22 วันกับการเดินทางในอินเดียจาก เดลี-เลห์-ซันสการ์-อักรา
ติดตามเรื่องราวตอนที่แล้วได้จาก 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-I ตอนดีเลย์เดลี
http://ppantip.com/topic/35118550
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง
http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield
http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh
http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์
http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum
http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake
http://ppantip.com/topic/35159052
"เส้นทางจากมนาลีสู่เลห์"
จากมนาลีเราพร้อมออกเดินทางเกือบร่วมบ่าย ซึ่งเราคาดว่าจะไปนอน tent ที่ Sarchu แต่ด้วยสภาพถนนที่แย่ลงเรื่อยๆ ทำการเดินทางล่าช้ากว่าที่คิด ร่วมสามทุ่มแล้วเราถึงแค่ Jispa จึงตัดสินใจค้างที่นี่ก่อนเพราะจากนี้ไปไม่มีที่พักอีกแล้ว และหนึ่งในเพื่อนเราเริ่มมีอาการของ โรคแพ้ความสูง (Attitude sickness)
"เส้นทางจากมนาลี"
"คุณลุงคนขับรถอยู่กับเรา 3 วัน 2 คืน แวะจอดทุกที่ๆเราขอเพือถ่ายรูปวิวข้างทาง และช่วยเจรจาที่พัก ถ้าเจอขยะระหว่างจอดแกจะเก็บทิ้ง แกนับถือพุทธธิเบต นั่งเรียงหินตอนเราจอดพักถ่ายรูป"
"จุดแวะพักระหว่างทาง"
"จุดแวะพักระหว่างทาง"
"โรงแรมที่พักที่ Jispa"
เราเริ่มเดินทางแต่เช้า เพราะตั้งใจให้ถึงเลห์ตอนเย็น แม้วันนี้ฟ้ามีเมฆอยู่มากแต่เราก็ยังขอให้คุณลุงคนขับรถจอดถ่ายรูประหว่างทาง วิวทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปตามเส้นทาง จากเขียวครึ้มค่อยๆ เป็นเขาหินทรายสลับกับสีน้ำตาล บางช่วงหินกันเซาะคล้ายๆแคนยอน บางช่วงภูเขาเป็นสีม่วง อมเขียวทำให้เราตื่นตา
"วิวภูเขาสองข้างทางเปลียนไปตลอดให้ตื่นตา"
"วิวภูเขาแคนยอน"
ช่วงประมาณบ่ายสามเกิดรถติดยาวมากจากสาเหตุ ทางถล่ม ไถปรับพื้นที่กันใหม่ ทำให้รถบรรทุกติดหล่มเอียงกระเท่เล่ ตรงโค้งพอดีทำให้รถสัญจรไปมาไม่ได้ ติดแงกทั้งสองฝั่ง จนเจ้าหน้าที่ชาวบ้านปรับพื้นที่ข้างรถบรรทุกที่ติดหล่มจึงพอเบียดไปได้
แต่พอวิ่งไปซักพักถึงหมู่บ้าน Rumtse ร่วมหกโมงกว่า ได้ยินข่าวทางขาด ดินถล่ม น้ำเซาะ ไม่มีทางไปต่อถึง Leh ได้ รถทุกคันจอดหาบ้านพักชาวบ้านที่ Runtse เต็ม รถของเราวิ่งต่อไปหาที่พักบ้านชาวบ้านที่หมู่บ้านเล็กๆ Lato ร่วม 19.00 น.
"ราคาที่พักคืนนี้ถือว่าถูกที่สุดคื่อคนละ 100 บาท"
ปรากฎว่าที่พักส่วนมากเต็มเพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เราเลยได้นอนบ้านของชาวบ้านที่แบ่งห้องหน้าครัวให้นอน ปรากฎว่าคืนนั้น คนที่มาพักทำแกงอินเดียกินกับแป้งจาปาตี กลิ่นตลบอบอวน ยิ่งกว่านั้นเป็นวันที่ไม่ได้อาบน้ำเพราะน้ำในห้องน้ำต้องใช้ตักจากลำธารและหนาวมากกก อาศัยส้วมธรรมชาติ
"homestay กลิ่นกับข้าว"
เราออกเดินทางเข้า Leh แต่เช้า เลย Lato ไปหน่อยเห็นทางที่ถูกดินถล่มเพิ่งปรับเสร็จ และบางส่วนกระแสน้ำเริ่มเซาะทางขาดไปครึ่งนึง จากนั้นวิ่งเข้าสู่ Upshi , Kuru
ก่อนเข้า Leh ช่วง Thiksey ,Shey มีร่องรอยน้ำท่วม ,ทำทางน้ำผ่าน cross ถนน , บางจุดดินโคลนยังขังบนถนน เราถึง Leh ร่วมสิบโมงเช้า
ในที่สุดเราก็มาถึงเลห์ จากเดลีด้วยระยะทางเกือบ 800 กิโลใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ...เฮ้อออ.. แต่ถ้าเรานั่งเครื่องมาลงเลห์เลยเราก็จะไม่รู้ว่าเมืองมานาลี สวย น่าอยู่พักผ่อนชิวๆ ถนนเส้นมานาลีมาเลห์ก็น่าขับรถเที่ยว และ อื่นๆอีกมากมาย...
