ชนะน็อค โรคซึมเศร้า ยกที่ 2 ตอน มวยคู่เอก ระหว่าง จิตสำนึก ปะทะ จิตใต้สำนึก

ชนะน็อค โรคซึมเศร้า ยกที่ 2 มวยคู่เอก  ระหว่าง จิตสำนึก ปะทะ จิตใต้สำนึก

          ในเดือนธันวาคม ฉันเดินออกไปที่สนามในบริเวณบ้านเหมือนทุกๆคืน
ลมหนาวพัดมาทำให้ฉันรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกดีนานๆเราจะมีอากาศแบบนี้ในประเทศไทย
ฉันสูดหายใจลึกๆเข้าเต็มปอด รู้สึกสบาย  ฉันแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า คืนนี้ฟ้าสวยจัง
ท้องฟ้าโปร่งไม่มีเมฆบัง มองเห็นดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
“โอ้วว สวยจังเลยย”

          ฉันพนมมือขึ้น  “สวัสดีค่ะท่าน  ท่านสบายดีไม๊คะ ลูกขอสวดมนต์ให้ฟังค่ะ”
“นะโมตัสสะฯ................................................................”
และ “อะระหัง สัมมา......................................................”
ตามด้วย “พุทธัง สะระนังฯ..............................................”

“ลูกขอกราบไว้ พระอาทิตย์”
          วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะอากาศเย็นสบายทำให้นึกไปถึงบุญคุณของพระอาทิตย์
ที่มีต่อโลกและมนุษย์ตลอดจนสัตว์และพืช  ฉันคิดไปถึงว่า
แสงรังสีของพระอาทิตย์มีประโยชน์ทำให้กระดูกแข็งแรง(ฉันหวังว่าคุณคงจะไม่ออกไปในตอนกลางวันช่วงนี้นะคะ
เพราะคุณอาจจะเป็นลมไปก่อนที่กระดูกจะแข็งแรง ช่วงเช้าค่ะแดดอ่อนๆ)
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าพลังจากแสงและคลื่นที่ส่งมานอกจากจะทำให้กระดูกแข็งแรงแล้ว
ยังจะมีส่วนทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นนะคะ

เอ้าอธิฐานต่อ

ฉันเอ่ยชื่อ“พระจันทร์”
แล้วฉันก็คิดถึงว่าพระจันทร์มีอิทธิพลแรงดึงดูด ทำให้เกิดน้ำขึ้น น้ำลง
ดวงจันทร์มีอิทธิพลกับของเหลวในร่างกายตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกด้วย
(มนุษย์หมาป่าจะกลายร่างในวันพระจันทร์เต็มดวงอันนี้จะเกี่ยวด้วยหรือเปล่าฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ
ใครรู้ช่วยบอกหน่อย55  เพราะเห็นแต่ในหนัง) ฉันกำลังคิดและมองไปยังดวงจันทร์อย่างพินิจพิจารณา
วันนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงเหลืองนวลผ่องจนเห็นพื้นที่ราบคล้ำที่เรียกว่า “มาเร”
( แปลว่าทะเลสาบ บนดวงจันทร์  คุณอ่านไปเรื่อยๆนะคะ รับรองคุณจะมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ ฟิสิกส์
และโหราศาสตร์แต่ฉันไม่ได้เชื่อแบบเดิมๆนะคะ  ที่บอกว่าดวงดาวนี้มาแล้วจะร้าย
ที่บอกว่าถ้าดาวเสาร์เข้าจะเกิดนั่น นี่ โน้น ไม่ดี  ไม่เอานะคะ ไม่เอาค่ะ
แล้วฉันจะสอดแทรกเข้ามาให้คุณทราบ หรือถ้าคุณมีความรู้ ความชำนาญด้านนี้
ช่วยเขียนบอกฉันด้วยนะคะ จะได้เป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้นมา)  

          พลันก็มีความคิดแว้บแทรกเข้ามา
“ดาวทุกดวงก็มีรังสี คลื่นความสั่นสะเทือน และบางดวงก็สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ร่างกายได้เหมือนกัน”
ความคิดฉันสะดุดลง  ฉันนิ่งไปพักใหญ่ ห๊ะ!!จริงรึเปล่าฉันสงสัย ฉันต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้  
ถ้าจริง อิทธิพลของคลื่น ความสั่นสะเทือน รังสีของดวงดาว ก็มีบทบาทกับเราสิ
ฉันหยุดความสงสัยเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะอธิฐานต่อไปให้จบ  อยู่ดีๆก็จำเรื่องที่อ่านมานานมากเป็นสิบๆปีขึ้นมาได้ว่า
ดาวอันเดอร์  บารันมีอิทธิพลใกล้เคียงกับดาวอังคารเป็นพลังงานด้านกระตือรือร้น
ทำให้รู้สึกมนุษย์ที่ได้รับรังสีรู้สึกเบิกบานแจ่มใส(แหมอยากอยู่ดาวนี้จัง  ใครช่วยพาไปหน่อย
ถ้าคุณสนใจลองเข้าไปอ่านหนังสือของ Alan Okan หนังสือ EVALUATION AND REVOLUTION ซึ่งเกี่ยวกับดาวดวงนี้)
ต่อดีกว่าหยุดความสงสัยไว้แค่นี้ก่อนอธิฐานต่อให้จบ ฉันบอกตัวเองอีกครั้ง  ความคิดแว้บมาอีกแล้ว

