ได้โปรดดื่มฉันเสียที......นะที่รัก

กระทู้สนทนา
============================
ได้โปรดดื่มฉันเสียที.......นะที่รัก
============================




             เรื่องแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นในวันเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงครั้งใหญ่ ขณะผมลงไปค้นหาอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้องใต้ดินและถูกฝังอยู่ข้างล่างด้วยเศษปรักหักพังของอาคารถล่มทลายลงมา  ในสภาพไม่ทันได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย  หลังจากรอคอยความช่วยเหลือด้วยจิตใจร้อนรุ่มหวาดกลัวสารพัดจวนเจียนจิตหลุดในความมืดอับชื้นนานเกินไป ผมก็เริ่มคิดว่าคงไม่รอดจากความตายไปได้ ใครจะไปคิดว่าเมืองของเราจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนต้องมาติดอยู่ในห้องใต้ดินเป็นฉากสุดท้ายของชีวิต


             ผมเคยครุ่นคิดมาก่อนว่า เมื่ออยู่ในสภาพถูกปิดตายสิ้นหวังไร้ทางออกรอคอยความตาย จะมีอาการปริเวทนาการอย่างไร พอถึงเวลาจริงๆ น่าแปลกว่าผมกลับทำใจยอมรับเงื้อมมือมัจจุราชโดยดี ไม่ได้กรีดร้องเสียอาการด้วยความหวาดกลัวจนสติแตก

             วันเวลาผ่านไปอย่างยาวนานในความความมืดและสภาพอ่อนแรงปลงตก ผมเอนกายลงมุมห้องเย็นชืดในสภาพขาดแรงจูงใจกับการมีชีวิต พยายามข่มใจให้สงบรอรับความตายเพราะความหิวโหยโรยและสิ้นหวัง  หวนนึกถึงร่องรอยขรุขระของเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง พลางวางแผนการตายเรียบง่าย จัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าจะไม่ลุกขึ้นมาอีก ก่อนเริ่มฝันถึงการโบยบินไปในอากาศอันว่างเปล่าและมองหาแสงสว่างปลายอุโมงค์

             “อย่าเพิ่งท้อนะคะ”

             เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเธอ... ดังก้องอยู่ในความมืด ...ความจริงต้องบอกว่าดังอยู่ในความรู้สึกน่าจะถูกกว่า ผมคิดว่าเป็นอาการประสาทหลอนวิปลาสขณะใกล้ตาย เอาล่ะ...อย่างน้อยก็เป็นจุดจบอันมีชีวิตชีวาพอสมควร ไม่ได้โดดเดี่ยวเงียบเหงาเกินไป จึงสงบปากสงบคำกับความหลอนของตัวเองโดยไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย บ้าก่อนตายจะเป็นไรไป

             “คุณไม่ได้ประสาทหลอนหรอกค่ะ”

             เสียงผู้หญิงลึกลับแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้งราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

             “คุณเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

             ผมหลุดปากถามแล้วนึกขำกับตัวเองว่ากำลังพูดคุยกับความหลอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน

             “ดิฉันอยู่ในห้องใต้ดินมานานแล้วค่ะ”

             “คุณคงเป็นผี” ผมดักทาง

             “เปล่าค่ะ ดิฉันเป็นน้ำ”

             “อ้อ...คุณชื่อน้ำ”

             “คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะคะ ความจริงก็คือดิฉันชื่อน้ำ และเป็นน้ำจริงๆ อาศัยอยู่ในขวดลิตรอย่างเงียบเหงามาหลายปีแล้วค่ะ”

             ไม่เลว.. ผมคิดในใจขณะคิดว่ากำลังพูดคุยอยู่กับน้ำในขวดซึ่งคงวางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในมุมมืดอันรกรุงรังเต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องใช้เก่าชำรุดทรุดโทรมไม่สมประกอบของห้องใต้ดิน

             “คุณต้องการอะไร”

             ผมยังคงหลับตานอนกอดอกในความมืด ถามส่งๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบอย่างจริงจัง แต่คำตอบและน้ำเสียงของ “คุณน้ำ” กลับจริงจังมากกว่าที่คิด

             “ดิฉันต้องการให้คุณดื่มดิฉันค่ะ”

             “ทำไมผมต้องดื่มคุณด้วย ทำไมคุณจะยอมให้ผมดื่มคุณล่ะ”

