.....
รักปานจะกลืนกินกันใช่ไหม บางทีมันเป็นเพียงสำนวน ที่เป็นจริง
ผมอยากให้คุณ ตั้งสติ แล้วฟังผมสักนิด หลังจากนั้น คุณจะบ้าอย่างไร ก็เรื่องของคุณ
ผมรู้ว่า มันบ้า
แต่...ผมก็อยากเล่าให้คุณฟัง คุณไม่จำเป็นต้องบ้าอย่างผมก็ได้ นี่ผมควรจะเก็บลิขสิทธิ์ ความบ้าของผมไหมนี่
ช่างเถอะ....
เรื่องแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นในวันอันเลวร้าย เมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ ขณะผมลงไปค้นหาอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้องใต้ดิน ผลของแผ่นดินไหว ทำให้ผมถูกฝังอยู่ข้างล่าง เศษปรักหักพังของอาคารถล่มทลายลงมา ในสภาพไม่ทันได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากรอคอยความช่วยเหลือ ด้วยจิตใจร้อนรุ่มหวาดกลัวสารพัดจวนเจียนจิตหลุด ในความมืดอับชื้นนานเกินไป ผมก็เริ่มคิดว่าคงไม่รอดจากความตายไปได้ ใครจะไปคิดว่าเมืองของเราจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนต้องมาติดอยู่ในห้องใต้ดินเป็นฉากสุดท้ายของชีวิต
ผมเคยครุ่นคิดมาก่อน ว่าเมื่ออยู่ในสภาพถูกปิดตายสิ้นหวังไร้ทางออกรอคอยความตาย จะมีอาการปริเวทนาการอย่างไร พอถึงเวลาจริง ๆ น่าแปลก ว่าผมกลับทำใจยอมรับเงื้อมมือมัจจุราชโดยดี ไม่ได้กรีดร้องเสียอาการด้วยความหวาดกลัวจนสติแตก
วันเวลาผ่านไปอย่างยาวนานในความความมืดและสภาพอ่อนแรง ผมเอนกายลงมุมห้องเย็นชืดในสภาพขาดแรงจูงใจกับการมีชีวิต พยายามข่มใจให้สงบ รอรับความตายเพราะความหิวโหยและสิ้นหวัง มีเวลาหวนนึกถึงร่องรอยขรุขระของเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง วางแผนการตายอย่างเรียบง่าย จัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย ถ้ามีคนขุดค้นพบในอนาคตจะได้ดูดี ตั้งใจว่าจะไม่ลุกขึ้นมาอีก ก่อนเริ่มฝันถึงการโบยบินไปในอากาศอันว่างเปล่าและมองหาแสงสว่างปลายอุโมงค์
“อย่าเพิ่งท้อนะคะ”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเธอ ดังก้องอยู่ในความมืด ความจริงต้องบอกว่าดังอยู่ในความรู้สึกน่าจะถูกกว่า ผมคิดว่าเป็นอาการประสาทหลอนวิปลาสขณะใกล้ตาย
เอาละ! อย่างน้อยก็เป็นจุดจบที่มีชีวิตชีวาพอสมควร ไม่ได้โดดเดี่ยวเงียบเหงาเกินไป จึงสงบปากสงบคำกับความหลอนของตัวเอง โดยไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย บ้าก่อนตายจะเป็นไรไป
“คุณไม่ได้ประสาทหลอนหรอกค่ะ”
เสียงผู้หญิงลึกลับแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมหลุดปากถามพลางนึกขำกับตัวเองว่ากำลังพูดคุยกับความหลอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน
“ดิฉันอยู่ในห้องใต้ดินมานานแล้วค่ะ”
“คุณคงเป็นผี” ผมดักทาง ในใจไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไร ก็คนจะตาย ไม่เห็นต้องกลัวอะไร