“ธรรมชาติไม่สร้างอะไรขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีเหตุผล ต้องมีประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน”

ห๋า!!!!  ฉันอธิฐานต่อ

“พระอังคาร  พระพุธ  พระพฤหัสบดี  พระศุกร์  พระเสาร์  พระราหู  พระเกตุ(พระเนปจูน)  
พระพลูโต  พระยูเรนัส  และดาวพระเคราะห์โลกที่ลูกอาศัยอยู่นี้  
ตลอดจนดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งที่ลูกมองเห็นและไม่เห็น  ขอท่านโปรดรับการกราบไหว้ด้วยเทอญ”

ร้องเพลงให้ท่านฟังดีกว่า เพลงอะไรดีน้า   ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก
อ้อ เพลงก้อนหินละเมอ  “มองไปไกลที่ดวงดาว....... ไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ......”
ฉันชักสนุกติดลมร้องต่อ  เพลงลมหนาวและดาวเดือน  “ดึกดื่นคืนนี้ ลมหนาวพัดโชยมา.....”
และยังไม่หนำใจตามด้วยเพลงที่แม่ของฉันชอบร้องแต่ฉันร้องได้ไม่จบ
เพลงเพื่อคุณ “ขอฝากเพลงนี้เพื่อคุณ  ถึงโลกหยุดหมุน ขออย่าให้คุณลืมได้.....”
คอแห้งแล้วค่ะและก็รู้สึกหนาวแล้ว  นักร้องขอเข้าบ้านก่อนนะคะ 55
ขณะที่ฉันเปิดประตูจะเข้าบ้าน  ความคิดแว้บก็เข้ามา “ต้องเปลี่ยนแปลง”
อะไรนะเปลี่ยนแปลงฉันสงสัย
ฉันเดินขึ้นบันไดมาแล้วเข้าห้องนอน  ขณะที่ฉันกำลังอาบน้ำความคิดแว้บก็เข้ามา
“เปลี่ยนแปลงความคิด  คิดบวก”
คิดยังไง คิดบวก ก็ปกติก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร โกงใครนี่นา ไม่ได้อิจฉาริษยาใคร  
ทุกวันก็คิดบวกอยู่แล้ว  “ถ้าคิดถูกวิธีคงไม่เป็นโรคซึมเศร้าหรอก  ต้องเปลี่ยนแปลง”
ความคิดแว้บมาอีกแล้ว  

ก่อนนอนคืนนี้ฉันรู้สึกจิตนิ่งมากไม่กระวนกระวายสับสน ฉันเปิดเพลงบรรเลงเพื่อการนอนหลับผ่อนคลาย  
ขณะที่ฉันกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ในภวังค์ เหมือนสมองฉันทำงาน  ฉันบอกไม่ได้ว่ามันมายังไง หรือเป็นความคิดฉัน
อยู่เฉยๆฉันก็เข้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล  ฉันรู้ขึ้นมาได้ไง งงมาก  เหมือนความรู้นี้เข้ามาในสมอง  

“ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ จิตใต้สำนึกและจิตสำนึก ความสามัคคี กลมเกลียว ปองดอง
นำมาซึ่งพลังอำนาจอันเข้มแข็ง การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจะทำให้เกิด เกิดเป็นดวงจิตที่ทรงพลัง    

“แก้วมณีแห่งจิต”  

           เหมือนดวงแก้วประกายรุ้ง ถ้าแก้วมณีแห่งจิตได้พลังทางบวกมากๆ จะทำให้จิตผู้นั้นเข้มแข็งมีพลังมาก ก็จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
มีจินตนาการสูง อย่าง พวกอัจฉริยะ พวกประดิษฐ์คิดค้น นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยที่มีผลงานการค้นพบสิ่งใหม่ๆ  
นักประพันธ์ที่มีผลงานอมตะก้องโลกหรือพวกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับโลก  
และถ้าระดับจิตใจสูงๆขึ้นไปอีกมากๆ “แก้วมณีแห่งจิต” จะเปรียบประดุจเพชร ประกายแสงเพชรเจิดจรัส จิตระดับนี้จะเข้มแข็งอย่างมหาศาล ซึ่งแทบจะหาไม่ได้เลย อันได้แก่ พระศาสดา

