ริษยาซ่อนร่าง
ตอนที่ 1 และ 2
สารจากผู้เขียน
เรื่องนี้เป็นการรีไร้ท์งานสามเรื่องที่ผูกเข้าด้วยกันค่ะ คือเรื่องเราสามคน กุมภาพันธ์ที่รัก ปิดท้ายด้วยเรื่องจุดหมายปลายทาง ลิเขียนให้เป็นแนวผีสิงค่ะ ไม่ใช่งานสยองอย่างเดียวตามที่เคยทดลองเขียน
สำหรับเรื่องจุดหมายปลายทางที่นำมาผูกเป็นเรื่องสุดท้ายนี้ลิดัดแปลงงานเดิมของคุณ Phycho man เรื่องทางลัดพิศวงค่ะ ซึ่งเจ้าของเรื่องได้อนุญาตเป็นทางการแล้วนะคะ
โดย ล. วิลิศมาหรา
ตอนที่หนึ่ง
รักสามเส้าของเอกกวี แสงสินีและกวินตา
"ว้าย! เต้ย ช่วยรับแก้มด้วย" เสียงหวีดร้องของแม่เพื่อนรักตัวดีดังขึ้นอีกแล้ว เด็กสาวถักผมเปียสองข้าง รูปร่างปราดเปรียวท่าทางคล่องแคล่วว่องไวชะงักเท้าที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบให้หยุดลง เธอเหลียวใบหน้าสวยเข้มคมขำไปดูต้นเสียง แล้วก็ต้องหันหลังกลับมาหยุดยืนรอ ยกมือกอดอก เอียงคอ ขยับยืนกางขาในท่าพัก พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจต่อภาพที่เห็น
เฮ้อ นังแก้มนี่ทำไมมันอ่อนแอ เหยาะแหยะ เยิ่มเหยย อย่างนี้นะ เด็กสาวตาคมชื่อฝนหรือชื่อจริงคือแสงสินีบ่นพึมในใจ ขณะยืนดูเด็กหนุ่มหน้าตาคมสัน ซึ่งกำลังช่วยดึงแขนสองข้างของเด็กสาวร่างอรชร มัดผมม้าหน้าตาสะสวย ไม่ให้ร่วงตกลงไปในท้องร่องที่มีน้ำขังอยู่เต็ม
ลำพังแค่โดดข้ามท้องร่องในสวนมะม่วงกว้างไม่ถึงวา เพื่อนสาวที่ชื่อแก้มหรือกวินตาคนนี้ไม่เคยโดดข้ามเองได้สักที ตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนตอนนี้จะจบมัธยมหกกันอยู่แล้ว หล่อนต้องคอยเรียกเต้ยหรือเอกกวีให้ช่วยรับหล่อนทุกครั้ง ซึ่งเพื่อนหนุ่มก็ต้องหยุดรอเพื่อช่วยรับและคอยดึงมือแม่นางคนสวยเอาไว้ ไม่ให้ร่วงหงายท้องลงท้องร่องไปเสียก่อน
เอกกวีกับเพื่อนสาวทั้งสองเป็นสมาชิกของแก๊งค์หกซุบเปอร์ฮีโร่X-Mens ซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วยเอกกวี แสงสินี กวินตาและเพื่อนชายหญิงห้องเดียวกันอีกสามคน คือพาฝัน ลักขณาและบุรินทร์ ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้น ม. 6/1 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัด พวกเขาตั้งชื่อเรียกกันเองเพราะต่างคลั่งไคล้ตัวละคร Mutant (ผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่พาเหรดกันเข้ามาฉายให้เด็กไทยดูจนติดงอมแงมเหมือน ๆ กัน
เอกกวีตั้งตัวเป็น Professor Xหัวหน้าแก๊งค์ แสงสินีอยากมีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุแบบPsylocke ส่วนกวินตาชื่นชอบRogue นัยว่าอยากดูดกลืนพลังงานและความทรงจำของทุกคนที่ได้สัมผัส บอมหรือบุรินทร์อยากยิงแสงออกจากตาได้เหมือนกับ Cyclops ลักขณาอยากควบคุมฟ้าดินแบบ Storm ส่วนพาฝันหรือแพม สาวสายตาสั้นนั้นแปลกกว่าใครเพื่อน เธออยากมีกรงเล็บเหล็กและแข็งแกร่งอดทนเหมือน Wolverine
เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กและวัยรุ่นทั่วไปที่จะชื่นชอบและมีไอดอลเป็นคนเก่ง ยิ่งเก่งเหนือมนุษย์ก็ยิ่งชอบ ซึ่งเหตุผลลึก ๆ ทางด้านจิตวิทยานั้น เด็ก ๆ กลุ่มนี้อยากมีพลังวิเศษเพื่อนำไปใช้แก้ไขอุปสรรคขวากหนามในชีวิตของพวกตนนั่นเอง แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสามในสวนมะม่วงสนิทกัน นั่นก็คือบ้านของพวกเขาสร้างอยู่ติดกันอีกด้วย
แสงสินียืนมองแล้วนึกค่อนขอดเพื่อนในใจ
...ฮึ ดูเต้ยสิ รับยายแก้มข้ามท้องร่องมาได้แล้วไม่ยักกะปล่อยมือ จับมือกันไว้อย่างนั้นตั้งนานสองนาน...
