให้ด้วย
พวกเราพักห้อง Private ที่โฮสเทลชื่อ The Caponi Bros ราคา 3 คน 4 คืน 13,071 บาท ตกคนละ 4,357 บาท ค่ะ จุดขายคือนางอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Venezia Mestre ไปไหนมาไหนสะดวก ห้องพักและบริการอยู่ในระดับปานกลาง หน้าตาจะเป็นยังไง ไปชม…
ป้ายเล็กๆ สงสัยกลัวมีคนมาพัก
ภาพรวมนะ…
ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว ค่ะ เป็นครัวซองคนละชิ้น ซีเรียล กาแฟ น้ำส้ม นม ขนมปังกรอบซึ่งเติมได้ไม่อั้น แถมเนย น้ำผึ้ง แยมผลไม้ ช็อกโกแลตนูเทลล่า ไว้ให้ทาขนมปัง เหมือนจะน้อยแต่มันอิ่มใช้ได้เลยแหละ
ใครดูที่นี่แล้วยังไม่กดไลค์ แนะนำให้เสิร์ชชื่อ Ai Boteri, Reiter Hotel, Hotel Ariston ดูค่ะ หรือจะหาในเว็บ http://www.hostelbookers.com , http://www.hostelworld.com , http://www.hostels.com แบบเราก็ได้ เวิร์คๆ
มาต่อกันที่ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ… มีบัตร Venezia Unica City Pass ติดตัวไว้ จะช่วยให้เราประหยัดไปได้หลายขุม พวกนายสามารถเลือกบัตรให้คุ้มและเข้ากับสไตล์การท่องเที่ยวของตัวเอง โดยดูรายละเอียดและจองล่วงหน้าผ่านเว็บนี้ๆๆๆ http://www.veneziaunica.it/en/e-commerce/services อย่างเราเน้นเข้าสถานที่ Landmarkกับพวกพิพิธภัณฑ์ศิลปะ โบสถ์เข้าแค่ที่เด่นๆ ใช้เรือบ้าง เน้นเดินเท้ามากกว่า บัตร Museum Pass ราคา 18 ยูโร เข้าชมได้ 11 สถานที่จึงเหมาะกับเราที่สุดค่ะ (อายุมากกว่า 26 ปี ราคา 24 ยูโร) ส่วนค่าเข้าชมสถานที่ที่ไม่รวมในบัตรนี้ เราจะบอกอีกทีน้า (แนะนำจริงๆว่าควรมี เพราะถ้าไปซื้อแยกตามสถานที่ บางที่ก็ปาเข้าไป 10-15 ยูโรแล้ว ด้วยรักและห่วงใยจาก Bliss Out There <3)
ใกล้แล้ว ใกล้ได้ไปแล้ววววววววววววว ขอฝากแผนที่ไว้ให้ทำความเข้าใจกันอีกหน่อยค่ะ เวนิสประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยเกาะแน่นๆๆหน่อยนะน้องนะ ผิด! ประกอบด้วยเกาะ 8 เกาะ ตามรูปเลย ซึ่งยังไม่รวม Murano Burano และ Torcello ที่คนชอบนั่งเรือออกไปเที่ยว พวกนายต้องศึกษาให้ดีว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แต่ละที่อยู่เกาะไหน ที่ไหนใกล้กันก็วางแผนไปวันเดียวกัน ที่ไหนปิดวันไหนต้องดูด้วย แต่ถ้าจะให้ง่ายเลยคือไปตามเราค่ะ เราพาไป โกโกโก!!
เรา พ่อ พี่ชาย ถึงสนามบิน Venice Marco Polo ตอน 7 โมงเช้าของวันที่ 3 พ.ค. 59 ถึงแล้วไม่รอช้า พุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ Public Transportation Ticket ควักเงินคนละ 8 ยูโรซื้อตั๋วรถบัสทันที พวกเรานั่งรถสาย 15 ไปลงที่ป้าย Mestre FS(อยู่หน้าสถานีรถไฟ Venezia Mestre) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นข้ามถนน เดินต่ออีกไม่เกิน 400 เมตร ก็จะเจอ The Caponi Bros วิมานหลังน้อยๆของพวกเรา เย้ : D
Check in เก็บของเสร็จก็ได้เวลาอันสมควรที่ชาวไทย 3 คนจะออกไปเขย่าเมืองแห่งสายน้ำกันแล้ว! จากที่พัก เราเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Venezia Mestre ซื้อตั๋วไป - กลับ Venezia Mestre – Venezia S.Lucia ราคา 2.50 ยูโร ที่เครื่องซื้อตั๋ว ซื้อแล้วดูให้ดีว่าเราต้องรอที่ชานชาลาที่เท่าไหร่ แล้วอย่าลืม Validate(เปิดใช้งาน) ตั๋วในเครื่องเล็กๆหน้าตาประหลาดๆด้วย เพราะถ้าวันดีคืนดีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจตั๋วบนรถแล้วพวกนายยังไม่ได้ Validate ตั๋ว รับรองว่าชีวิตมีสีสันแน่นอน
จาก Venezia Mestre ไป Venezia S.Lucia ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ นั่งดูวิวไปเพลินๆ แค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว สถานี Venezia S.Lucia เป็นสถานีรถไฟสถานีเดียวในเกาะเล็กเกาะน้อยทั้ง 8 เกาะของเวนิส ไปถึงก็จะเห็นนักท่องเที่ยวเดินวนเวียนหาที่ซื้อตั๋ว หาท่าเรือรอเรือเมล์กันให้วุ่น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรารีบไปต่อคิวซื้อตั๋วเรือกันดีกว่าแกรรรรร