เส้นทางสู่เลห์
ก่อนเข้าสู่เลห์
เรามาอยู่ในต้วเลห์ประมาณ 9 โมงเช้ากว่าๆ ที่พักเกือบทุกที่ถูกยกเลิกเพราะแผนเดินทางเราเลื่อน นอกจากวันพรุ่งนี้ที่กลับมานอนในเลห์
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ Inner Line Permit เข้าพื้นที่ที่เป็น restriction area ที่สำนักงานประจำเลห์ (DC) ปกตินักท่องเที่ยวจากไทยจะติดต่อเอเย่นต์ก่อนมา แต่เรามาทำที่นี่เลย และพบว่าทำได้ง่ายเพียงแค่ใช้พาสปอร์ต
แต่ในที่สุดเมื่อเราไปรอทำ permit ที่สำนักงานก็ต้องผิดหวังเพราะต้องทำผ่าน agent เท่านั้น ลุงคนขับรถช่วยโทรติดต่อเพื่อนแกและพาไปหาที่ออฟฟิศเพื่อยื่นเอกสารคือพาสปอร์ต และเสียค่าใช้จ่าย 700 รูปีต่อคน กว่าจะได้ก็เกือบบ่าย
เรายังคงใช้บริการลุงคนขับคันเดิมให้ขับรถพาไปที่ปันกองในวันนี้ จากแผนที่จะเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไปเป็นอันตกไป..
กว่าเราจะออกจากเลห์ก็บ่ายกว่าๆ หลังจากได้ร้บ inner line permit จาก agent เส้นทางสู่ปันกองต้องผ่านเขาคดเคี้ยวหลายลูก
เส้นทางก่อนถึงทะเลสาปปันกองจะมีที่ราบอุ้มน้ำเป็นบ้านของมาร์มอท หนึ่งในเจ้ากระรอกอ้วนอยู่ใต้ดินที่พี่ต๋องใฝ่ฝันจะมาถ่ายรูปและให้บิสกิตเจ้ามาร์มอท (จริงๆแล้ว ห้ามให้อาหารค่ะ เพราะจะทำให้ธรรมชาติของการหาอาหารเสียไป) เราช่วยกันดูและตามล่ามาร์มอทจนเจอช่วงหนึ่งที่ติดป้ายว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่อยู่ของมัน
กว่าเราจะถึงทะเลสาปปันกองก็เกือบ 6 โมงเย็น น้ำทะเลสาปสีเทอร์คอยซ์จะเก็บภาพได้ในช่วงบ่ายเท่านั้น..เหมือนอกหักอีกครั้ง..รอดูพรุ่งนี้ อาจได้ภาพสวยๆ ตอนเช้าที่แสงอาทิตย์ขึ้น
คืนนี้โดนโรคแพ้ความสูงเต็มๆ อาการคือปวดหัวมากทั้งคืนจนแทบนอนไม่หลับ..ไม่รู้จะทำงัย ทรมานจนน้ำตาซึมและอดทนได้จนถึงเช้า
จริงๆ Diamox คือยาที่เราเตรียมกินกันมาก่อนที่จะถึงเลห์ 48 ชั่วโมง แต่สุดท้ายก็โดนเล่นงานจนได้ค่ะ
เช้ารุ่งขึ้นยามแสงทองอาทิตย์ตกกระทบทะเลสาปที่เงียบสงบช่างเป็นเวลาที่วิเศษ เวลานี้มีกรุ๊ปนักถ่ายรูปไทยมาเที่ยว 1-2 กรุ๊ป เราเจอและทักทายกันนิดหน่อยตอนเก็บภาพที่หลังคาที่พัก
"ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่ ปี 2004-2005 ตอนนี้สิ่งแวดล้อมรอบๆทะเละสาปเปลี่ยนไปมาก ตอนนั้นนกน้ำยังเยอะ และการขออนุญาตเข้ามายังยาก"
" คุณมาทำมัยคะ ทำอะไรหรือคะ"
"ผมมานับจำนวนประชาการนกน้ำในทะเลสาปครับ แล้วจดบันทึกไว้แต่ละปี ดูการเปลี่ยนแปลง ผมเขียนบทความลง journal ที่อังกฤษครับ"
เราพูดคุยกันพอสมควร พบน้ำเสียงสะท้อนความห่วงใยที่ทางการอินเดียเปิดให้ทะเลสาปปันกองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก
"คุณดูสิ ว่าน้ำเสียจากโรงแรมรีสอร์ต ไปไหน..ม้นไม่มีระบบจัดการที่ดี"
คนที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม เทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไปยังมีอยู่น้อย.. เราเห็นใจธรรมชาติจริงๆ เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มขยะและปัญหาให้ธรรมชาติ
คุณลุงชาวสวิสผู้มานับนกน้ำในทะเลสาป
