กรุงเทพฯใต้ฝนเหล็ก! ญี่ปุ่นพิมพ์แบงก์เองกว้านซื้อสินค้าไทยไปเกลี้ยง ทั้งกรุงเทพฯยังต้องใช้ตะเกียง!!


“ป้อมบินยักษ์” โปรย “ฝนเหล็ก” ในสงครามโลกครั้งที่ ๒
  
  
        เมื่อไทยเซ็นสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่น ยังไม่ทันประกาศสงครามกับอังกฤษอเมริกา กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งตั้งมา ๑๖๐ ปี ไม่เคยมีอริราชศัตรูรายใดบุกเข้ามาถึงกำแพงพระนครได้ ก็มีโอกาสต้อนรับข้าศึกเป็นครั้งแรก
      
        ราว ๐๔.๐๐ น.ของวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๘๕ ขณะที่คนกรุงเทพฯ กำลังนอนหลับกันอย่างสบายเพราะอากาศเย็นยังกับเปิดแอร์ ก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท และได้ยินเสียงเครื่องบินหลายลำครางกระหึ่มอยู่บนฟ้า จากนั้นอีกครู่จึงได้ยินเสียงไซเรน สัญญาณภัยทางอากาศที่เรียกกันว่า “หวอ” ดังขึ้นอย่างโหยหวน เพราะคนเฝ้าสัญญาณก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงระเบิดเหมือนกัน เพิ่งลุกขึ้นมาหมุนสัญญาณด้วยมือ ครั้งแรกที่ยังไม่มีประสบการณ์และไม่คาดคิด ก็ต้องขลุกขลักกันแบบนี้
      
        คนกรุงเทพฯไม่เคยเผชิญกับการทิ้งระเบิดมาก่อน นอกจากอ่านข่าวที่อังกฤษฝรั่งเศสและเยอรมันถล่มกันแหลกในยุโรป รู้ว่าพิษสงของมันน่าเกรงกลัวแค่ไหน จึงต่างวิ่งกันลนลาน ไปหามุมซุกตามซอกตึก ซอกตู้ โคนต้นไม้ แม้แต่โคนต้นกล้วย บางบ้านก็ขุดหลุมหลบภัยตามคำเตือนของรัฐบาลไว้ เสียงเครื่องบินครางสลับเสียงปืนต่อสู้อากาศยานและเสียงระเบิดทำให้คนกรุงเทพฯขวัญกระเจิง บนท้องฟ้าก็เห็นลำแสงไฟสาดส่ายขึ้นไปยังกับตราของบริษัททะเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ พอพบเครื่องบินก็สะท้อนแสงวาววับ จากนั้นก็มีเสียง ป.ต.อ. ระเบิดติดๆกัน บางครั้งเครื่องบินก็กราดปืนกลลงมา ทำให้ไฟฉายพากันรีบปิดทันที
      
        เครื่องบินของไทยและญี่ปุ่นไม่มีบินขึ้นไปต่อสู้เลย พลโทอาเคโตะ นากามูระ ผู้บัญชากองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้เขียนไว้ในบันทึกที่พิมพ์ออกมาหลังสงครามว่า
      
        “อันที่จริงฝ่ายไทยมีเครื่องบินอยู่หลายสิบลำเหมือนกัน แต่ว่าประสิทธิภาพไม่ดีพอ แม้บินขึ้นไปต่อสู้ก็ไม่มีความหมาย เหมือนกับบินขึ้นไปใช้ “ขาหน้าของตั๊กแตนต่อยมวย” ฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าบินขึ้นไปให้แพ้ ส่วนปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานนั้นมีเพียงไม่กี่กระบอก เป็นอาวุธหลักในการป้องกันการโจมตีทางอากาศ ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่าการโจมตีทางอากาศครั้งนี้จะกลายเป็นเครื่องมือให้การโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง และจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เสียงโค่นล้มรัฐบาลพิบูลสงครามจะมีมากขึ้นตามไปด้วย ความรู้สึกนี้ไม่ได้มีเฉพาะตัวข้าพเจ้า เอกอัครราชทูตทสุโบกามิก็มีความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน...”
      
        ความเสียหายทางยุทธศาสตร์เกือบไม่มี แต่ทางด้านจิตวิทยานั้นคนไทยเสียขวัญกันมาก ระเบิดลง ๓ จุด คือที่ หัวลำโพง เยาวราช และตรอกบีแอลฮั้ว ฝั่งธนฯ ซึ่งเป้าหมายก็คงเป็นชุมทางรถไฟหัวลำโพงและสะพานพุทธ แต่ห่างเป้าไปมาก บ้านเรือนราษฎรพังไป ๓๐ หลัง คนตายไป ๑๑ คน รุ่งเช้า “ไทยมุง” แห่ไปดูที่ถูกระเบิดกันล้นหลาม เพราะไม่เคยเห็น พบชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์กระจัดกระจาย พากันขนลุกขนพองสยองเกล้าไปตามกัน
      