          แต่ถ้าจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกไปในทิศทางเดียวกันแต่มีพลังเป็นลบ ก็จะไม่เกิด “แก้วมณีแห่งจิต”
และถ้าได้รับพลังด้านลบมากๆ จะทำให้คนนั้นอาจจะออกมาได้หลายลักษณะ เช่น โหดเหี้ยม  อำมหิตผิดมนุษย์
ได้แก่ พวกฆาตกร การออกไปฆ่าข่มขืนต่อเนื่อง  และผู้ป่วยด้านความคิดเช่นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็อาจเข้าข่ายนี้ด้วยในบางคน
คือ ไม่มีใครห้ามใคร ทั้งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเห็นพ้องต้องกัน  จิตสำนึกก็คิดแต่เรื่องเศร้าหมอง ผิดหวังซ้ำๆ
จิตใต้สำนึกก็เก็บอารมณ์ความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ ความรู้สึกสิ้นหวังไว้ซ้ำๆเหมือนกัน

          ส่วนพวกที่ จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกไปคนละทาง  จะไม่เกิด”แก้วมณีแห่งจิต”เหมือนกัน  การคิดแย้งกัน ปะทะกัน
จะออกมาในลักษณะไม่กล้า  ไม่มั่นใจตัวเอง โลเล หวาดระแวง จะเกิดความสับสน ไม่แน่ใจ
ลังเลสงสัยทำอะไรไม่สำเร็จทิ้งกลางคัน ไม่ค่อยมีพลังชีวิตตลอดจน ความกระตือรือร้น
พวกซึมเศร้าบางคนก็จะเข้าข่ายประเภทนี้อีกด้วยเหมือนกัน

          การที่จะทำให้จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเห็นพ้องต้องกัน  สิ่งแรกคือ เราต้องรู้ว่า สมองต้องการอะไร
สมองต้องการอาหารทิพย์อาหารอันโอชะและอะไรที่เป็นยาพิษของสมอง  
อาหารทิพย์ของสมองก็คือ ความคิดด้านบวก เช่น เรื่องดีๆ  สาระความรู้ เรื่องความสุข สนุกสนาน ตลกขบขัน ความรัก
ความสวยงาม ความบันเทิง ความรื่นรมย์อิ่มเอมใจ เสียงเพลงเสียงดนตรี ความสุนทรีต่างๆ สมองชอบหนักหนา
ส่วนยาพิษก็คือ ความคิดด้านลบ เช่น เรื่องร้ายๆ  เรื่องเครียดๆ เรื่องเศร้า เรื่องน่ากลัว

         วิธีที่จะทำให้จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพลังด้านบวกสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คือห้ามบังคับ ทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างจิตอย่าไปฝืนบังคับ ต้องค่อยเป็นค่อยไป  
ให้พูดปลอบประโลมกันดีๆ โดยใช้วิธีพูดกับตัวเองช้าๆเบาๆด้วยโทนเสียงเรียบต่ำ
พร้อมกับกอดตัวเองด้วยการเอามือขวาเอื้อมมาจับหัวไหล่ซ้ายและมือซ้ายเอื้อมมาจับหัวไหล่ขวา
เราจะช่วยกัน เราจะช่วยกันให้หายป่วย เรื่องที่แล้วๆให้มันผ่านไป  ขอโทษนะที่แต่ก่อนเอาเรื่องแย่ๆมาให้เธอ  
เราจะเริ่มกันใหม่นะ เราจะคิดและเก็บแต่ความคิดที่ดี ความรู้สึกที่ดี เรารักกันนะ  
เราช่วยกันสลัดความทุกข์ทิ้งไปนะแล้วเราจะไม่เก็บความคิดแย่ๆเอาไว้ แล้วควรยิ้มให้กับตัวเอง

          จำไว้ว่าความแข็งแกร่งเข้มแข็งของจิตใจต้องสร้างจากภายใน  ต้องหัดคิดบวกไปเรื่อยๆ
อีกหน่อยก็จะทำให้สมองชิน  และทำให้สมองรู้สึกว่าเมื่อคิดบวกแล้วจะเกิดความรู้สึกมีความสุข มีพลังขึ้นมา
  บ่อยเข้าๆสมองก็จะจดจำไว้ นานวันเข้าเมื่อความคิดลบเข้ามาสมองก็จะไม่ต้องการ สมองจะบอกปฏิเสธไม่เอาแล้วหล่ะ
แบบนี้มันทำให้ทุกข์ ไม่สนุกเลย"
และแล้วฉันก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