ยิ่งนานวันยิ่งขัดตา สาวตาคมอดส่งค้อนให้เพื่อนทั้งสองไม่ได้
"นี่ ปล่อยมือกันได้แล้ว รีบเดินเข้าสายแล้วนะ เดี๋ยวโดนอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเล่นงานเอาหรอก แน่ะ เสียงรถมาแล้ว"
สั่งเสียงเข้มพลางชะเง้อมองไปทางถนนใหญ่ที่ตัดผ่านสวนมะม่วงหน้าบ้านของพวกตน สวนมะม่วงนี้มีเนื้อที่หลายสิบไร่ ความจริงในสวนปลูกทั้งมะม่วง ลำไย และมะพร้าว แต่ส่วนใหญ่เป็นมะม่วง เด็กหนุ่มสาวทั้งหมดเป็นลูกโทนของคนงานสามครอบครัว ซึ่งมารับจ้างดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนซึ่งมีบ้านพักอยู่ในตัวเมือง
ทิพย์วิภาเจ้าของสวนเป็นหญิงโสดวัยกลางคนผู้แสนใจดี ซึ่งเด็กทั้งสามเรียกเธอสนิทปากว่าป้าทิพย์อย่างเคารพนับถือ เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกตน สาวใหญ่ปลูกบ้านให้คนเฝ้าสวนทั้งสามและครอบครัวอยู่คนละหลัง ให้เงินเดือนใช้ แถมยังส่งเสียลูก ๆ ของคนดูแลสวนทั้งหมดให้เรียนหนังสืออีกด้วย เด็ก ๆ รักป้าทิพย์เช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขาซึ่งรักและต่างสำนึกในบุญคุณ จึงช่วยกันดูแลสวนและรักษาผลประโยชน์ให้ทิพย์วิภาเป็นอย่างดี ทั้งสามครอบครัวไม่คิดจะย้ายไปเฝ้าสวนให้ใครที่ไหนอีก
แสงสินีกับเพื่อนสนิททั้งสองเกิดและเติบโตขึ้นมาในสวนแห่งนี้ ครอบครัวของทั้งสามอาศัยอยู่ที่นี่มานานเป็นสิบปีและคงจะอยู่ตลอดไป เพราะป้าเจ้าของสวนออกปากบอกว่าจะยกที่ดินตรงที่ปลูกบ้านให้พ่อแม่ของพวกเธอ หญิงโสดเจ้าของสวนตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องและลูกหลานที่ไหนอีก ทิพย์วิภาเคยพูดว่า เธอนับครอบครัวคนเฝ้าสวนทั้งสามเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้ว
บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัดสามหลัง ซึ่งปลูกเรียงรายกันอยู่ในสวนมะม่วงของสามครอบครัวประกอบไปด้วย หลังแรกเป็นของครอบครัววิชัยกับสายหยุด พ่อและแม่ของกวินตา หลังถัดมาเป็นบ้านของทรงศักดิ์กับรำเพย ซึ่งเป็นพ่อแม่ของแสงสินี ส่วนหลังที่อยู่ท้ายสุดเป็นบ้านของอำนาจกับจรุงจิต พ่อและแม่ของเอกกวี
บ้านไม้สามหลังนี้อยู่ลึกเข้าไปเกือบถึงท้ายสวน เวลาจะไปโรงเรียนหรือออกมาหาซื้อของในร้านชำข้างนอก ต้องลัดเลาะเดินผ่านสวนใช้เวลานานโขอยู่ เจ้าของสวนทำถนนเอาไว้เหมือนกัน แต่คนในสวนชอบมาทางลัด เพราะมันย่นระยะทางให้สั้นลงตั้งเยอะ ลำบากหน่อยตรงต้องคอยกระโดดข้ามท้องร่องสำหรับปล่อยน้ำใส่ต้นไม้ในสวนนี่แหละ
แสงสินีเร่งเพื่อนให้รีบเดินแล้วตัวเองออกวิ่งนำหน้า เธอเป็นเด็กสาวที่ทะมัดทะแมงว่องไวอย่างนักกีฬา เพราะมีดีกรีเป็นถึงนักวิ่งระยะสั้นของโรงเรียน ส่วนกวินตาเพื่อนสาวสุดแสนจะเรียบร้อยของเธอรำไทย พูดถึงเพื่อนสาวคนสนิทที่โตมาด้วยกัน...เฮ้อ...แสงสินีเหนื่อยใจ เรียบร้อยนี่หมายถึงต้วมเตี้ยมเฉื่อยชาด้วยไหม ยายแก้มมักทำท่าแบบนี้จนสาวใจร้อนนึกรำคาญ
แต่กวินตาเป็นคนสวย...รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรอย่างนางละคร ดวงหน้าหวานปานจะหยดและเธอภูมิใจในใบหน้างดงามนี้มาก ท่าทีก็อย่างที่บอก เหมาะสมเป็นกุลสตรี เดินเหินหยิบจับแช่มช้าอ่อนช้อย บุคลิกนางเอกหนังไทยชัด ๆ การันตีด้วยเกียรติบัตรนักเรียนมารยาทงามสามปีซ้อนเลยทีเดียว ส่วนแสงสินีได้เป็นนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียน บุคลิกท่าทางของสองสาวจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แน่นอน แสงสินีแข็งกระด้าง ห้าวและห่ามได้ที่ เปรียบเทียบกันแล้ว เด็กสาวสองคนราวน้ำตาลกับพริกขี้หนูเม็ดเล็ก คนหนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ อีกคนดุเด็ดเผ็ดมัน แก่นแก้วซนเป็นลิง