        ตลอดวันนั้น ถนนในกรุงเทพฯเห็นแต่คนขนข้าวขนของหนีออกต่างจังหวัดหรือชานเมือง โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ก็ต้องหวาดผวากว่าคนอื่น และการทิ้งระเบิดในยุคนั้นก็ไม่ได้แม่นยำเหมือนจับวางอย่างในยุคนี้ ขนาดจะทิ้งหัวลำโพงยังไปลงกลางเยาวราช ห่างกันไม่น้อย กรุงเทพฯจึงเป็นจุดอันตรายที่มีโอกาสโดนลูกหลงทั้งนั้น สถานที่อพยพหนีระเบิดของคนกรุงเทพฯ ตอนนั้นก็มีแถวสวนฝั่งธนฯ ครอบครัวผู้เขียนเองก็ย้ายไปอยู่กับญาติที่บางบำหรุ หลังห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าในปัจจุบันนี่เอง ตอนนั้น จอมพล ป.ตัดถนนจรัลสนิทวงศ์แล้ว แต่ก็เป็นแค่พูนดิน มีต้นหญ้ารกท่วมหัว มีทางเดินแหวกเป็นช่อง บางตอนก็มีชาวสวนใช้เป็นที่ปลูกอ้อยสิงคโปร์ รถยังวิ่งไม่ได้ ย่านคลองแสนแสบก็เป็นที่นิยมอพยพไปหลบระเบิดอีกแห่ง ริมคลองก่อนถึงลาดกระบังยังมีบ้าน “ไกลหวอ” มาจนถึงทุกวันนี้
      
        ก่อนประกาศสงคราม ในคืนวันคริสต์มาส กรุงเทพฯก็โดนทิ้งระเบิดอีกครั้ง ที่สะพานกษัตริย์ศึกและโรงไฟฟ้าวัดเลียบ จากนั้นก็มาเป็นระยะๆ
      
        ในปี ๒๔๘๕ ปรากฏว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯทั่วไปหมด สัมพันธมิตรคงจะเห็นใจเว้นการทิ้งระเบิดไปนานเหมือนกัน ไม่งั้นก็ไม่รู้จะหลบระเบิดตรงไหน เพราะน้ำท่วมหลุมหลบภัยไปด้วย แต่พอเดือนธันวาคม ๒๔๘๖ กลับเปลี่ยนแผนเป็นเอาระเบิดเพลิงมาทิ้งใส่หลายจุด มองไปทางไหนในกรุงเทพฯ ก็เห็นแต่แสงไฟแดงฉานยังกับทะเลเพลิง
      
        ครั้งที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นเที่ยงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๗ ไม่รู้จะล้างโกดังระเบิดหรืออย่างไร ขนมาทิ้งกรุงเทพฯ ถึง ๔๙ จุด แต่ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ไม่กี่แห่ง เช่น สะพานพระรามหก โรงงานรถไฟมักกะสัน นอกนั้นก็สะเปะสะปะ ทำเนียบสามัคคีชัยของรัฐบาลก็โดนด้วย บริเวณบ้านพักผู้แทนราษฎรหน้าโรงพยาบาลวชิระ สี่แยกเฉลิมกรุง สี่แยกบ้านหม้อ สี่กั๊กพระยาศรี วัดบางกะปิตรงคลองตัน ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่านอกเมืองมาก มีญี่ปุ่นไปตั้งค่ายอยู่แถวนั้น แต่ไม่ลงค่าย กลับไปลงวัด แม้แต่เขาดินก็ยังโดน
      
        โรงพยาบาลน่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่โรงพยาบาลศิริราชอยู่ติดกับจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือสถานีรถไฟธนบุรี ซึ่งญี่ปุ่นใช้เป็นที่ขนทั้งทหารและยุทธปัจจัยลงใต้ ทางโรงพยาบาลได้สร้างหลุมหลบภัยไว้ที่สนามระหว่างตึกตรีเพชรกับตึกจุฑาธุช ทาเครื่องหมายกาชาดไว้บนหลุมแดงแจ๋ให้เครื่องบินเห็นเด่นชัด คิดว่าจะเป็นยันต์กันระเบิดได้ แต่ก็ไม่วายโดนลูกหลงไปหลายครั้ง ครั้งหนึ่งตอนปลายๆ สงคราม สถานีธนบุรีถูกปูพรม ลูกหลงมาลงที่ตึกพยาธิวิทยาพังราบ รุ่งขึ้นนิสิตแพทย์กับอาจารย์ต้องช่วยกันไปคุ้ยซากตึกหาสไลด์และกล้องจุลทรรศน์เอาไปเรียนอีก อีกลูกหนึ่งขนาด ๕๐ กก.ทะลุหลังคาลงมาถึงพื้นล่างกลางตึกศัลยกรรมหญิง เคราะห์ดีที่ด้าน แต่ทั้งหมอและคนไข้ก็เผ่นกันกระเจิง คนไข้คนหนึ่งเป็นโรคเหน็บชาขนาดหนักเดินไม่ได้ แต่ความกลัวระเบิดกลับเผ่นลงจากเตียงวิ่งปร๋อออกไปหมอบอยู่นอกโรงพยาบาล ขากลับเดินไม่ได้ ต้องหามกลับมาขึ้นเตียง
      