“เปล่าค่ะ ดิฉันเป็นน้ำ”
“อ้อ...คุณชื่อน้ำ”
“คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะคะ ความจริงก็คือดิฉันชื่อน้ำ และเป็นน้ำจริง ๆ อาศัยอยู่ในขวดลิตร อย่างเงียบเหงามาหลายปีแล้วค่ะ”
ไม่เลว ...ผมคิดในใจขณะคิดว่ากำลังพูดคุยอยู่กับน้ำในขวด ซึ่งคงวางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในมุมมืดอันรกรุงรังเต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องใช้เก่าชำรุดทรุดโทรม ไม่สมประกอบของห้องใต้ดิน
“คุณต้องการอะไร” ผมยังคงหลับตา นอนกอดอกในความมืด ถามส่ง ๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบอย่างจริงจัง แต่คำตอบและน้ำเสียงของ ‘คุณน้ำ’ กลับจริงจังมากกว่าที่คิด
“ดิฉันต้องการให้คุณดื่มดิฉันค่ะ”
“ทำไมผมต้องดื่มคุณด้วย ทำไมคุณจะยอมให้ผมดื่มคุณล่ะ”
“ก็มันเป็นหน้าที่ของน้ำนี่คะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูผ่อนคลายและเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น “คุณเองก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นคือหน้าที่พื้นฐานของคนเราไม่ใช่หรือคะ น้ำเองก็มีหน้าที่ถูกกินถูกใช้ประโยชน์ ทุกอย่างมีอยู่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นคุณก็ควรจะดื่มน้ำนะคะ เพื่อความอยู่รอดของคุณ”
“ผมจะอยู่รอดไปเพื่ออะไรครับ”
“ก็อยู่รอดเพื่อความอยู่รอดยังไงคะ นั่นละ สิ่งที่คุณควรจะทำ”
คำตอบของน้ำเหมือนพูดเล่น แต่ทำให้ผมเริ่มคิดอย่างจริงจัง เพราะในชีวิตที่ผ่านมาผมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะดูเหมือนจะเป็นการอยู่ไปวันๆ ตามสัญชาตญาณ มากกว่าจะมีเป้าหมายแน่นอนชัดเจน ผมเพียงรู้อย่างหนึ่งว่าชีวิต ไม่ว่าจะชีวิตของอะไรก็ตาม เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากกว่าที่เห็น เธออาจเป็นเพียงจิตใต้สำนึกของผมก็เป็นไปได้
“คุณมีจริง พูดได้จริงหรือครับ คุณน้ำ”
“อะไรคือความจริงล่ะคะ คุณให้นิยามว่ายังไง หรือคุณจะบอกว่าสิ่งที่คุณได้ยินอยู่นี่เป็นการประสาทหลอน ทำไมคุณไม่ลองลุกขึ้นแล้วเดินไปทางซ้ายมือสักห้าหกเมตร ยื่นมือออกไป จะพบตู้เก็บของ มีไฟฉายสภาพใช้งานได้ อยู่ในลิ้นชักชั้นล่างสุด น่าจะทำให้คุณทำอะไรได้สะดวกขึ้นนะคะ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามีไฟฉายอยู่ตรงนั้น น้ำไม่มีหูมีตานี่ครับ”
ผมได้ยินเสียงเธอกำลังหัวเราะเบา ๆ นี่ถ้ารอดชีวิตไปเล่าให้คนอื่นฟังว่าได้ยินเสียงน้ำในขวดหัวเราะ เชื่อขนมกินได้เลยว่าโดนหาว่าบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เวลานี้...บ้าก็บ้าวะ
“หู ตา ปาก จมูก หรืออะไรเป็นเพียงสื่อกลางรับส่งข้อมูลเท่านั้น ความจริงมีอะไรมากมายที่มนุษย์ไม่มี แต่อย่างอื่นมี ทำไมคุณไม่ลองทำตามที่น้ำบอกดูล่ะคะ”