             “ก็มันเป็นหน้าที่ของน้ำนี่คะ”

             น้ำเสียงของเธอฟังดูผ่อนคลายและเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น

              “คุณเองก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นคือหน้าที่พื้นฐานของคนเราไม่ใช่หรือคะ น้ำเองก็มีหน้าที่ถูกกินถูกใช้ประโยชน์ ทุกอย่างมีอยู่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นคุณก็ควรจะดื่มน้ำนะคะ เพื่อความอยู่รอดของคุณ”

             “ผมจะอยู่รอดไปเพื่ออะไรครับ”

             “ก็อยู่รอดเพื่อความอยู่รอดยังไงคะ นั่นล่ะ สิ่งที่คุณควรจะทำ”

             คำตอบของน้ำเหมือนพูดเล่น แต่ทำให้ผมเริ่มคิดอย่างจริงจัง เพราะในชีวิตที่ผ่านมาผมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะดูเหมือนจะเป็นการอยู่ไปวันๆ ตามสัญชาตญาณมากกว่าจะมีเป้าหมายแน่นอนชัดเจน ผมเพียงรู้อย่างหนึ่งว่าชีวิต...ไม่ว่าจะชีวิตของอะไรก็ตาม...เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากกว่าที่เห็น

             “คุณมีจริง พูดได้จริง หรือครับ คุณน้ำ”

             “อะไรคือความจริงล่ะคะ คุณให้นิยามว่ายังไง หรือคุณจะบอกว่าสิ่งที่คุณได้ยินอยู่นี่เป็นการประสาทหลอน ทำไมคุณไม่ลองลุกขึ้นแล้วเดินไปทางซ้ายมือสักห้าหกเมตร ยื่นมือออกไป จะพบตู้เก็บของ มีไฟฉายสภาพใช้งานได้อยู่ในลิ้นชักชั้นล่างสุด น่าจะทำให้คุณทำอะไรได้สะดวกขึ้นนะคะ”

             “คุณรู้ได้ยังไงว่ามีไฟฉายอยู่ตรงนั้น น้ำไม่มีหูมีตานี่ครับ”

             ผมได้ยินเสียงเธอกำลังหัวเราะเบาๆ  นี่ถ้ารอดชีวิตไปเล่าให้คนอื่นฟังว่าได้ยินเสียงน้ำในขวดหัวเราะ เชื่อขนมกินได้เลยว่าโดนหาว่าบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย

             “หูตาปากจมูกหรืออะไรเป็นเพียงสื่อกลางรับส่งข้อมูลเท่านั้น ความจริงมีอะไรมากมายที่มนุษย์ไม่มี แต่อย่างอื่นมี ทำไมคุณไม่ลองทำตามที่น้ำบอกดูล่ะคะ”

             แม้ว่าจะอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงและสับสนกับความคิดของตัวเอง ผมยังมีแก่ใจฝืนสังขารกัดฟันทำตามเสียงหลอนเร้นลับบอกราวโดนสะกด  ลุกขึ้นเดิน ยื่นมืออกไปในความมืด อดแปลกใจไม่ได้เมื่อมือกระทบกับแผ่นไม้ซึ่งน่าจะเป็นชั้นเก็บของ นั่งลงควานมือตรวจดูลิ้นชักล่างสุด เจอไฟฉายอยู่ในสภาพใช้งานได้ พอเปิดสวิตซ์ลำแสงก็ส่องสว่างจ้าจนทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะอันมีสาเหตุมาจากการอยู่ในความมืดนานจนเกินไป

             เธอรู้ได้อย่างไร

             ลองกวาดลำแสงของไฟฉายมองหาว่าเธออยู่ที่ไหน แต่สภาพห้องดูรกมากเกินไปทำให้มองเห็นแต่เศษสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆ จำพวกโต๊ะเก้าอี้ไม้ขาหักกองพะเนิน โคมไฟชำรุดขึ้สนิม  กองกระดาษเก่ากรอบเครื่องใช้ไฟฟ้าสภาพควรจะทิ้งมากกว่าจะเก็บเอาไว้

             หรือว่าความจริงผมรู้ด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง ว่าเคยเก็บไฟฉายเอาไว้  แต่ไฟฉายกระบอกเดียวไม่สามารถทำให้ออกไปจากห้องใต้ดินได้ มองในแง่ดีว่าอย่างน้อยผมก็มีแสงสว่างอยู่ในมือ

