ความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา คนเราสามารถแตกต่างได้ในทุกๆเรื่อง
ยิ่งเรื่องสัพเพเหระอย่าง เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องแฟชั่น แล้ว พวกนี้นับเป็นไรที่อิสระยิ่งกว่าหลงปู่ฟรีด้อมมากมาย
อยากกินอะไร จะไปลัลล้าที่ใด แฟชั่นหลุดโลกแค่ไหน ก็เอาที่สบายใจได้เรย
เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่มีข้อกำหนด ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความพึงใจของเจ้าตัวล้วนๆ
แต่ว่า....ถ้าเป็นเรื่องการเมืองการปกครองที่มีขอบเขตเฉพาะละ เราสามารถเห็นต่างได้ขนาดไหนกันแน่?
โดยเฉพาะประเทศใดๆที่กำหนดกฎและชัดเจนในรูปแบบการปกครองด้วยแล้ว เราสามารถคิดนอกกรอบที่สบายไตเราได้หรือไม่?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางทฤษฎีมีคำกล่าวที่ว่า "ทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการได้ คือความเป็นจริงที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น" (วิลลี่ แกรอน นักฟิสิกส์)
แต่ในความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกสวยมักกล่าวกันว่า "จงวางสติและตั้งถุงกาวซะ" (ชาวเนต)
เมื่อในความจริงทุกคนมีหน้าที่ต้องเคารพกฎและทำตามกติกา เมื่อประเทศแห่งนึงปกครองแบบประชาธิปไตย เมื่อกำหนดขอบเขตไว้แล้วอย่างชัดเจน
การเห็นต่างที่เลยขอบเขตประชาธิปไตย ยังจะเรียกว่าเห็นต่างได้อีกหรือไม่?
หรือจะเป็นแค่จินตนาการ(มโน)ที่สบายไตของใครหลายๆคน
เห็นต่างหรือแค่จินตนาการ(มโน)
ยิ่งเรื่องสัพเพเหระอย่าง เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องแฟชั่น แล้ว พวกนี้นับเป็นไรที่อิสระยิ่งกว่าหลงปู่ฟรีด้อมมากมาย
อยากกินอะไร จะไปลัลล้าที่ใด แฟชั่นหลุดโลกแค่ไหน ก็เอาที่สบายใจได้เรย
เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่มีข้อกำหนด ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความพึงใจของเจ้าตัวล้วนๆ
แต่ว่า....ถ้าเป็นเรื่องการเมืองการปกครองที่มีขอบเขตเฉพาะละ เราสามารถเห็นต่างได้ขนาดไหนกันแน่?
โดยเฉพาะประเทศใดๆที่กำหนดกฎและชัดเจนในรูปแบบการปกครองด้วยแล้ว เราสามารถคิดนอกกรอบที่สบายไตเราได้หรือไม่?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางทฤษฎีมีคำกล่าวที่ว่า "ทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการได้ คือความเป็นจริงที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น" (วิลลี่ แกรอน นักฟิสิกส์)
แต่ในความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกสวยมักกล่าวกันว่า "จงวางสติและตั้งถุงกาวซะ" (ชาวเนต)
เมื่อในความจริงทุกคนมีหน้าที่ต้องเคารพกฎและทำตามกติกา เมื่อประเทศแห่งนึงปกครองแบบประชาธิปไตย เมื่อกำหนดขอบเขตไว้แล้วอย่างชัดเจน
การเห็นต่างที่เลยขอบเขตประชาธิปไตย ยังจะเรียกว่าเห็นต่างได้อีกหรือไม่?
หรือจะเป็นแค่จินตนาการ(มโน)ที่สบายไตของใครหลายๆคน