เธอพูดอย่างมีหลักการ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงและสับสนกับความคิดของตัวเอง ผมยังมีแก่ใจฝืนสังขาร กัดฟันทำตามเสียงหลอนเร้นลับราวโดนสะกด ลุกขึ้นเดิน ยื่นมือออกไปในความมืด อดแปลกใจไม่ได้เมื่อมือกระทบกับแผ่นไม้ที่น่าจะเป็นชั้นเก็บของ นั่งลงควานมือตรวจดูลิ้นชักล่างสุด เจอไฟฉายอยู่ในสภาพใช้งานได้ พอเปิดสวิตซ์ลำแสงก็ส่องสว่างจ้า จนทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะอันมีสาเหตุมาจากการอยู่ในความมืดนานจนเกินไป
เธอรู้ได้อย่างไรว่าไฟฉายอยู่ตรงนี้
ลองกวาดลำแสงของไฟฉายมองหาว่าเธออยู่ที่ไหน แต่สภาพห้องดูรกมากเกินไป ทำให้มองเห็นแต่เศษสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆ จำพวกโต๊ะเก้าอี้ไม้ขาหักกองพะเนิน โคมไฟชำรุดขึ้นสนิม กองกระดาษเก่ากรอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าสภาพควรจะทิ้งมากกว่าจะเก็บเอาไว้
หรือว่าความจริงผมรู้ด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง ว่าเคยเก็บไฟฉายเอาไว้ แต่ไฟฉายกระบอกเดียวไม่สามารถทำให้ออกไปจากห้องใต้ดินได้ มองในแง่ดีว่าอย่างน้อยผมก็มีแสงสว่างอยู่ในมือ
“น้ำ คุณอยู่ไหน” ผมถามอย่างยอมแพ้ เพราะยังหาไม่เจอว่าเธอหลบอยู่มุมใด ในห้องมหารก
“คุณก็ลองดูใต้เก้าอี้เหล็กด้านขวามือสิคะ”
ในที่สุดก็พบขวดน้ำพลาสติกขนาดหนึ่งลิตร วางซุกอยู่ใต้เก้าอี้ขาเหล็กเก่า สนิมจับเขรอะท่ามกลางเศษขยะกองทับ สภาพของเธอปิดฝาสนิทบุบเบี้ยวเล็กน้อย ผมใช้เสื้อเช็ดฝุ่นให้ขวดน้ำอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าเธอจะเจ็บ จำไม่ได้ว่าเอาขวดน้ำมาทิ้งเอาไว้เมื่อไรกัน
ผมเป็นห่วงขวดน้ำขนาดนี้เชียว
พอนึกว่าเธออยู่อย่างเดียวดายในห้องใต้ดินมาเป็นเวลานานก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด หรือผมกำลังเป็นบ้า จึงรู้สึกสงสารเห็นใจน้ำในขวด เป็นเรื่องผิดธรรมชาติเหลือเกิน
ผมยังไม่อยากเชื่อว่า น้ำในขวดจะมีชีวิตมีจิตใจพูดได้ ถ้าน้ำดื่มพูดได้ต่อไปคนเราคงมีเพื่อนคุยเป็นกาแฟเวลาเช้า เวลาอาบน้ำคงไม่กล้าปลอดโปร่งโล่งแจ้งเปล่าเปลือยให้มาก เพราะความขวยเขิน เห็นเลยว่ายุ่งยากใจพิลึก
ดูเหมือนว่าน้ำเธอจะเข้าใจถึงความยุ่งยากกับวิตกจริตของผม เธออธิบายว่า
“คุณไม่ต้องคิดหรอกนะคะ ว่าน้ำในโลกจะมีชีวิตจิตใจไปทั้งหมด และมาพูดคุยกับใครได้ มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติไม่มีใครรับได้หรอกค่ะ”
“แล้วผมต้องรับให้ได้อย่างนั้นหรือครับ ว่าคุณมีจริง”
“กฏทุกข้อ มีข้อยกเว้นนี่คะ”
“ทำไมต้องเป็นผมด้วย”
“ถ้าจะพูดตามแบบฉบับของมนุษย์ก็ต้องบอกว่า เป็นลิขิตของฟ้า ลูกศรของวงล้อแห่งชะตากรรมบังเอิญหมุนมาชี้ที่คุณพอดี มั้งคะ...”