"เดี๋ยว ๆ รอด้วยสิฝน" เสียงเพื่อนชายเพียงคนเดียวในที่นี้ร้องเรียกเอะอะตามหลังมา เพื่อนคนนี้เรียนเก่งได้เกรดสี่รัว ๆ ทุกวิชา เวลามีแข่งขันทักษะวิชาการ เอกกวีมักไม่พลาด เขาได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขันทุกครั้ง อีกอย่างที่ทำให้เพื่อนคนนี้โดดเด่นก็คือ เด็กหนุ่มมีดีตรงรูปหล่ออีกด้วย รูปร่างหน้าตาของเขาถ้านึกไม่ออกว่าหล่อยังไงให้ดูเอาที่...ณ เดช อืม...นั่นแหละ แสงสินีแอบคิดว่านี่คือสาเหตุที่ยายแก้มมันหกล้มหกลุกบ่อย ๆ เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันสามคน
สาวแสนซนหันหลังกลับออกวิ่งอ้าวไม่สนใจรอ นึกรำคาญเพื่อนสองคนนั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมด้วยหมั่นไส้!
ตอนยังเล็ก ๆ เวลาเล่นด้วยกัน แสงสินีอดนึกอิจฉาเพื่อนหญิงไม่ได้ ที่กวินตามักถูกห้อมล้อมเอาอกเอาใจ เดี่ยวถูกอุ้มเดี๋ยวถูกหอม ส่วนเธอน่ะเหรอ...
"ฝน แกปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงลูกนั้นที ดูสิ ลูกโต๊โต น่ากิน"
ตอนนั้นเด็กหญิงแก่นแก้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่เลยจริง ๆ เด็กผู้หญิงเหมือนกัน อายุเท่ากัน ทำไมชอบอุ้มชอบหอมแต่ยายแก้ม ทีเธอถูกไล่ให้ไปปีนเก็บมะม่วง
...ไอ้เต้ยก็เหมือนกัน คอยประคองแต่แก้มเดิน ปล่อยฝนให้กระฟัดกระเฟียดเดินดุ่ย ๆ คนเดียว...
แสงสินีเปล่างอน แค่น้อยใจ
มาถึงถนนใหญ่รถประจำทางก็จอดเทียบข้างทางพอดี ไม่จอดได้ไง เด็กสาวนักกีฬาวิ่งไปกางแขนขวางทางรถอยู่กลางถนน เพราะเจ้าประคุณทั้งคู่ยังจูงมือพากันวิ่งอย่างแช่มช้ามาไม่ถึงสักที แสงสินีไม่อยากไปโรงเรียนสาย เห็นกระโดกกระเดกอย่างนี้ก็กลัวไม้เรียวอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเป็นเหมือนกัน
ตอนนี้เด็กทั้งสามเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกันแล้ว กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมเพื่อน ๆ ในแก๊งค์ ผู้ปกครองของเด็กทุกคนพอมีเงินเก็บเพราะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ ค่าน้ำค่าไฟเจ้าของสวนใจดีออกให้ทั้งหมด เด็ก ๆ ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าพวกเขามีกำลังใจส่งเสียลูก ๆ ให้เรียนจบสูง ๆ เพราะเด็กทั้งสามมีความประพฤติดีและตั้งใจเรียน เอกกวีเรียนเก่งมาก ส่วนแสงสินีกับกวินตาก็เกรดเฉลี่ยไม่เคยน้อยกว่าสามจุดแปด
ในที่สุดสาวผมเปียก็สามารถพาทั้งหมดมาถึงโรงเรียนได้ทันเวลาโรงเรียนเข้า เมื่ออยู่ในห้องเรียน แน่นอน เอกกวีนั่งคู่กับกวินตาส่วนแสงสินีนั่งคู่กับพาฝัน เพื่อนสาวอีกคนที่บุคลิกแทบจะก็อปปี้กันมากับกวินตา คือเรียบร้อยเชื่องช้า ค่อย ๆ พูดจา ยามหันมาเห็นเพื่อนสาวทั้งสองซึ่งต้องมานั่งใกล้กัน แสงสินีได้แต่ถอนใจด้วยความอึดอัด แต่ถึงเพื่อนสนิททั้งสองจะเป็นแบบนี้ เธอก็รักและหวังดีกับพวกเขา สาวห้าวมักคอยช่วยเหลือเพื่อนอยู่เสมอ
"ขอบใจจ้ะเต้ย" พักเที่ยงของทุกวันในโรงอาหารที่โรงเรียน นอกจากสามสหายในสวนมะม่วงแล้วก็ยังมีสาวเนิร์ดสวมแว่นสายตาสั้นอย่างพาฝันที่มักมานั่งทานข้าวด้วยกัน แม้ไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยอยู่ วันไหนสองกุลสตรีอยู่ครบทั้งเอกกวีและแสงสินีก็ต้องทำหน้าที่บริการหนักหน่อย เพราะสองสาวมารยาทงามขยับตัวทำอะไรเชื่องช้า ส่วนบุรินทร์กับลักขณานั้นเพื่อนเยอะ บางครั้งก็มาร่วมวงด้วย
วันนี้พาฝันไม่มานั่งทานข้าวด้วยจึงเหลือเพียงสามสหาย แสงสินีเหล่ตามองเพื่อนรักคนสนิทสองหนุ่มสาว
...แหม ยิ้มหวานเชียวนะ น่าหมั่นไส้แท้ ๆ พักเที่ยงในแต่ละวันยายแก้มยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่เต้ยลุกไปบริการซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ เต้ยนะเต้ย ทีฝนให้เดินไปซื้อเอง ฮึ!
