The world is a country which nobody ever yet knew by description; one must travel through it one's self to be acquainted with it." - Lord Chesterfield
แน่นอนที่สุด เราต้องออกเดินทางเพื่อให้ได้ไปเห็น ไปสัมผัส ไปสูดอากาศ ไปรู้จักด้วยตัวเราเอง แม้คำบอกเล่าของใครๆ ก็ไม่ทำให้เราได้รู้จักอย่างแท้จริง
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง
http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield
http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh
http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์
http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum
http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake
http://ppantip.com/topic/35159052
.The world is a country which nobody ever yet knew by description; one must travel through it one's self to be acquainted with it." - Lord Chesterfield
จากคนที่ไม่เคยได้ไปสัมผัสดินแดนที่เรียกว่า "อินเดีย"เลย ได้ยินแต่คำบอกเล่า เรื่องความแร้นแค้น..อากาศร้อน..ความสะอาด..นิสัยที่จะถูกเอาเปรียบ หลอกและโกงได้ง่ายๆ อันตรายสำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียง บลาๆๆ..
ของทุกอย่างมีสองด้านเสมอ เพราะดินแดนกว่างใหญ่ ภูมิประเทศจึงแตกต่างกันมาก พอมีคนในกลุ่มชวนไปลาดักและแคชเมียร์ พื่นที่ที่มีเส้นทางไฮเวย์ที่สูงที่สุด และสวยที่สุดในโลกด้วย ต่อมตื่นเต้นที่อยากเดินทางไปสัมผัส ไปยืนจิบกาแฟอยู่ตรงนั้นทำให้ตกลงโดยไม่คิดอะไรมากเลย...(แต่มันสูงนะคะ...สูงงงงง ย้ำเลย )
สิ่งเดียวที่พี่ต๋องกลัวว่าลุงกับป้าจะเป็นคือ Attitude sickness ก็กลัวค่ะ แต่กลัวไม่ได้ไปมากกว่ากลัวตายค่ะ และคิดเสมอว่า ยังไม่ถึงคราวเรา...
สนามบินอินทิราคานธี_เดลี "Prepaid Taxi"
หลังจากที่ไป ทรานสิทสนามบินกัลกัตตา เราไปถึงสนามบินอินทิราคานธี กันตอนเกือบสามทุ่ม พยายามหารถ airport bus ไปลงนอกสนามบินแล้วหาที่ต่อไปที่พักที่ใกล้ที่สุดก็หาไม่ได้ เพราะสื่อสารไม่รู้เรื่อง พอรู้เรื่องก็จับใจความได้ว่ารถหมด เราเลยได้ความรู้ใหม่ว่า ที่สนามบินจะมีเค้าท์เตอร์ prepaid taxi มีราคากำหนดตามระยะทาง และตามจำนวน luggage ของผู้โดยสารค่ะ
ที่พักในอินเดีย
เรื่องที่พักเป็นเรื่องนึงที่ค่อนข้างปวดหัวภายหลัง เพราะแผนทั้งหมดที่ทำไว้ไม่เป้นไปตามแผน ทำให้ที่พักที่จองไว้ทั้งหมดใช้แต่ 2-3 คืนเท่านั้น ที่ยกเลิกได้ก็ยกเลิก บางที่ต้องเสียเงินฟรี ในเดลีที่เรานอนคืนนี้เป็นที่จองไว้กับอโกดาก่อนมา Hotel Today International ในราคา 1,400 บาทพร้อมเตียงเสริมซึ่งห่างจากสนามบินประมาณ 6 กิโลเมตร และทำให้รู้ว่าการหาที่พักในสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียไม่ยากเลย เพียงแต่ต่อง booking ก่อนมาเพื่อยื่นขอวีซ่า
วันแรกในเดลี
ที่พักเราไม่ไกลจากตลาดนัก วันแรกเราเหมาตุ๊กๆอินเดีย ซึ่งก็คือๆตุ๊กๆไทยนั้นเองในราคา 150 รูปี เพื่อไปเดินดูและเก็บภาพตลาดตอนเช้า ที่จะมีชีวิตชีวาเพราะตลาดคือต้นกำเนิดของอาหาร ศูนย์รวมท่ารถรวมถึงแรงงานรับจ้าง
เดลีสำหรับเราก็เหมือนเมืองหลวงที่วุ่นวาย รถเยอะ รถที่อินเดียแทบจะไม่มีคันไหนที่ไม่มีรอย เพราะดูจากการขับแล้วน่าจะเฉี่ยวกันเป็นเรื่องปกติ และก็คงไม่มีการลงมาจอดเรียกประกัน.. ร้อน มีคนเร่ร่อนทั่วไป แต่มาครั้งแรกก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าสกปรกขนาดอึกันกลางถนน ไม่มีค่ะ..