เธอพูดจาฉะฉานน่าฟังใช้ได้เลย ทำให้อดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ พยักหน้ารับฟังเสียงใสๆ ของเธอพูดต่อไปว่า
“หาน้ำเจอแล้วก็ดื่มน้ำเลยสิคะ คุณจะมีเรี่ยวแรงมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก”
“ผมไม่เลือดเย็นเป็นปีศาจ ขนาดกินใครได้หรอกครับ” ผมสั่นศีรษะปฏิเสธ แค่ฟังก็ดูน่ากลัว มือถือขวดน้ำอย่างระมัดระวัง เดินกลับไปมุมประจำของตัวเอง วางขวดน้ำไว้ด้านข้าง เพราะไม่อยากเจอข้อหาว่าถือโอกาสลวนลามน้ำจนเกินเลย ปิดสวิตซ์ไฟฉายเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างอะไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต และอยากตายในความมืดอย่างสงบมากกว่า จะได้ไม่อายตัวเอง
แน่นอนว่าผมยังไม่ยอมเปิดฝาขวดดื่มน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอาการประสาทหลอนก่อนตายหรือเป็นความจริง ก็ไม่แตกต่างกันอีกต่อไป
น้ำพยายามอ้อนวอนให้ผมดื่มเธอให้ได้ เมื่อเห็นผมยังใจแข็งไม่ยอมดื่ม เธอจึงหาเรื่องพูดคุยในเรื่องสัพเพเหระต่างๆนานา สังเกตจากการพูดจาพาที รู้เลยว่าพวกเราเข้ากันได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมือง ไม่เข้าใจว่าเธอเป็นน้ำอยู่ในขวดลิตร ไปสามารถไปรับรู้โลกภายนอกได้อย่างไร แต่เรื่องแบบนั้นไม่สำคัญอะไร มีเรื่องราวมากมายที่เราไม่ต้องสืบค้นเข้าใจไปหาต้นตอ
หลังผ่านการทำความรู้จักกันในเวลาอันไม่นาน ทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นทุกที ช่องว่างระหว่างเราลดลงอย่างรวดเร็วและพัฒนาไปในทางที่ดีมากขึ้นเป็นลำดับ
ในห้องอันอับชื้นมืดสนิทกลับดูอบอุ่นอย่างแปลกปะหลาด เราพูดคุยกันได้ดีในทุกเรื่อง รู้จักกันยังไม่นาน กลับคุ้นเคยสนิทสนมกันมากกว่าหลายคนที่รู้จักพูดกันมาทั้งชีวิตเสียอีก
ผมเริ่มอยากมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกสักนิด เพื่อจะได้พูดคุยกับน้ำ ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
อย่างน้อยเธอทำให้วาระสุดท้ายของผมไม่เงียบเหงา และผมเองก็มีความสุขใจกับการได้พูดคุยกับน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเหมือนชิ้นส่วนมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายมาตั้งแต่เกิด เปลี่ยนโลกสีขาวดำให้มีสีสันขึ้นตามวันเวลา ถ้าผมไม่ดื่มน้ำ ก็อาจจะตายในเวลาอันไม่นานเพราะสภาพร่างกายอ่อนล้าลงเต็มที แม้ว่าจิตใจจะยังเจิดจ้า แต่ก็วูบไหวราวเปลวไฟกลางสายลม
ปัญหาคือถ้าผมอยากมีชีวิตต่อไปให้ยาวนาน ผมต้องดื่มเธอ จะเรียกว่ากินทั้งเป็นก็ได้ ฟังดูแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวและบ้าเหลือเกิน ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การดื่มน้ำ จะเป็นปัญหาใหญ่ชนิดคอขาดบาดตาย สร้างสภาวะลำบากยุ่งยากใจจนสุดแสน
ผมอดตาย น้ำก็รอด และมีชีวิตอยู่ต่อไปในห้องใต้ดินอันเปลี่ยวเหงา ผมอาจมีทางรอดตายไปได้ระยะหนึ่ง
แต่น้ำก็คงต้องตาย เพราะผมดื่มเธอ
...
โปรดติดตาม บทจบ ในตอนต่อไป
โปรดดื่มฉันที...นะที่รัก 1/2
.....