เราเริ่มออกเดินทางกลับ Leh โดยแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ที่ขับรถกลับ จนจุดสุดท้ายจะสิ้นสุดทะเลสาบ Pangong
ต๋องขอให้รถจอดเพื่อลงไปถ่ายรูป แล้วให้รถไปจอดรอข้างหน้า ส่วนตัวเองเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางที่เกือบจะถึงสุดท้ายของ Pangong แล้ว ได้ยินเสียงคนตะโกน
"พี่ต๋องงงงง......."
เดิมที่สมาชิกเรา มี 3 คน และ นัดหมายเจอที่ Leh 2 คน เป็นรุ่นน้องของต๋องที่พาไปเที่ยว สิกขิม โดนนัดเจอกัน 4 สค.ที่โรงแรม Siala Guesthouse แต่จาก Sinakar-Leh ทางขาดทางถล่มมาไม่ได้ และหลังจากนั้นก็ติดต่อกันไม่ได้เลยเพราะสัญญาณเน็ต โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ เรียกง่ายๆต่างฝ่ายต่างติดปัญหาการเดินทางยากที่จะเจอ
ถ้าต๋องไม่ลงมาเดินเล่นในช่วงโค้งสุดท้ายทะเลสาบ Pangong คงไม่ได้เจอกัน แต่น้องสองคนก็ได้เที่ยวตามเสาะหาตามโรงแรมต่างๆที่จองไว้ ว่ามีชื่อนี้มาพักมั้ย
"เมื่อเราคิดอย่างไร จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา.."
ติดตามเพจของเราได้ที่
https://www.facebook.com/Travel-Freedom-553376888142638/
https://travelfreedomthai.com/
[CR] [เลห์][ลาดักห์][ซันสการ์][แบคแพคเกอร์] 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง
ติดตามเรื่องราวตอนที่แล้วได้จาก 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-I ตอนดีเลย์เดลี http://ppantip.com/topic/35118550
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์ http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake http://ppantip.com/topic/35159052
จากมนาลีเราพร้อมออกเดินทางเกือบร่วมบ่าย ซึ่งเราคาดว่าจะไปนอน tent ที่ Sarchu แต่ด้วยสภาพถนนที่แย่ลงเรื่อยๆ ทำการเดินทางล่าช้ากว่าที่คิด ร่วมสามทุ่มแล้วเราถึงแค่ Jispa จึงตัดสินใจค้างที่นี่ก่อนเพราะจากนี้ไปไม่มีที่พักอีกแล้ว และหนึ่งในเพื่อนเราเริ่มมีอาการของ โรคแพ้ความสูง (Attitude sickness)
"คุณลุงคนขับรถอยู่กับเรา 3 วัน 2 คืน แวะจอดทุกที่ๆเราขอเพือถ่ายรูปวิวข้างทาง และช่วยเจรจาที่พัก ถ้าเจอขยะระหว่างจอดแกจะเก็บทิ้ง แกนับถือพุทธธิเบต นั่งเรียงหินตอนเราจอดพักถ่ายรูป"
"โรงแรมที่พักที่ Jispa"
เราเริ่มเดินทางแต่เช้า เพราะตั้งใจให้ถึงเลห์ตอนเย็น แม้วันนี้ฟ้ามีเมฆอยู่มากแต่เราก็ยังขอให้คุณลุงคนขับรถจอดถ่ายรูประหว่างทาง วิวทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปตามเส้นทาง จากเขียวครึ้มค่อยๆ เป็นเขาหินทรายสลับกับสีน้ำตาล บางช่วงหินกันเซาะคล้ายๆแคนยอน บางช่วงภูเขาเป็นสีม่วง อมเขียวทำให้เราตื่นตา
ช่วงประมาณบ่ายสามเกิดรถติดยาวมากจากสาเหตุ ทางถล่ม ไถปรับพื้นที่กันใหม่ ทำให้รถบรรทุกติดหล่มเอียงกระเท่เล่ ตรงโค้งพอดีทำให้รถสัญจรไปมาไม่ได้ ติดแงกทั้งสองฝั่ง จนเจ้าหน้าที่ชาวบ้านปรับพื้นที่ข้างรถบรรทุกที่ติดหล่มจึงพอเบียดไปได้
แต่พอวิ่งไปซักพักถึงหมู่บ้าน Rumtse ร่วมหกโมงกว่า ได้ยินข่าวทางขาด ดินถล่ม น้ำเซาะ ไม่มีทางไปต่อถึง Leh ได้ รถทุกคันจอดหาบ้านพักชาวบ้านที่ Runtse เต็ม รถของเราวิ่งต่อไปหาที่พักบ้านชาวบ้านที่หมู่บ้านเล็กๆ Lato ร่วม 19.00 น.