วันนี้วันจันทร์เป็นวันที่ท่องเที่ยวปิดค่ะ..อย่าลืมนะคะ ถ้าจะมาสถานที่ท่องเที่ยว..เช็ควันด้วยค่ะ เราเลยได้ชม Red Fort แบบไกลๆ
ตอนเที่ยงหนุ่มๆ ชวนไปกินแมคโดนัลของอินเดียเมนูที่นี่แน่นอนไม่มีหมู ไม่มีเนื้อวัว มีเป็น Mutton (เนื้อแพะ), ใส้ผัก และไข่ แต่แป้งออกคล้ายๆเหมือนเอาไปทอด รสชาดเลี่ยนกว่าของบ้านเราค่ะ
เราแวะชิมร้านชาที่มีชาชึ้นชื่อจากดาจีลิง รสชาดหอมอร่อย แพคเกจสวย ราคาไม่แพงเลยซื่อมาเป็นของฝาก...ตั้งแต่วันแรกที่ยังไม่ได้ไปไหนเลย เรามีเวลาที่นี่อีก 20 วัน 555
ส่วนมื้อเย็นเราไปจบที่ร้านคาเฟ่ใกล้ๆโรงแรมเพื่อลิ้มรสของเบียร์อินเดียก่อนกลับโรงแรม
ธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้
เดิมทีวางแผนไว้ 4 สค.จาก Delhi บินไป Leh แต่วันเดินทางจริงเราออกไปสนามบินแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่อง 06.40 น. พอโหลดกระเป๋าเสร็จไปรอที่ gate จนเลยเวลาบินไปนาน สักพักมีประกาศยกเลิกเที่ยวบินเพราะฝนตกหนัก น้ำท่วม สนามบินปิดและเส้นทางขาดที่ Leh
เราเดินออกสนามบิน terminal 1 เที่ยวบินอื่นๆก็ไม่มี หนำซ้ำมีข่าวร้ายๆทางขาด ภูเขาถล่ม จนนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายกรุ๊ปเปลี่ยนย้ายไปเที่ยวที่อื่นรอบินอีกสามวัน สุดท้ายเราไม่มีทางเลือกไม่อยากดิ้นรนไปหาทัวร์อื่นใน Delhi ตัดสินใจเหมา prepaid taxi ออกจากสนามบินเพื่อไป Manali เป็นระยะทาง 565 กม. ค่าแทกซี่ 14,800 rps (รวมค่าtax 3,000 rps)
จากเดลีถึงมานาลีเส้นทางเป็นทางรถระยะทาง 565 กม ใช้เวลา 13 ชั่วโมง บางช่วงผ่านเขาและถนนลูกรัง
เริ่มออกเดินทางได้ 11.00 กว่าๆเส้นทางไป Manali มีหลายช่วงที่ตัดข้ามเขา ถนนแคบและสภาพบางช่างเป็นลูกรัง มองลงไปข้างทางเป็นเหวและเราเดินทางในความมืด ลุงแทกซี่ที่พาเราไปขับซิ่งและหาโอกาสแซงตลอดเวลา ทั้งที่มืดและแคบจนเรากังวลเรื่องความปลอดภัย หาจังหวะเตือนแกให้ “Slow Slow” แกหันมาบอก “No Problem, No Problem” แล้วกลับไปซิ่งต่อ
เวลานั้นเรารู้สึกว่ามันยาวนานมากนับถอยหลังเป็นนาที ชั่วโมง จะหลับก็ไม่กล้าหลับเพราะอยากมีสติตลอดเวลา แต่พยายามนึกถึงแต่สิ่งดีๆที่เราทำมาทั้งที่เราคิดดีไม่เคยคิดร้ายกับใครหวังว่าจะทำให้เราปลอดภัยได้เดินทางจนจบทริปยี่สิบกว่าวันนี้
จากระยะทางทั้งหมด 565 กม. ใช้เวลาเดินทางนาน 13 ชั่วโมง ทำให้เราถึง มนาลีในตอนเช้ามืดเกือบตีสามของวันรุ่งขึ้น
"ไม่ล้มเหลว ถ้าไม่ล้มเลิก"
เรามาถึงมานาลีเกิอบตี 2 มืดสนิท แต่ปรากฎว่ามีรถเจ้าของโรงแรมที่เราโทรติดต่อว่าจะมาพักมาแอบซุ่มอยู่แถวทางก่อนถึงโรงแรม ทีแรกเราไม่รู้ และปรึกษากันว่าคงเป็นพวกคนเมาขับรถซิ่ง แต่เป็นเค้านั่นแหละที่ตั่งใจมารอเรา คงเป้นนิสัยของคนอินเดียช่างพูดช่างเจรจา และให้ความช่วยเหลือยกกระเป๋าให้..