วันแรกก็ต้องไปโดนสถานที่ฮอตฮิตติดท๊อปในเกาะ San Marco สิถึงจะถูกกกกก พวกเราซื้อตั๋วเรือเมล์ไป – กลับ Ferrovia(S.Lucia) – San Marco ที่ห้อง Information หน้าสถานีรถไฟ Venezia S.Lucia ค่ะ ราคาคนละ 15 ยูโร ซื้อเสร็จก็ไปสแตนบายรอเรือสาย 2 ที่ท่า C หรือ D ก็ได้ พอเรือมาก็กระโดดขึ้นเล้ยยยยยยยย
นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่า San Marco ค่ะ ถึงปุ๊ปเราก็ทำการเดินสำรวจเล็กน้อย เห็นเรือแจวชิคๆแบบนี้เขาเรียก Gondola นะ ใครอยากนั่งชมวิวล่อง Grand Canal ลัดเลาะเกาะเวนิสคือแนะนำ ราคาประมาณ 80 ยูโร นั่งได้ 40 นาที ถ้าเห็นอาหมวยอาตี๋คนไหนสนใจ จะไปหุ้นนั่งลำเดียวกันก็ได้ค่ะ ประหยัดๆๆๆๆ
จากท่าเรือ เดินเลี้ยวซ้ายมาค่ะ ข้ามสะพาน 2 สะพาน แล้วจะเจอสิ่งนี้อยู่ทางขวามือ…
Bridge of Sighs / สะพานถอนหายใจ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างชั้นใต้ดินของ Doge’s Palace กับแดนคุมขังนักโทษ สร้างขึ้นในปี 1602 ที่ชื่อสะพานถอนหายใจเพราะว่า สะพานนี้เป็นที่สุดท้ายที่นักโทษจะได้มองเห็นท้องฟ้า ทะเล และถอนหายใจ เห้อออออออออออออ ก่อนที่จะถูกจองจำ
เดินเลย Bridge of Sighs มาหน่อย Doge’s Palace / พระราชวังดอจจ์ จะอยู่ทางขวามือเลย ที่นี่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 เคยเป็นที่ทำการของฝ่ายบริหารเมืองเวนิสและบ้านของดยุคค่ะ
ข้างในบอกได้คำเดียวว่าเลอค่า ทองคือจัดเต็ม งานจิตรกรรมคือจัดหนัก ใครสนใจไปโดนได้ทุกวัน 8.30-19.00 น.(แถวเข้าชมปิด 18.00 น.) ค่าเข้า 19 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี ลดเหลือ 12 ยูโรค่ะ ส่วนใครใช้ Museum Pass แบบเราก็หายห่วง ยื่นใบจองให้พนักงานตรวจ แล้วเดินเข้าไปสวยๆได้เลย
อ้าปากค้างกันเลยที่เดียว…
ความยิ่งใหญ่ต่อไปอยู่ไม่ไกลเลยค่ะ เดินเลี้ยวไปด้านหลังของพระราชวังดอจจ์ ก็เจอ St. Mark’s Basilica / Basilica di San Marco/ โบสถ์เซนต์มาร์ค แล้ว (ตอนเราไป โบสถ์ปรับปรุงอยู่บางส่วน) โบสถ์นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 เป็นศิลปะแบบไบเซนไทน์ ผนังด้านในตกแต่งด้วยทองและภาพจิตรกรรมทั้งหมด บอกไม่ได้ว่าสวยขนาดไหนเพราะเขาไม่ให้ถ่ายรูป! อยากขนลุกแบบเราต้องเข้าไปดูกันเอง ข่าวดีคือไม่เสียค่าเข้า ยกเว้นส่วนพิพิธภัณฑ์ เสียคนละ 5 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี 2 ยูโร ค่ะ วันจันทร์-เสาร์ โบสถ์เปิด9.45-17.00 น. วันอาทิตย์เปิด 14.00-16.00 น. ส่วนพิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน 9.45-16.45 น.
นี่คือ Clock Tower / หอนาฬิกา ค่ะ อยู่ข้างโบสถ์เซนต์มาร์ค เป็นทางเข้าถนน Merceria
เผลอแป๊ปเดียวปาเข้าไปบ่ายกว่าแล้ว ท้อง ไส้ กระเพาะโวยวายกันใหญ่ พวกเราตัดสินใจหาของกินในถนนเส้นนี้แหละ เป็นเมนูมหัศจรรย์ ที่กินร้านไหนก็อร่อย หน้าตาอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังง๊ายยยยยก็อร่อย มันคือขนมปังแบบต่างๆที่ประกบนู่นประกบนี่ไปเรื่อย เมนูนี้พวกนายสามารถหากินได้ทั่วเกาะเวนิส ในราคาประมาณ 3 – 5 ยูโร เอาเป็นว่ารีบกิน เติมพลัง แล้วเราไปลุยกันต่อ เฮ!
สถานที่ต่อไป ไฉไลไม่เบา Correr Museum / Museo Correr พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ และ Art Collection มีขนาดกว้างงงงงงงงงงงงงใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่บริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์โค ข้างในประกอบด้วยงานจิตรกรรม งานประติมากรรม ข้าวของเครื่องใช้สวยๆงามๆที่แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว พิพิธภัณฑ์นี้เปิดทุกวัน เวลา 10.00-19.00 น. ค่าเข้าชมรวมอยู่ใน Museum Pass เรียบร้อยยย ใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ลิงก์นี้เลยยยย http://correr.visitmuve.it/en/home/