คับข้องอยู่ในใจ แต่เรื่องอะไรจะแสดงออกให้เสียฟอร์ม
"จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย เดี๋ยวฉันจะเดินไปซื้อน้ำ" ถ้าหัดสังเกตมั่งก็คงรู้ว่าแอบน้อยใจ แต่สองคนนั่นมัวแต่สวีทกัน ไม่มีใครสนใจเพื่อนคนนี้หรอก สาวห้าวรู้สึกเหมือนเป็นเศษติ่งส่วนเกินของความสัมพันธ์
ยิ่งใกล้เรียนจบ มอ. หก ก็ยิ่งชัดเจนว่าพวกเขาคงจีบกันเป็นแฟนแน่ อีกหน่อยพอเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำก็คงแต่งงานมีลูกมีเต้าด้วยกัน เฮ้อ...ทำไมยิ่งคิดยิ่งหดหู่ นี่ฝนกำลังอกหักหรือเปล่า ไม่นะ...ฝนไม่ได้รักเต้ยแบบชู้สาว...เสียเมื่อไหร่ล่ะ...ฮือ พระเจ้า ฝนรักเขาค่ะ
หญิงสาวท่าทางก๋ากั่นไม่เคยกลัวใครได้แต่คร่ำครวญน้ำตาตกใน เธอเข้มแข็งแค่ภายนอกแท้จริงข้างในแสนอ่อนไหว พอนึกถึงเรื่องเพื่อนสองคนนี้รักกันและคงขยับฐานะขึ้นเป็นแฟนกันในไม่ช้าทีไรแทบรับไม่ได้ แสงสินีแอบหลงรักเอกกวีข้างเดียวมานาน โดยสองคนนั่นไม่เคยรับรู้...แบบนี้ไม่เรียกอกหักแล้วจะให้เรียกว่ายังไง สาวนักกีฬารู้ตัวดีว่าความรักครั้งนี้เป็นรักคุด เธอคงต้องผิดหวังหัวอกหัวใจพังยับเยินแน่นอน
"ไม่เอาแล้วจ้ะฝน ตัวนั่งลงเหอะให้เต้ยไปซื้อก็ได้ เต้ยจัดการทีจ้ะ"
บอกเสร็จกวินตาก็แจกยิ้มหวานให้เพื่อนทั้งคู่ เอกกวีรับคำอย่างเอาใจ หันมาพยักพเยิดกับแสงสินีแล้วชี้มือให้เธอนั่งลง
"รออยู่นี่เดี๋ยวเต้ยจัดการเอง" คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาทำอะไรเพื่อเธอโดยไม่ใช่คำสั่งจากกวินตา สาวน้อยแก่นแก้วทรุดตัวลงนั่ง ทำหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจสุดช้ำใจเธอถูกพิษร้ายรักเขาข้างเดียวกระทำจนหัวอกกลัดหนอง แต่ยังฝืนทำหน้าชื่นอกตรม ทุกวันที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งที่บ้านและในรั้วโรงเรียนมันทรมานอย่างที่สุด
"ไม่ต้องหรอกเต้ย ฝนไปซื้อเองดีกว่า ว่าจะเดินหาซื้อพวกลูกอมมาอมวิชาสังคมของอาจารย์นครด้วย"
อ้างส่งไปถึงวิชาที่อาจารย์มักมายืนอ่านหนังสือให้ฟังหน้าชั้นจนนักเรียนพากันง่วงทั้งห้องแล้วยิ้มเจื่อนให้เพื่อนทั้งสอง ก่อนรีบเดินตัวปลิวจากมา ปล่อยโอกาสให้พวกเขาจีบกัน...ฮือ แสงสินีพยายามข่มใจอิจฉาอย่างแสนยากเย็น
(ตอน 2 มีต่อด้านล่างค่ะ)
เราสามคน (ฉากจบ)
ตอนที่ 1 และ 2
สารจากผู้เขียน
เรื่องนี้เป็นการรีไร้ท์งานสามเรื่องที่ผูกเข้าด้วยกันค่ะ คือเรื่องเราสามคน กุมภาพันธ์ที่รัก ปิดท้ายด้วยเรื่องจุดหมายปลายทาง ลิเขียนให้เป็นแนวผีสิงค่ะ ไม่ใช่งานสยองอย่างเดียวตามที่เคยทดลองเขียน
สำหรับเรื่องจุดหมายปลายทางที่นำมาผูกเป็นเรื่องสุดท้ายนี้ลิดัดแปลงงานเดิมของคุณ Phycho man เรื่องทางลัดพิศวงค่ะ ซึ่งเจ้าของเรื่องได้อนุญาตเป็นทางการแล้วนะคะ
โดย ล. วิลิศมาหรา