คืนนี้มืดสนิท...แต่ขอบคุณที่เรายังปลอดภัยจากลุงขับรถซิ่งมากกกก จนถึงมานาลีได้ ตื่นเช้ามาด้วยเสียงลำธารไหล นกร้อง อากาศชุ่มชื้นเย็นสบาย..
Manali แบ่งเป็นโซนเมืองใหม่และเมืองเก่า โซนเมืองเก่าจะคล้ายถนนข้าวสาร คือมีร้านอาหารร้านค้า บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร เราเหมารถแทกซี่มา 300 รูปี มากินข้าวเช้าตามที่ lonely planet แนะนำ แต่เราสั่งแต่ไข่เจียวค่ะ 555
ทีนี่มีจุดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นไปไม่ไกล
เราติดต่อหารถเช่าจาก Manali ไปเลห์ โดยพักค้างคืนระหว่างทางสองคืนได้ในราคา 18,000 rps การเดินรถในแคว้นลาดัก จัมมูแคชเมียร์ จะไม่อนุญาตให้รถวิ่งข้ามเขต เมื่อรถเช่าได้ คนขับต้องมี permit เพื่อขับข้ามไปเลห์โดยรถจะออกบ่ายโมงครึ่ง
ระหว่างรอเราไปเก็บแอปเปิ้ลจากสวนใกล้โรงแรมที่เจ้าของสวนใจดีให้เราเก็บจากต้นโดยไม่คิดเงิน เรานึกเสียดายอยากจะพักอยู่ Manali สัก 2-3 คืน แต่จำต้องเดินทางต่อ เพราะเป็นเมืองที่สวยสดชื่นเขียวชอุ่ม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยว เราคิดว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก มาค้นหา Manali
[CR] 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-I ตอนดีเลย์เดลี
The world is a country which nobody ever yet knew by description; one must travel through it one's self to be acquainted with it." - Lord Chesterfield
แน่นอนที่สุด เราต้องออกเดินทางเพื่อให้ได้ไปเห็น ไปสัมผัส ไปสูดอากาศ ไปรู้จักด้วยตัวเราเอง แม้คำบอกเล่าของใครๆ ก็ไม่ทำให้เราได้รู้จักอย่างแท้จริง
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์ http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake http://ppantip.com/topic/35159052
.The world is a country which nobody ever yet knew by description; one must travel through it one's self to be acquainted with it." - Lord Chesterfield
จากคนที่ไม่เคยได้ไปสัมผัสดินแดนที่เรียกว่า "อินเดีย"เลย ได้ยินแต่คำบอกเล่า เรื่องความแร้นแค้น..อากาศร้อน..ความสะอาด..นิสัยที่จะถูกเอาเปรียบ หลอกและโกงได้ง่ายๆ อันตรายสำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียง บลาๆๆ..
ของทุกอย่างมีสองด้านเสมอ เพราะดินแดนกว่างใหญ่ ภูมิประเทศจึงแตกต่างกันมาก พอมีคนในกลุ่มชวนไปลาดักและแคชเมียร์ พื่นที่ที่มีเส้นทางไฮเวย์ที่สูงที่สุด และสวยที่สุดในโลกด้วย ต่อมตื่นเต้นที่อยากเดินทางไปสัมผัส ไปยืนจิบกาแฟอยู่ตรงนั้นทำให้ตกลงโดยไม่คิดอะไรมากเลย...(แต่มันสูงนะคะ...สูงงงงง ย้ำเลย )
สิ่งเดียวที่พี่ต๋องกลัวว่าลุงกับป้าจะเป็นคือ Attitude sickness ก็กลัวค่ะ แต่กลัวไม่ได้ไปมากกว่ากลัวตายค่ะ และคิดเสมอว่า ยังไม่ถึงคราวเรา...