        ทั้งกลางวันกลางคืนไม่เป็นอันทำมาหากิน อยู่ๆสัญญาณภัยทางอากาศก็ดังขึ้น ครวญครางเป็นห้วงๆน่าวังเวง ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อต้องวิ่งหาที่หลบภัย ซึ่งเกือบทุกบ้านจะขุดหลุมหลบภัยไว้ เล็กใหญ่ตามแต่เนื้อที่และจำนวนคนในบ้าน ลักษณะเป็นหลุมดิน อาจมีฝาไม้เป็นผนังข้าง ด้านบนก็ทำคานหลังคาแล้วเอาดินถม และต้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลลงไป บางทีฝนตกน้ำลงไปขังอยู่ในหลุมหลบภัยวิดไม่ทัน หวอมาก็ต้องยอมลงไปแช่น้ำดีกว่าล่อระเบิดอยู่บนบ้าน ถ้าทำหลุมหลบภัยไว้ดีหวอมาก็ลงไปหลับต่อในหลุมได้สบาย หลายบ้านก็นิยมเอามะนาวไปโรยไว้ เชื่อว่าป้องกันงูได้ เพราะงูมักจะหลบไปอยู่ในหลุมหลบภัยด้วยเหมือนกัน บางบ้านก็ซวยหนัก เรียกกันว่า “ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง” ลูกระเบิดลงกลางหลุมหลบภัยพอดี ลบสำมะโนครัวไปเลยทั้งบ้าน ส่วนทางราชการก็สร้างหลุมหลบภัยเป็นคอนกรีตไว้หลายจุด จนเสียงหวอลากยาวไม่ขาดเป็นช่วงเป็นสัญญาณปลอดภัยจึงค่อยโล่งอก แต่หลายครั้งเหมือนกันที่หวอปลอดภัยเพิ่งสิ้นเสียงไปหยกๆ หวอสัญญาณภัยทางอากาศก็ดังขึ้นอีก กำลังโล่งอกก็ต้องวิ่งลงหลุมกันอีก
      
        เรื่องอาหารการกินและของใช้ในชีวิตประจำวันเรียกได้ว่า “ข้าวยากหมากแพง” เมื่อคนไม่ค่อยได้ทำมาหากินต้องคอยวิ่งลงหลุม ของกินของใช้ที่เคยผลิตได้ก็น้อยลง ไหนญี่ปุ่นจะกว้านซื้อด้วยราคาสูงกว่าท้องตลาดเพื่อส่งไปเลี้ยงกองทัพ ขนาดข้าวสารบางจังหวัดรัฐบาลต้องใช้วิธี “ปันส่วน” เพราะพ่อค้ากักตุนเอาไปขายญี่ปุ่นจนขาดตลาด ทำให้คนไทยไม่มีกิน จอมพลป. คาดการณ์ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าอาจจะเกิดสงคราม จึงรณรงค์ให้ทุกบ้านทำสวนครัวและเลี้ยงไก่ ใครเชื่อ “ท่านผู้นำ” ก็พออาศัยมีผักมีไข่ไก่กิน อาหารและขนมทำจากแป้งสาลีที่มาจากต่างประเทศอย่าไปหา เช่นเดียวกับวุ้นและนมข้น จำได้ว่าตอนปลายๆสงครามมีคนคิดเอาแป้งข้าวเจ้ามาทำขนมปัง แต่ก็กระด้างจนกระเดือกไม่ค่อยลง ยิ่งค้างคืนด้วยแล้วเอาขว้างหัวยังโน
      
        ยามนั้นเมืองไทยผลิตของใช้ได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ พอเกิดสงครามสินค้ามาไม่ได้ก็เลยไม่มีใช้ แม้แต่ของที่ผลิตเองได้ก็ถูกกักตุนเอาไปขายญี่ปุ่น ขนาดไม้ขีดไฟยังต้องมีการปันส่วน เพราะในยามนั้นถ้าไม่มีไม้ขีดไฟก็ไม่รู้จะหุงข้าวได้ยังไง พวกขี้ยาสูบบุหรี่หลายคนกลับไปใช้หินเหล็กไฟตีให้ติดสำลีที่ยัดไว้ในกระบอกไม้ไผ่แล้วเอาปากเป่า ย้อนยุคกลับไปสู่สมัยหินกันอีก ส่วนสบู่ก็เป็นของหายากเหมือนกัน หุงข้าวเย็นเสร็จก็โกยขี้เถ้าจากเตาไฟเอาแช่น้ำไว้ พอรุ่งเช้าก็รินน้ำด่างมาซักผ้าแทนสบู่ เสื้อผ้าก็เป็นของหายาก แต่สาวๆสมัยนั้นก็ยังไม่ประหยัดผ้ากันเหมือนสาวสมัยนี้ ทั้งๆที่ผ้ามีล้นตลาด ราคาก็ถูก แต่ก็ยังอุตส่าห์นุ่งน้อยห่มน้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่