"ว้าย! เต้ย ช่วยรับแก้มด้วย" เสียงหวีดร้องของแม่เพื่อนรักตัวดีดังขึ้นอีกแล้ว เด็กสาวถักผมเปียสองข้าง รูปร่างปราดเปรียวท่าทางคล่องแคล่วว่องไวชะงักเท้าที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบให้หยุดลง เธอเหลียวใบหน้าสวยเข้มคมขำไปดูต้นเสียง แล้วก็ต้องหันหลังกลับมาหยุดยืนรอ ยกมือกอดอก เอียงคอ ขยับยืนกางขาในท่าพัก พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจต่อภาพที่เห็น
เฮ้อ นังแก้มนี่ทำไมมันอ่อนแอ เหยาะแหยะ เยิ่มเหยย อย่างนี้นะ เด็กสาวตาคมชื่อฝนหรือชื่อจริงคือแสงสินีบ่นพึมในใจ ขณะยืนดูเด็กหนุ่มหน้าตาคมสัน ซึ่งกำลังช่วยดึงแขนสองข้างของเด็กสาวร่างอรชร มัดผมม้าหน้าตาสะสวย ไม่ให้ร่วงตกลงไปในท้องร่องที่มีน้ำขังอยู่เต็ม
ลำพังแค่โดดข้ามท้องร่องในสวนมะม่วงกว้างไม่ถึงวา เพื่อนสาวที่ชื่อแก้มหรือกวินตาคนนี้ไม่เคยโดดข้ามเองได้สักที ตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนตอนนี้จะจบมัธยมหกกันอยู่แล้ว หล่อนต้องคอยเรียกเต้ยหรือเอกกวีให้ช่วยรับหล่อนทุกครั้ง ซึ่งเพื่อนหนุ่มก็ต้องหยุดรอเพื่อช่วยรับและคอยดึงมือแม่นางคนสวยเอาไว้ ไม่ให้ร่วงหงายท้องลงท้องร่องไปเสียก่อน
เอกกวีกับเพื่อนสาวทั้งสองเป็นสมาชิกของแก๊งค์หกซุบเปอร์ฮีโร่X-Mens ซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วยเอกกวี แสงสินี กวินตาและเพื่อนชายหญิงห้องเดียวกันอีกสามคน คือพาฝัน ลักขณาและบุรินทร์ ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้น ม. 6/1 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัด พวกเขาตั้งชื่อเรียกกันเองเพราะต่างคลั่งไคล้ตัวละคร Mutant (ผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่พาเหรดกันเข้ามาฉายให้เด็กไทยดูจนติดงอมแงมเหมือน ๆ กัน
เอกกวีตั้งตัวเป็น Professor Xหัวหน้าแก๊งค์ แสงสินีอยากมีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุแบบPsylocke ส่วนกวินตาชื่นชอบRogue นัยว่าอยากดูดกลืนพลังงานและความทรงจำของทุกคนที่ได้สัมผัส บอมหรือบุรินทร์อยากยิงแสงออกจากตาได้เหมือนกับ Cyclops ลักขณาอยากควบคุมฟ้าดินแบบ Storm ส่วนพาฝันหรือแพม สาวสายตาสั้นนั้นแปลกกว่าใครเพื่อน เธออยากมีกรงเล็บเหล็กและแข็งแกร่งอดทนเหมือน Wolverine
เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กและวัยรุ่นทั่วไปที่จะชื่นชอบและมีไอดอลเป็นคนเก่ง ยิ่งเก่งเหนือมนุษย์ก็ยิ่งชอบ ซึ่งเหตุผลลึก ๆ ทางด้านจิตวิทยานั้น เด็ก ๆ กลุ่มนี้อยากมีพลังวิเศษเพื่อนำไปใช้แก้ไขอุปสรรคขวากหนามในชีวิตของพวกตนนั่นเอง แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสามในสวนมะม่วงสนิทกัน นั่นก็คือบ้านของพวกเขาสร้างอยู่ติดกันอีกด้วย
แสงสินียืนมองแล้วนึกค่อนขอดเพื่อนในใจ
...ฮึ ดูเต้ยสิ รับยายแก้มข้ามท้องร่องมาได้แล้วไม่ยักกะปล่อยมือ จับมือกันไว้อย่างนั้นตั้งนานสองนาน...