สนามบินอินทิราคานธี_เดลี "Prepaid Taxi"
หลังจากที่ไป ทรานสิทสนามบินกัลกัตตา เราไปถึงสนามบินอินทิราคานธี กันตอนเกือบสามทุ่ม พยายามหารถ airport bus ไปลงนอกสนามบินแล้วหาที่ต่อไปที่พักที่ใกล้ที่สุดก็หาไม่ได้ เพราะสื่อสารไม่รู้เรื่อง พอรู้เรื่องก็จับใจความได้ว่ารถหมด เราเลยได้ความรู้ใหม่ว่า ที่สนามบินจะมีเค้าท์เตอร์ prepaid taxi มีราคากำหนดตามระยะทาง และตามจำนวน luggage ของผู้โดยสารค่ะ
ที่พักในอินเดีย
เรื่องที่พักเป็นเรื่องนึงที่ค่อนข้างปวดหัวภายหลัง เพราะแผนทั้งหมดที่ทำไว้ไม่เป้นไปตามแผน ทำให้ที่พักที่จองไว้ทั้งหมดใช้แต่ 2-3 คืนเท่านั้น ที่ยกเลิกได้ก็ยกเลิก บางที่ต้องเสียเงินฟรี ในเดลีที่เรานอนคืนนี้เป็นที่จองไว้กับอโกดาก่อนมา Hotel Today International ในราคา 1,400 บาทพร้อมเตียงเสริมซึ่งห่างจากสนามบินประมาณ 6 กิโลเมตร และทำให้รู้ว่าการหาที่พักในสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียไม่ยากเลย เพียงแต่ต่อง booking ก่อนมาเพื่อยื่นขอวีซ่า
วันแรกในเดลี
ที่พักเราไม่ไกลจากตลาดนัก วันแรกเราเหมาตุ๊กๆอินเดีย ซึ่งก็คือๆตุ๊กๆไทยนั้นเองในราคา 150 รูปี เพื่อไปเดินดูและเก็บภาพตลาดตอนเช้า ที่จะมีชีวิตชีวาเพราะตลาดคือต้นกำเนิดของอาหาร ศูนย์รวมท่ารถรวมถึงแรงงานรับจ้าง
เดลีสำหรับเราก็เหมือนเมืองหลวงที่วุ่นวาย รถเยอะ รถที่อินเดียแทบจะไม่มีคันไหนที่ไม่มีรอย เพราะดูจากการขับแล้วน่าจะเฉี่ยวกันเป็นเรื่องปกติ และก็คงไม่มีการลงมาจอดเรียกประกัน.. ร้อน มีคนเร่ร่อนทั่วไป แต่มาครั้งแรกก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าสกปรกขนาดอึกันกลางถนน ไม่มีค่ะ..
วันนี้วันจันทร์เป็นวันที่ท่องเที่ยวปิดค่ะ..อย่าลืมนะคะ ถ้าจะมาสถานที่ท่องเที่ยว..เช็ควันด้วยค่ะ เราเลยได้ชม Red Fort แบบไกลๆ
ตอนเที่ยงหนุ่มๆ ชวนไปกินแมคโดนัลของอินเดียเมนูที่นี่แน่นอนไม่มีหมู ไม่มีเนื้อวัว มีเป็น Mutton (เนื้อแพะ), ใส้ผัก และไข่ แต่แป้งออกคล้ายๆเหมือนเอาไปทอด รสชาดเลี่ยนกว่าของบ้านเราค่ะ
เราแวะชิมร้านชาที่มีชาชึ้นชื่อจากดาจีลิง รสชาดหอมอร่อย แพคเกจสวย ราคาไม่แพงเลยซื่อมาเป็นของฝาก...ตั้งแต่วันแรกที่ยังไม่ได้ไปไหนเลย เรามีเวลาที่นี่อีก 20 วัน 555
ส่วนมื้อเย็นเราไปจบที่ร้านคาเฟ่ใกล้ๆโรงแรมเพื่อลิ้มรสของเบียร์อินเดียก่อนกลับโรงแรม
ธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้
เดิมทีวางแผนไว้ 4 สค.จาก Delhi บินไป Leh แต่วันเดินทางจริงเราออกไปสนามบินแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่อง 06.40 น. พอโหลดกระเป๋าเสร็จไปรอที่ gate จนเลยเวลาบินไปนาน สักพักมีประกาศยกเลิกเที่ยวบินเพราะฝนตกหนัก น้ำท่วม สนามบินปิดและเส้นทางขาดที่ Leh