          ตื่นเช้าวันรุ่งขึ้น  ฉันกลับไปคิดถึงเรื่อง "แก้วมณีแห่งจิต"อีกครั้ง  ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึง
สาเหตุที่ทำให้ฉันเริ่มป่วยและป่วยมากขึ้นในเวลาต่อมา  ฉันเข้าข่าย จิตสำนึกปะทะจิตใต้สำนึก จึงทำให้
เป็นคนไม่มั่นใจตัวเอง จิตใจอ่อนไหว ไม่กล้าตัดสินใจบางครั้งก็เปลี่ยนไปมา ไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำอะไรๆได้
มันเลยนำมาสู่การเป็นผู้ตาม และยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่ใช้สติไตร่ตรอง ทำทุกอย่างที่คนอื่นพอใจแต่ไม่ได้
ย้อนกลับมาคิดว่าตัวเองมีความสุขที่ทำอย่างนั้นไม๊ ตลอดจนนิ่งและยอมรับฟังอย่างไม่แสดงอาการโต้ตอบหรือแสดงเหตุผล
มันทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง สร้างบุคลิกใหม่ที่จะให้ถูกใจใครต่อใคร เออออไปกับทุกเรื่องที่ใครๆพูด  

เช่นเมื่อโดนสามีเอ็ดดุด่าว่ากล่าว ตักเตือน ในสมองคิดแต่จะทำตามคำสั่งไม่หืออืออะไรทั้งสิ้น
ทำตามอย่างลนลาน เพราะลึกๆมีความรู้สึกว่า  ฉันไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถ ฉันควรจะฟังเค้า
ไอเดียหรือความคิดฉันมันไม่ได้เรื่อง  กลัวเค้าไม่รัก            
          
           และต่อๆมา จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ค่อยๆเข้าหากัน ค่อยๆคล้อยตามกัน
จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่เป็นไปในทางลบ  เลยทำให้มันก็มีพลังมากมหาศาลอย่างคาดไม่ถึง
มันสามารถทำให้สารเคมีบางตัวที่จำเป็นต่อสมองพร่องลงไป
จิตฉันอ่อนแอมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆและนำไปสู่โรคซึมเศร้า

          เมื่อฉันคิดได้  ฉันตัดสินใจที่จะเริ่มค่อยๆแยกจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกที่เคยหลอมหลวมกันออกจากกัน และค่อยๆป้อนข้อมูลเข้าไปใหม่
ช่วงแรกมันยากมากแต่ฉันอดทนและคิดว่าฉันต้องทำได้  

          ฉันทำได้  ฉันทำได้  ฉันทำได้
ฉันเริ่มบอกตัวเองซ้ำๆ  ฉันทำได้ๆๆๆ  มันเป็นการรักษาจิตให้เริ่มเข้มแข็งขึ้นวิธีหนึ่ง
และฉันคิดหาข้อดีของตัวเอง  แรกๆก็คิดไม่ออก มันมีความคิดแทรกมาอยู่เรื่อยว่าไม่ได้เรื่อง ทำโน้น ทำนี่ผิดพลาด
ความล้มเหลวต่างๆกลับพรั่งพรูออกมา  ฉันไม่ต่อสู้กับความคิดเหล่านั้น  แต่ป้อนความคิดกลับไปว่า นั่นคืออดีตและขอบคุณ
มากกับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบทเรียน  ประสบการณ์  ที่ทำให้ฉันเห็นว่า ฉันควรจะต้องทำยังไง อะไรที่ฉันควรทำ และ
และอะไรที่อย่าทำซ้ำอีก  ถ้าไม่มีบทเรียนเหล่านี้และการที่ได้ป่วยโรคซึมเศร้าฉันคงไม่ได้ค้นพบตัวเอง  ว่าจริงๆแล้วฉันมีความสามารถ
ที่จะทำอะไรๆได้หลายๆอย่าง  และทุกๆครั้งที่ฉันรู้สึกกระวนกระวายหรืออาการของโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นฉันจะบอกตัวเองว่า
เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น  ใจเย็นๆ  เดี๋ยวก็หาย  เราช่วยกันนะ จิตสำนึกและจิตใต้สนึก เราจะมีความสุขร่วมกัน  ความสุข  ความสุข
เราจะไม่จมอยู่กับอดีตซึ่งแก้ไขไม่ได้  ปัจุบันเท่านั้น ปัจจุบัน ปัจจุบันขณะ   ฉันบอกตัวเอง  ฉันทำได้ ฉันเชื่อว่า ฉันทำได้  

          พบกันตอนหน้านะคะ  ตอน ยกที่ 3 เสื้อกิโมโนสีขาวตัวจิ๋วจากห้างรังนกใต้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่