ยิ่งนานวันยิ่งขัดตา สาวตาคมอดส่งค้อนให้เพื่อนทั้งสองไม่ได้
"นี่ ปล่อยมือกันได้แล้ว รีบเดินเข้าสายแล้วนะ เดี๋ยวโดนอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเล่นงานเอาหรอก แน่ะ เสียงรถมาแล้ว"
สั่งเสียงเข้มพลางชะเง้อมองไปทางถนนใหญ่ที่ตัดผ่านสวนมะม่วงหน้าบ้านของพวกตน สวนมะม่วงนี้มีเนื้อที่หลายสิบไร่ ความจริงในสวนปลูกทั้งมะม่วง ลำไย และมะพร้าว แต่ส่วนใหญ่เป็นมะม่วง เด็กหนุ่มสาวทั้งหมดเป็นลูกโทนของคนงานสามครอบครัว ซึ่งมารับจ้างดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนซึ่งมีบ้านพักอยู่ในตัวเมือง
ทิพย์วิภาเจ้าของสวนเป็นหญิงโสดวัยกลางคนผู้แสนใจดี ซึ่งเด็กทั้งสามเรียกเธอสนิทปากว่าป้าทิพย์อย่างเคารพนับถือ เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกตน สาวใหญ่ปลูกบ้านให้คนเฝ้าสวนทั้งสามและครอบครัวอยู่คนละหลัง ให้เงินเดือนใช้ แถมยังส่งเสียลูก ๆ ของคนดูแลสวนทั้งหมดให้เรียนหนังสืออีกด้วย เด็ก ๆ รักป้าทิพย์เช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขาซึ่งรักและต่างสำนึกในบุญคุณ จึงช่วยกันดูแลสวนและรักษาผลประโยชน์ให้ทิพย์วิภาเป็นอย่างดี ทั้งสามครอบครัวไม่คิดจะย้ายไปเฝ้าสวนให้ใครที่ไหนอีก
แสงสินีกับเพื่อนสนิททั้งสองเกิดและเติบโตขึ้นมาในสวนแห่งนี้ ครอบครัวของทั้งสามอาศัยอยู่ที่นี่มานานเป็นสิบปีและคงจะอยู่ตลอดไป เพราะป้าเจ้าของสวนออกปากบอกว่าจะยกที่ดินตรงที่ปลูกบ้านให้พ่อแม่ของพวกเธอ หญิงโสดเจ้าของสวนตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องและลูกหลานที่ไหนอีก ทิพย์วิภาเคยพูดว่า เธอนับครอบครัวคนเฝ้าสวนทั้งสามเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้ว
บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัดสามหลัง ซึ่งปลูกเรียงรายกันอยู่ในสวนมะม่วงของสามครอบครัวประกอบไปด้วย หลังแรกเป็นของครอบครัววิชัยกับสายหยุด พ่อและแม่ของกวินตา หลังถัดมาเป็นบ้านของทรงศักดิ์กับรำเพย ซึ่งเป็นพ่อแม่ของแสงสินี ส่วนหลังที่อยู่ท้ายสุดเป็นบ้านของอำนาจกับจรุงจิต พ่อและแม่ของเอกกวี
บ้านไม้สามหลังนี้อยู่ลึกเข้าไปเกือบถึงท้ายสวน เวลาจะไปโรงเรียนหรือออกมาหาซื้อของในร้านชำข้างนอก ต้องลัดเลาะเดินผ่านสวนใช้เวลานานโขอยู่ เจ้าของสวนทำถนนเอาไว้เหมือนกัน แต่คนในสวนชอบมาทางลัด เพราะมันย่นระยะทางให้สั้นลงตั้งเยอะ ลำบากหน่อยตรงต้องคอยกระโดดข้ามท้องร่องสำหรับปล่อยน้ำใส่ต้นไม้ในสวนนี่แหละ
แสงสินีเร่งเพื่อนให้รีบเดินแล้วตัวเองออกวิ่งนำหน้า เธอเป็นเด็กสาวที่ทะมัดทะแมงว่องไวอย่างนักกีฬา เพราะมีดีกรีเป็นถึงนักวิ่งระยะสั้นของโรงเรียน ส่วนกวินตาเพื่อนสาวสุดแสนจะเรียบร้อยของเธอรำไทย พูดถึงเพื่อนสาวคนสนิทที่โตมาด้วยกัน...เฮ้อ...แสงสินีเหนื่อยใจ เรียบร้อยนี่หมายถึงต้วมเตี้ยมเฉื่อยชาด้วยไหม ยายแก้มมักทำท่าแบบนี้จนสาวใจร้อนนึกรำคาญ
แต่กวินตาเป็นคนสวย...รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรอย่างนางละคร ดวงหน้าหวานปานจะหยดและเธอภูมิใจในใบหน้างดงามนี้มาก ท่าทีก็อย่างที่บอก เหมาะสมเป็นกุลสตรี เดินเหินหยิบจับแช่มช้าอ่อนช้อย บุคลิกนางเอกหนังไทยชัด ๆ การันตีด้วยเกียรติบัตรนักเรียนมารยาทงามสามปีซ้อนเลยทีเดียว ส่วนแสงสินีได้เป็นนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียน บุคลิกท่าทางของสองสาวจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แน่นอน แสงสินีแข็งกระด้าง ห้าวและห่ามได้ที่ เปรียบเทียบกันแล้ว เด็กสาวสองคนราวน้ำตาลกับพริกขี้หนูเม็ดเล็ก คนหนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ อีกคนดุเด็ดเผ็ดมัน แก่นแก้วซนเป็นลิง