             “ว่าแต่คุณอยู่ไหน” ผมถามอย่างยอมแพ้เพราะยังหาไม่เจอว่าเธอหลบอยู่มุมใดในห้องมหารก

             “คุณก็ลองดูใต้เก้าอี้เหล็กด้านขวามือสิคะ”

             ในที่สุดก็พบขวดน้ำพลาสติกขนาดหนึ่งลิตรวางซุกอยู่ใต้เก้าอี้ขาเหล็กเก่าสนิมจับเขรอะท่ามกลางเศษขยะกองทับ สภาพของเธอปิดฝาสนิทบุบเบี้ยวเล็กน้อย ผมใช้เสื้อเช็ดฝุ่นให้ขวดน้ำอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าเธอจะเจ็บ จำไม่ได้ว่าเอาขวดน้ำมาทิ้งเอาไว้เมื่อไรกัน

             ผมเป็นห่วงขวดน้ำขนาดนี้เชียว...

              พอนึกว่าเธออยู่อย่างเดียวดายในห้องใต้ดินมาเป็นเวลานานก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด หรือผมกำลังบ้าอยู่จึงรู้สึกสงสารเห็นใจน้ำในขวด ช่างเป็นเรื่องผิดธรรมชาติเหลือเกิน

              ผมยังไม่อยากเชื่อว่า น้ำในขวดจะมีชีวิตมีจิตใจพูดได้ ถ้าน้ำดื่มพูดได้ต่อไปคนเราคงมีเพื่อนคุยเป็นกาแฟเวลาเช้า   เวลาอาบน้ำคงไม่กล้าปลอดโปร่งโล่งแจ้งเปล่าเปลือยให้มาก เพราะความขวยเขิน เห็นเลยว่ายุ่งยากใจพิลึก

             ดูเหมือนว่าน้ำเธอจะเข้าใจถึงความยุ่งยากกับวิตกจริตของผม เธออธิบายว่า

             “คุณไม่ต้องคิดหรอกนะคะว่าน้ำในโลกจะมีชีวิตจิตใจไปทั้งหมด และมาพูดคุยกับใครได้ มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติไม่มีใครรับได้หรอกค่ะ”

             “แล้วผมต้องรับให้ได้อย่างนั้นหรือครับ  ว่าคุณมีจริง”

             “กฏทุกข้อมีข้อยกเว้นนี่คะ”

             “ทำไมต้องเป็นผมด้วย”

             “ถ้าจะพูดตามแบบฉบับของมนุษย์ก็ต้องบอกว่า เป็นลิขิตของฟ้า  ลูกศรของวงล้อแห่งชะตากรรมบังเอิญหมุนมาชี้ที่คุณพอดี มั้งคะ..”
เธอพูดจาฉะฉานน่าฟังใช้ได้เลย ทำให้ผมอดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ พยักหน้ารับฟังเสียงใสๆของเธอพูดต่อไปว่า
  
              “หาน้ำเจอแล้วก็ดื่มน้ำเลยสิคะ คุณจะมีเรี่ยวแรงมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก”

             “ผมไม่เลือดเย็นเป็นปีศาจขนาดกินใครได้หรอกครับ”

             ผมรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที แค่ฟังก็ดูน่ากลัวแล้ว มือถือขวดน้ำอย่างระมัดระวัง เดินกลับไปมุมประจำของตัวเอง วางขวดน้ำไว้ด้านข้าง เพราะไม่อยากเจอข้อหาว่าถือโอกาสลวนลามเกินเลยเธอ ปิดสวิตซ์ไฟฉายเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างอะไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต และอยากตายในความมืดอย่างสงบมากกว่า จะได้ไม่อายตัวเอง

             แน่นอนว่าผมยังไม่ยอมเปิดขวดดื่มน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอาการประสาทหลอนก่อนตายหรือเป็นความจริง ก็ไม่แตกต่างกันอีกต่อไป

             น้ำเธอพยายามอ้อนวอนให้ผมดื่มเธอให้ได้ เมื่อเห็นผมยังใจแข็งไม่ยอมดื่ม เธอจึงหาเรื่องพูดคุยในเรื่องสัพเพเหระต่างๆ นานา สังเกตจากการพูดจาพาทีรู้เลยว่าพวกเราเข้ากันได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมือง ไม่เข้าใจว่าเธอเป็นน้ำอยู่ในขวดลิตร ไปสามารถไปรับรู้โลกภายนอกได้อย่างไร แต่เรื่องแบบนั้นไม่สำคัญอะไร มีเรื่องราวมากมายที่เราไม่ต้องสืบค้นเข้าใจไปหาต้นตอ