เราเดินออกสนามบิน terminal 1 เที่ยวบินอื่นๆก็ไม่มี หนำซ้ำมีข่าวร้ายๆทางขาด ภูเขาถล่ม จนนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายกรุ๊ปเปลี่ยนย้ายไปเที่ยวที่อื่นรอบินอีกสามวัน สุดท้ายเราไม่มีทางเลือกไม่อยากดิ้นรนไปหาทัวร์อื่นใน Delhi ตัดสินใจเหมา prepaid taxi ออกจากสนามบินเพื่อไป Manali เป็นระยะทาง 565 กม. ค่าแทกซี่ 14,800 rps (รวมค่าtax 3,000 rps)
จากเดลีถึงมานาลีเส้นทางเป็นทางรถระยะทาง 565 กม ใช้เวลา 13 ชั่วโมง บางช่วงผ่านเขาและถนนลูกรัง
เริ่มออกเดินทางได้ 11.00 กว่าๆเส้นทางไป Manali มีหลายช่วงที่ตัดข้ามเขา ถนนแคบและสภาพบางช่างเป็นลูกรัง มองลงไปข้างทางเป็นเหวและเราเดินทางในความมืด ลุงแทกซี่ที่พาเราไปขับซิ่งและหาโอกาสแซงตลอดเวลา ทั้งที่มืดและแคบจนเรากังวลเรื่องความปลอดภัย หาจังหวะเตือนแกให้ “Slow Slow” แกหันมาบอก “No Problem, No Problem” แล้วกลับไปซิ่งต่อ
เวลานั้นเรารู้สึกว่ามันยาวนานมากนับถอยหลังเป็นนาที ชั่วโมง จะหลับก็ไม่กล้าหลับเพราะอยากมีสติตลอดเวลา แต่พยายามนึกถึงแต่สิ่งดีๆที่เราทำมาทั้งที่เราคิดดีไม่เคยคิดร้ายกับใครหวังว่าจะทำให้เราปลอดภัยได้เดินทางจนจบทริปยี่สิบกว่าวันนี้
จากระยะทางทั้งหมด 565 กม. ใช้เวลาเดินทางนาน 13 ชั่วโมง ทำให้เราถึง มนาลีในตอนเช้ามืดเกือบตีสามของวันรุ่งขึ้น
เรามาถึงมานาลีเกิอบตี 2 มืดสนิท แต่ปรากฎว่ามีรถเจ้าของโรงแรมที่เราโทรติดต่อว่าจะมาพักมาแอบซุ่มอยู่แถวทางก่อนถึงโรงแรม ทีแรกเราไม่รู้ และปรึกษากันว่าคงเป็นพวกคนเมาขับรถซิ่ง แต่เป็นเค้านั่นแหละที่ตั่งใจมารอเรา คงเป้นนิสัยของคนอินเดียช่างพูดช่างเจรจา และให้ความช่วยเหลือยกกระเป๋าให้..
คืนนี้มืดสนิท...แต่ขอบคุณที่เรายังปลอดภัยจากลุงขับรถซิ่งมากกกก จนถึงมานาลีได้ ตื่นเช้ามาด้วยเสียงลำธารไหล นกร้อง อากาศชุ่มชื้นเย็นสบาย..
Manali แบ่งเป็นโซนเมืองใหม่และเมืองเก่า โซนเมืองเก่าจะคล้ายถนนข้าวสาร คือมีร้านอาหารร้านค้า บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร เราเหมารถแทกซี่มา 300 รูปี มากินข้าวเช้าตามที่ lonely planet แนะนำ แต่เราสั่งแต่ไข่เจียวค่ะ 555
ทีนี่มีจุดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นไปไม่ไกล
เราติดต่อหารถเช่าจาก Manali ไปเลห์ โดยพักค้างคืนระหว่างทางสองคืนได้ในราคา 18,000 rps การเดินรถในแคว้นลาดัก จัมมูแคชเมียร์ จะไม่อนุญาตให้รถวิ่งข้ามเขต เมื่อรถเช่าได้ คนขับต้องมี permit เพื่อขับข้ามไปเลห์โดยรถจะออกบ่ายโมงครึ่ง
ระหว่างรอเราไปเก็บแอปเปิ้ลจากสวนใกล้โรงแรมที่เจ้าของสวนใจดีให้เราเก็บจากต้นโดยไม่คิดเงิน เรานึกเสียดายอยากจะพักอยู่ Manali สัก 2-3 คืน แต่จำต้องเดินทางต่อ เพราะเป็นเมืองที่สวยสดชื่นเขียวชอุ่ม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยว เราคิดว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก มาค้นหา Manali