"ราคาที่พักคืนนี้ถือว่าถูกที่สุดคื่อคนละ 100 บาท"
ปรากฎว่าที่พักส่วนมากเต็มเพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เราเลยได้นอนบ้านของชาวบ้านที่แบ่งห้องหน้าครัวให้นอน ปรากฎว่าคืนนั้น คนที่มาพักทำแกงอินเดียกินกับแป้งจาปาตี กลิ่นตลบอบอวน ยิ่งกว่านั้นเป็นวันที่ไม่ได้อาบน้ำเพราะน้ำในห้องน้ำต้องใช้ตักจากลำธารและหนาวมากกก อาศัยส้วมธรรมชาติ
"homestay กลิ่นกับข้าว"
เราออกเดินทางเข้า Leh แต่เช้า เลย Lato ไปหน่อยเห็นทางที่ถูกดินถล่มเพิ่งปรับเสร็จ และบางส่วนกระแสน้ำเริ่มเซาะทางขาดไปครึ่งนึง จากนั้นวิ่งเข้าสู่ Upshi , Kuru
ก่อนเข้า Leh ช่วง Thiksey ,Shey มีร่องรอยน้ำท่วม ,ทำทางน้ำผ่าน cross ถนน , บางจุดดินโคลนยังขังบนถนน เราถึง Leh ร่วมสิบโมงเช้า
ในที่สุดเราก็มาถึงเลห์ จากเดลีด้วยระยะทางเกือบ 800 กิโลใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ...เฮ้อออ.. แต่ถ้าเรานั่งเครื่องมาลงเลห์เลยเราก็จะไม่รู้ว่าเมืองมานาลี สวย น่าอยู่พักผ่อนชิวๆ ถนนเส้นมานาลีมาเลห์ก็น่าขับรถเที่ยว และ อื่นๆอีกมากมาย...
เรามาอยู่ในต้วเลห์ประมาณ 9 โมงเช้ากว่าๆ ที่พักเกือบทุกที่ถูกยกเลิกเพราะแผนเดินทางเราเลื่อน นอกจากวันพรุ่งนี้ที่กลับมานอนในเลห์
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ Inner Line Permit เข้าพื้นที่ที่เป็น restriction area ที่สำนักงานประจำเลห์ (DC) ปกตินักท่องเที่ยวจากไทยจะติดต่อเอเย่นต์ก่อนมา แต่เรามาทำที่นี่เลย และพบว่าทำได้ง่ายเพียงแค่ใช้พาสปอร์ต
แต่ในที่สุดเมื่อเราไปรอทำ permit ที่สำนักงานก็ต้องผิดหวังเพราะต้องทำผ่าน agent เท่านั้น ลุงคนขับรถช่วยโทรติดต่อเพื่อนแกและพาไปหาที่ออฟฟิศเพื่อยื่นเอกสารคือพาสปอร์ต และเสียค่าใช้จ่าย 700 รูปีต่อคน กว่าจะได้ก็เกือบบ่าย
เรายังคงใช้บริการลุงคนขับคันเดิมให้ขับรถพาไปที่ปันกองในวันนี้ จากแผนที่จะเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไปเป็นอันตกไป..