"เดี๋ยว ๆ รอด้วยสิฝน" เสียงเพื่อนชายเพียงคนเดียวในที่นี้ร้องเรียกเอะอะตามหลังมา เพื่อนคนนี้เรียนเก่งได้เกรดสี่รัว ๆ ทุกวิชา เวลามีแข่งขันทักษะวิชาการ เอกกวีมักไม่พลาด เขาได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขันทุกครั้ง อีกอย่างที่ทำให้เพื่อนคนนี้โดดเด่นก็คือ เด็กหนุ่มมีดีตรงรูปหล่ออีกด้วย รูปร่างหน้าตาของเขาถ้านึกไม่ออกว่าหล่อยังไงให้ดูเอาที่...ณ เดช อืม...นั่นแหละ แสงสินีแอบคิดว่านี่คือสาเหตุที่ยายแก้มมันหกล้มหกลุกบ่อย ๆ เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันสามคน
สาวแสนซนหันหลังกลับออกวิ่งอ้าวไม่สนใจรอ นึกรำคาญเพื่อนสองคนนั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมด้วยหมั่นไส้!
ตอนยังเล็ก ๆ เวลาเล่นด้วยกัน แสงสินีอดนึกอิจฉาเพื่อนหญิงไม่ได้ ที่กวินตามักถูกห้อมล้อมเอาอกเอาใจ เดี่ยวถูกอุ้มเดี๋ยวถูกหอม ส่วนเธอน่ะเหรอ...
"ฝน แกปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงลูกนั้นที ดูสิ ลูกโต๊โต น่ากิน"
ตอนนั้นเด็กหญิงแก่นแก้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่เลยจริง ๆ เด็กผู้หญิงเหมือนกัน อายุเท่ากัน ทำไมชอบอุ้มชอบหอมแต่ยายแก้ม ทีเธอถูกไล่ให้ไปปีนเก็บมะม่วง
...ไอ้เต้ยก็เหมือนกัน คอยประคองแต่แก้มเดิน ปล่อยฝนให้กระฟัดกระเฟียดเดินดุ่ย ๆ คนเดียว...
แสงสินีเปล่างอน แค่น้อยใจ
มาถึงถนนใหญ่รถประจำทางก็จอดเทียบข้างทางพอดี ไม่จอดได้ไง เด็กสาวนักกีฬาวิ่งไปกางแขนขวางทางรถอยู่กลางถนน เพราะเจ้าประคุณทั้งคู่ยังจูงมือพากันวิ่งอย่างแช่มช้ามาไม่ถึงสักที แสงสินีไม่อยากไปโรงเรียนสาย เห็นกระโดกกระเดกอย่างนี้ก็กลัวไม้เรียวอาจารย์ปีศาจหน้าประตูโรงเรียนเป็นเหมือนกัน
ตอนนี้เด็กทั้งสามเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกันแล้ว กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมเพื่อน ๆ ในแก๊งค์ ผู้ปกครองของเด็กทุกคนพอมีเงินเก็บเพราะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ ค่าน้ำค่าไฟเจ้าของสวนใจดีออกให้ทั้งหมด เด็ก ๆ ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าพวกเขามีกำลังใจส่งเสียลูก ๆ ให้เรียนจบสูง ๆ เพราะเด็กทั้งสามมีความประพฤติดีและตั้งใจเรียน เอกกวีเรียนเก่งมาก ส่วนแสงสินีกับกวินตาก็เกรดเฉลี่ยไม่เคยน้อยกว่าสามจุดแปด
ในที่สุดสาวผมเปียก็สามารถพาทั้งหมดมาถึงโรงเรียนได้ทันเวลาโรงเรียนเข้า เมื่ออยู่ในห้องเรียน แน่นอน เอกกวีนั่งคู่กับกวินตาส่วนแสงสินีนั่งคู่กับพาฝัน เพื่อนสาวอีกคนที่บุคลิกแทบจะก็อปปี้กันมากับกวินตา คือเรียบร้อยเชื่องช้า ค่อย ๆ พูดจา ยามหันมาเห็นเพื่อนสาวทั้งสองซึ่งต้องมานั่งใกล้กัน แสงสินีได้แต่ถอนใจด้วยความอึดอัด แต่ถึงเพื่อนสนิททั้งสองจะเป็นแบบนี้ เธอก็รักและหวังดีกับพวกเขา สาวห้าวมักคอยช่วยเหลือเพื่อนอยู่เสมอ
"ขอบใจจ้ะเต้ย" พักเที่ยงของทุกวันในโรงอาหารที่โรงเรียน นอกจากสามสหายในสวนมะม่วงแล้วก็ยังมีสาวเนิร์ดสวมแว่นสายตาสั้นอย่างพาฝันที่มักมานั่งทานข้าวด้วยกัน แม้ไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยอยู่ วันไหนสองกุลสตรีอยู่ครบทั้งเอกกวีและแสงสินีก็ต้องทำหน้าที่บริการหนักหน่อย เพราะสองสาวมารยาทงามขยับตัวทำอะไรเชื่องช้า ส่วนบุรินทร์กับลักขณานั้นเพื่อนเยอะ บางครั้งก็มาร่วมวงด้วย
วันนี้พาฝันไม่มานั่งทานข้าวด้วยจึงเหลือเพียงสามสหาย แสงสินีเหล่ตามองเพื่อนรักคนสนิทสองหนุ่มสาว
...แหม ยิ้มหวานเชียวนะ น่าหมั่นไส้แท้ ๆ พักเที่ยงในแต่ละวันยายแก้มยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่เต้ยลุกไปบริการซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ เต้ยนะเต้ย ทีฝนให้เดินไปซื้อเอง ฮึ!