รักปานจะกลืนกินกันใช่ไหม บางทีมันเป็นเพียงสำนวน ที่เป็นจริง
ผมอยากให้คุณ ตั้งสติ แล้วฟังผมสักนิด หลังจากนั้น คุณจะบ้าอย่างไร ก็เรื่องของคุณ
ผมรู้ว่า มันบ้า
แต่...ผมก็อยากเล่าให้คุณฟัง คุณไม่จำเป็นต้องบ้าอย่างผมก็ได้ นี่ผมควรจะเก็บลิขสิทธิ์ ความบ้าของผมไหมนี่
ช่างเถอะ....
เรื่องแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นในวันอันเลวร้าย เมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ ขณะผมลงไปค้นหาอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้องใต้ดิน ผลของแผ่นดินไหว ทำให้ผมถูกฝังอยู่ข้างล่าง เศษปรักหักพังของอาคารถล่มทลายลงมา ในสภาพไม่ทันได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากรอคอยความช่วยเหลือ ด้วยจิตใจร้อนรุ่มหวาดกลัวสารพัดจวนเจียนจิตหลุด ในความมืดอับชื้นนานเกินไป ผมก็เริ่มคิดว่าคงไม่รอดจากความตายไปได้ ใครจะไปคิดว่าเมืองของเราจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนต้องมาติดอยู่ในห้องใต้ดินเป็นฉากสุดท้ายของชีวิต
ผมเคยครุ่นคิดมาก่อน ว่าเมื่ออยู่ในสภาพถูกปิดตายสิ้นหวังไร้ทางออกรอคอยความตาย จะมีอาการปริเวทนาการอย่างไร พอถึงเวลาจริง ๆ น่าแปลก ว่าผมกลับทำใจยอมรับเงื้อมมือมัจจุราชโดยดี ไม่ได้กรีดร้องเสียอาการด้วยความหวาดกลัวจนสติแตก
วันเวลาผ่านไปอย่างยาวนานในความความมืดและสภาพอ่อนแรง ผมเอนกายลงมุมห้องเย็นชืดในสภาพขาดแรงจูงใจกับการมีชีวิต พยายามข่มใจให้สงบ รอรับความตายเพราะความหิวโหยและสิ้นหวัง มีเวลาหวนนึกถึงร่องรอยขรุขระของเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง วางแผนการตายอย่างเรียบง่าย จัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย ถ้ามีคนขุดค้นพบในอนาคตจะได้ดูดี ตั้งใจว่าจะไม่ลุกขึ้นมาอีก ก่อนเริ่มฝันถึงการโบยบินไปในอากาศอันว่างเปล่าและมองหาแสงสว่างปลายอุโมงค์
“อย่าเพิ่งท้อนะคะ”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเธอ ดังก้องอยู่ในความมืด ความจริงต้องบอกว่าดังอยู่ในความรู้สึกน่าจะถูกกว่า ผมคิดว่าเป็นอาการประสาทหลอนวิปลาสขณะใกล้ตาย
เอาละ! อย่างน้อยก็เป็นจุดจบที่มีชีวิตชีวาพอสมควร ไม่ได้โดดเดี่ยวเงียบเหงาเกินไป จึงสงบปากสงบคำกับความหลอนของตัวเอง โดยไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย บ้าก่อนตายจะเป็นไรไป
“คุณไม่ได้ประสาทหลอนหรอกค่ะ”
เสียงผู้หญิงลึกลับแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมหลุดปากถามพลางนึกขำกับตัวเองว่ากำลังพูดคุยกับความหลอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน
“ดิฉันอยู่ในห้องใต้ดินมานานแล้วค่ะ”
“คุณคงเป็นผี” ผมดักทาง ในใจไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไร ก็คนจะตาย ไม่เห็นต้องกลัวอะไร
“เปล่าค่ะ ดิฉันเป็นน้ำ”
“อ้อ...คุณชื่อน้ำ”
“คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะคะ ความจริงก็คือดิฉันชื่อน้ำ และเป็นน้ำจริง ๆ อาศัยอยู่ในขวดลิตร อย่างเงียบเหงามาหลายปีแล้วค่ะ”
ไม่เลว ...ผมคิดในใจขณะคิดว่ากำลังพูดคุยอยู่กับน้ำในขวด ซึ่งคงวางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในมุมมืดอันรกรุงรังเต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องใช้เก่าชำรุดทรุดโทรม ไม่สมประกอบของห้องใต้ดิน
“คุณต้องการอะไร” ผมยังคงหลับตา นอนกอดอกในความมืด ถามส่ง ๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบอย่างจริงจัง แต่คำตอบและน้ำเสียงของ ‘คุณน้ำ’ กลับจริงจังมากกว่าที่คิด
“ดิฉันต้องการให้คุณดื่มดิฉันค่ะ”
“ทำไมผมต้องดื่มคุณด้วย ทำไมคุณจะยอมให้ผมดื่มคุณล่ะ”
“ก็มันเป็นหน้าที่ของน้ำนี่คะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูผ่อนคลายและเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น “คุณเองก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นคือหน้าที่พื้นฐานของคนเราไม่ใช่หรือคะ น้ำเองก็มีหน้าที่ถูกกินถูกใช้ประโยชน์ ทุกอย่างมีอยู่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นคุณก็ควรจะดื่มน้ำนะคะ เพื่อความอยู่รอดของคุณ”
“ผมจะอยู่รอดไปเพื่ออะไรครับ”
“ก็อยู่รอดเพื่อความอยู่รอดยังไงคะ นั่นละ สิ่งที่คุณควรจะทำ”
คำตอบของน้ำเหมือนพูดเล่น แต่ทำให้ผมเริ่มคิดอย่างจริงจัง เพราะในชีวิตที่ผ่านมาผมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะดูเหมือนจะเป็นการอยู่ไปวันๆ ตามสัญชาตญาณ มากกว่าจะมีเป้าหมายแน่นอนชัดเจน ผมเพียงรู้อย่างหนึ่งว่าชีวิต ไม่ว่าจะชีวิตของอะไรก็ตาม เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากกว่าที่เห็น เธออาจเป็นเพียงจิตใต้สำนึกของผมก็เป็นไปได้
“คุณมีจริง พูดได้จริงหรือครับ คุณน้ำ”
“อะไรคือความจริงล่ะคะ คุณให้นิยามว่ายังไง หรือคุณจะบอกว่าสิ่งที่คุณได้ยินอยู่นี่เป็นการประสาทหลอน ทำไมคุณไม่ลองลุกขึ้นแล้วเดินไปทางซ้ายมือสักห้าหกเมตร ยื่นมือออกไป จะพบตู้เก็บของ มีไฟฉายสภาพใช้งานได้ อยู่ในลิ้นชักชั้นล่างสุด น่าจะทำให้คุณทำอะไรได้สะดวกขึ้นนะคะ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามีไฟฉายอยู่ตรงนั้น น้ำไม่มีหูมีตานี่ครับ”
ผมได้ยินเสียงเธอกำลังหัวเราะเบา ๆ นี่ถ้ารอดชีวิตไปเล่าให้คนอื่นฟังว่าได้ยินเสียงน้ำในขวดหัวเราะ เชื่อขนมกินได้เลยว่าโดนหาว่าบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เวลานี้...บ้าก็บ้าวะ
“หู ตา ปาก จมูก หรืออะไรเป็นเพียงสื่อกลางรับส่งข้อมูลเท่านั้น ความจริงมีอะไรมากมายที่มนุษย์ไม่มี แต่อย่างอื่นมี ทำไมคุณไม่ลองทำตามที่น้ำบอกดูล่ะคะ”