กว่าเราจะออกจากเลห์ก็บ่ายกว่าๆ หลังจากได้ร้บ inner line permit จาก agent เส้นทางสู่ปันกองต้องผ่านเขาคดเคี้ยวหลายลูก
เส้นทางก่อนถึงทะเลสาปปันกองจะมีที่ราบอุ้มน้ำเป็นบ้านของมาร์มอท หนึ่งในเจ้ากระรอกอ้วนอยู่ใต้ดินที่พี่ต๋องใฝ่ฝันจะมาถ่ายรูปและให้บิสกิตเจ้ามาร์มอท (จริงๆแล้ว ห้ามให้อาหารค่ะ เพราะจะทำให้ธรรมชาติของการหาอาหารเสียไป) เราช่วยกันดูและตามล่ามาร์มอทจนเจอช่วงหนึ่งที่ติดป้ายว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่อยู่ของมัน
กว่าเราจะถึงทะเลสาปปันกองก็เกือบ 6 โมงเย็น น้ำทะเลสาปสีเทอร์คอยซ์จะเก็บภาพได้ในช่วงบ่ายเท่านั้น..เหมือนอกหักอีกครั้ง..รอดูพรุ่งนี้ อาจได้ภาพสวยๆ ตอนเช้าที่แสงอาทิตย์ขึ้น
คืนนี้โดนโรคแพ้ความสูงเต็มๆ อาการคือปวดหัวมากทั้งคืนจนแทบนอนไม่หลับ..ไม่รู้จะทำงัย ทรมานจนน้ำตาซึมและอดทนได้จนถึงเช้า
จริงๆ Diamox คือยาที่เราเตรียมกินกันมาก่อนที่จะถึงเลห์ 48 ชั่วโมง แต่สุดท้ายก็โดนเล่นงานจนได้ค่ะ
เช้ารุ่งขึ้นยามแสงทองอาทิตย์ตกกระทบทะเลสาปที่เงียบสงบช่างเป็นเวลาที่วิเศษ เวลานี้มีกรุ๊ปนักถ่ายรูปไทยมาเที่ยว 1-2 กรุ๊ป เราเจอและทักทายกันนิดหน่อยตอนเก็บภาพที่หลังคาที่พัก
"ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่ ปี 2004-2005 ตอนนี้สิ่งแวดล้อมรอบๆทะเละสาปเปลี่ยนไปมาก ตอนนั้นนกน้ำยังเยอะ และการขออนุญาตเข้ามายังยาก"
" คุณมาทำมัยคะ ทำอะไรหรือคะ"
"ผมมานับจำนวนประชาการนกน้ำในทะเลสาปครับ แล้วจดบันทึกไว้แต่ละปี ดูการเปลี่ยนแปลง ผมเขียนบทความลง journal ที่อังกฤษครับ"
เราพูดคุยกันพอสมควร พบน้ำเสียงสะท้อนความห่วงใยที่ทางการอินเดียเปิดให้ทะเลสาปปันกองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก
"คุณดูสิ ว่าน้ำเสียจากโรงแรมรีสอร์ต ไปไหน..ม้นไม่มีระบบจัดการที่ดี"
คนที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม เทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไปยังมีอยู่น้อย.. เราเห็นใจธรรมชาติจริงๆ เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มขยะและปัญหาให้ธรรมชาติ
เราเริ่มออกเดินทางกลับ Leh โดยแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ที่ขับรถกลับ จนจุดสุดท้ายจะสิ้นสุดทะเลสาบ Pangong
ต๋องขอให้รถจอดเพื่อลงไปถ่ายรูป แล้วให้รถไปจอดรอข้างหน้า ส่วนตัวเองเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางที่เกือบจะถึงสุดท้ายของ Pangong แล้ว ได้ยินเสียงคนตะโกน
"พี่ต๋องงงงง......."
เดิมที่สมาชิกเรา มี 3 คน และ นัดหมายเจอที่ Leh 2 คน เป็นรุ่นน้องของต๋องที่พาไปเที่ยว สิกขิม โดนนัดเจอกัน 4 สค.ที่โรงแรม Siala Guesthouse แต่จาก Sinakar-Leh ทางขาดทางถล่มมาไม่ได้ และหลังจากนั้นก็ติดต่อกันไม่ได้เลยเพราะสัญญาณเน็ต โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ เรียกง่ายๆต่างฝ่ายต่างติดปัญหาการเดินทางยากที่จะเจอ
ถ้าต๋องไม่ลงมาเดินเล่นในช่วงโค้งสุดท้ายทะเลสาบ Pangong คงไม่ได้เจอกัน แต่น้องสองคนก็ได้เที่ยวตามเสาะหาตามโรงแรมต่างๆที่จองไว้ ว่ามีชื่อนี้มาพักมั้ย
ติดตามเพจของเราได้ที่
https://www.facebook.com/Travel-Freedom-553376888142638/
https://travelfreedomthai.com/