คับข้องอยู่ในใจ แต่เรื่องอะไรจะแสดงออกให้เสียฟอร์ม
"จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย เดี๋ยวฉันจะเดินไปซื้อน้ำ" ถ้าหัดสังเกตมั่งก็คงรู้ว่าแอบน้อยใจ แต่สองคนนั่นมัวแต่สวีทกัน ไม่มีใครสนใจเพื่อนคนนี้หรอก สาวห้าวรู้สึกเหมือนเป็นเศษติ่งส่วนเกินของความสัมพันธ์
ยิ่งใกล้เรียนจบ มอ. หก ก็ยิ่งชัดเจนว่าพวกเขาคงจีบกันเป็นแฟนแน่ อีกหน่อยพอเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำก็คงแต่งงานมีลูกมีเต้าด้วยกัน เฮ้อ...ทำไมยิ่งคิดยิ่งหดหู่ นี่ฝนกำลังอกหักหรือเปล่า ไม่นะ...ฝนไม่ได้รักเต้ยแบบชู้สาว...เสียเมื่อไหร่ล่ะ...ฮือ พระเจ้า ฝนรักเขาค่ะ
หญิงสาวท่าทางก๋ากั่นไม่เคยกลัวใครได้แต่คร่ำครวญน้ำตาตกใน เธอเข้มแข็งแค่ภายนอกแท้จริงข้างในแสนอ่อนไหว พอนึกถึงเรื่องเพื่อนสองคนนี้รักกันและคงขยับฐานะขึ้นเป็นแฟนกันในไม่ช้าทีไรแทบรับไม่ได้ แสงสินีแอบหลงรักเอกกวีข้างเดียวมานาน โดยสองคนนั่นไม่เคยรับรู้...แบบนี้ไม่เรียกอกหักแล้วจะให้เรียกว่ายังไง สาวนักกีฬารู้ตัวดีว่าความรักครั้งนี้เป็นรักคุด เธอคงต้องผิดหวังหัวอกหัวใจพังยับเยินแน่นอน
"ไม่เอาแล้วจ้ะฝน ตัวนั่งลงเหอะให้เต้ยไปซื้อก็ได้ เต้ยจัดการทีจ้ะ"
บอกเสร็จกวินตาก็แจกยิ้มหวานให้เพื่อนทั้งคู่ เอกกวีรับคำอย่างเอาใจ หันมาพยักพเยิดกับแสงสินีแล้วชี้มือให้เธอนั่งลง
"รออยู่นี่เดี๋ยวเต้ยจัดการเอง" คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาทำอะไรเพื่อเธอโดยไม่ใช่คำสั่งจากกวินตา สาวน้อยแก่นแก้วทรุดตัวลงนั่ง ทำหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจสุดช้ำใจเธอถูกพิษร้ายรักเขาข้างเดียวกระทำจนหัวอกกลัดหนอง แต่ยังฝืนทำหน้าชื่นอกตรม ทุกวันที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งที่บ้านและในรั้วโรงเรียนมันทรมานอย่างที่สุด
"ไม่ต้องหรอกเต้ย ฝนไปซื้อเองดีกว่า ว่าจะเดินหาซื้อพวกลูกอมมาอมวิชาสังคมของอาจารย์นครด้วย"
อ้างส่งไปถึงวิชาที่อาจารย์มักมายืนอ่านหนังสือให้ฟังหน้าชั้นจนนักเรียนพากันง่วงทั้งห้องแล้วยิ้มเจื่อนให้เพื่อนทั้งสอง ก่อนรีบเดินตัวปลิวจากมา ปล่อยโอกาสให้พวกเขาจีบกัน...ฮือ แสงสินีพยายามข่มใจอิจฉาอย่างแสนยากเย็น
(ตอน 2 มีต่อด้านล่างค่ะ)