             หลังผ่านการทำความรู้จักกันในเวลาอันไม่นาน ทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นทุกที ช่องว่างระหว่างเราลดลงอย่างรวดเร็วและพัฒนาไปในทางที่ดีมากขึ้นเป็นลำดับ

             ในห้องอันอับชื้นมืดสนิทกลับดูอบอุ่นอย่างแปลกปะหลาด เราพูดคุยกันได้ดีในทุกเรื่อง รู้จักกันยังไม่นานกลับคุ้นเคยสนิทสนมกันมากกว่าหลายคนที่รู้จักพูดกันมาทั้งชีวิตเสียอีก

             ผมเริ่มอยากมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกสักนิด เพื่อจะได้พูดคุยกับน้ำให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

             อย่างน้อยเธอทำให้วาระสุดท้ายของผมไม่เงียบเหงา และผมเองก็มีความสุขใจกับการได้พูดคุยกับน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเหมือนชิ้นส่วนมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายมาตั้งแต่เกิด เปลี่ยนโลกสีขาวดำให้มีสีสันขึ้นตามวันเวลา  ถ้าผมไม่ดื่มน้ำก็อาจจะตายในเวลาอันไม่นานเพราะสภาพร่างกายอ่อนล้าลงเต็มทีแม้ว่าจิตใจจะยังเจิดจ้าแต่ก็วูบไหวราวเปลวไฟกลางสายลม

             ปัญหาคือถ้าผมอยากมีชีวิตต่อไปให้ยาวนาน ผมต้องดื่มเธอ....จะเรียกว่ากินทั้งเป็นก็ได้... ฟังดูแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวและบ้าเหลือเกิน ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การดื่มน้ำจะเป็นปัญหาใหญ่ชนิดคอขาดบาดตาย   สร้างสภาวะลำบากยุ่งยากใจจนสุดแสน

             ผมอดตาย น้ำก็รอด และมีชีวิตอยู่ต่อไปในห้องใต้ดินอันเปลี่ยวเหงา ผมอาจรอดตายไปได้ระยะหนึ่ง แต่น้ำก็คงต้องตายเพราะผมดื่มเธอ
นี่ผมกำลังเป็นห่วงชีวิตของน้ำดื่มอย่างนั้นหรือ ฟังดูมันบ้ายิ่งกว่าบ้า ปัญหาของเรื่องนี้คือความหวัง แต่ความหวังจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความรักรออยู่สุดสายปลายฝัน

             “คุณต้องดื่มน้ำนะคะ เราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน”

             น้ำพยายามอ้อนวอนในขณะสติสัมปชัญญะของผมกำลังเลือนรางลงทุกที ได้เพียงนอนรอความตายอยู่ในความมืดและกอดขวดน้ำแนบอก

             “คุณคงเจ็บ...”

             “น้ำไม่เจ็บหรอกค่ะ ความรู้สึกสัมผัสส่วนนี้ของน้ำไม่มี ไม่ต้องกังวลเลยนะคะ”

             “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมดื่มคุณจนหมด”

             “น้ำก็จะหายไป แต่คุณอย่าลืมนะคะว่ายังมีน้ำอยู่มากมายในโลกนี้ ถ้าคุณรอดชีวิต เราคงมีโอกาสพบกันอีกค่ะ ถ้าบุญพาวาสนาส่ง แต่ถ้าคุณไม่ยอมดื่มน้ำ  ความสัมพันธ์ของเราก็จะจบสิ้นลงเพียงเท่านี้ น้ำคงอยู่อย่างเงียบเหงาต่อไปนานแสนนาน...”

             ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงเธอเศร้าสร้อย ทำให้ผมใจหาย

             การอยู่อย่างเงียบเหงายาวนานเพียงลำพังในห้องใต้ดินมืดดำแบบไร้อนาคตไร้ความหวังไร้ความหมาย  เป็นสิ่งไม่อยากคิดถึงหรือจินตนาการเลยว่าหนักหนาสาหัสขนาดไหน  ต่อให้วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้ามีคนขุดลงมาถึงห้องใต้ดิน คนอื่นจะสามารภสื่อสารกับน้ำได้เหมือนผมหรือไม่




             มีต่อครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่