เธอพูดอย่างมีหลักการ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงและสับสนกับความคิดของตัวเอง ผมยังมีแก่ใจฝืนสังขาร กัดฟันทำตามเสียงหลอนเร้นลับราวโดนสะกด ลุกขึ้นเดิน ยื่นมือออกไปในความมืด อดแปลกใจไม่ได้เมื่อมือกระทบกับแผ่นไม้ที่น่าจะเป็นชั้นเก็บของ นั่งลงควานมือตรวจดูลิ้นชักล่างสุด เจอไฟฉายอยู่ในสภาพใช้งานได้ พอเปิดสวิตซ์ลำแสงก็ส่องสว่างจ้า จนทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะอันมีสาเหตุมาจากการอยู่ในความมืดนานจนเกินไป
เธอรู้ได้อย่างไรว่าไฟฉายอยู่ตรงนี้
ลองกวาดลำแสงของไฟฉายมองหาว่าเธออยู่ที่ไหน แต่สภาพห้องดูรกมากเกินไป ทำให้มองเห็นแต่เศษสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆ จำพวกโต๊ะเก้าอี้ไม้ขาหักกองพะเนิน โคมไฟชำรุดขึ้นสนิม กองกระดาษเก่ากรอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าสภาพควรจะทิ้งมากกว่าจะเก็บเอาไว้
หรือว่าความจริงผมรู้ด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง ว่าเคยเก็บไฟฉายเอาไว้ แต่ไฟฉายกระบอกเดียวไม่สามารถทำให้ออกไปจากห้องใต้ดินได้ มองในแง่ดีว่าอย่างน้อยผมก็มีแสงสว่างอยู่ในมือ
“น้ำ คุณอยู่ไหน” ผมถามอย่างยอมแพ้ เพราะยังหาไม่เจอว่าเธอหลบอยู่มุมใด ในห้องมหารก
“คุณก็ลองดูใต้เก้าอี้เหล็กด้านขวามือสิคะ”
ในที่สุดก็พบขวดน้ำพลาสติกขนาดหนึ่งลิตร วางซุกอยู่ใต้เก้าอี้ขาเหล็กเก่า สนิมจับเขรอะท่ามกลางเศษขยะกองทับ สภาพของเธอปิดฝาสนิทบุบเบี้ยวเล็กน้อย ผมใช้เสื้อเช็ดฝุ่นให้ขวดน้ำอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าเธอจะเจ็บ จำไม่ได้ว่าเอาขวดน้ำมาทิ้งเอาไว้เมื่อไรกัน
ผมเป็นห่วงขวดน้ำขนาดนี้เชียว
พอนึกว่าเธออยู่อย่างเดียวดายในห้องใต้ดินมาเป็นเวลานานก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด หรือผมกำลังเป็นบ้า จึงรู้สึกสงสารเห็นใจน้ำในขวด เป็นเรื่องผิดธรรมชาติเหลือเกิน
ผมยังไม่อยากเชื่อว่า น้ำในขวดจะมีชีวิตมีจิตใจพูดได้ ถ้าน้ำดื่มพูดได้ต่อไปคนเราคงมีเพื่อนคุยเป็นกาแฟเวลาเช้า เวลาอาบน้ำคงไม่กล้าปลอดโปร่งโล่งแจ้งเปล่าเปลือยให้มาก เพราะความขวยเขิน เห็นเลยว่ายุ่งยากใจพิลึก
ดูเหมือนว่าน้ำเธอจะเข้าใจถึงความยุ่งยากกับวิตกจริตของผม เธออธิบายว่า
“คุณไม่ต้องคิดหรอกนะคะ ว่าน้ำในโลกจะมีชีวิตจิตใจไปทั้งหมด และมาพูดคุยกับใครได้ มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติไม่มีใครรับได้หรอกค่ะ”
“แล้วผมต้องรับให้ได้อย่างนั้นหรือครับ ว่าคุณมีจริง”
“กฏทุกข้อ มีข้อยกเว้นนี่คะ”
“ทำไมต้องเป็นผมด้วย”
“ถ้าจะพูดตามแบบฉบับของมนุษย์ก็ต้องบอกว่า เป็นลิขิตของฟ้า ลูกศรของวงล้อแห่งชะตากรรมบังเอิญหมุนมาชี้ที่คุณพอดี มั้งคะ...”
เธอพูดจาฉะฉานน่าฟังใช้ได้เลย ทำให้อดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ พยักหน้ารับฟังเสียงใสๆ ของเธอพูดต่อไปว่า
“หาน้ำเจอแล้วก็ดื่มน้ำเลยสิคะ คุณจะมีเรี่ยวแรงมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก”
“ผมไม่เลือดเย็นเป็นปีศาจ ขนาดกินใครได้หรอกครับ” ผมสั่นศีรษะปฏิเสธ แค่ฟังก็ดูน่ากลัว มือถือขวดน้ำอย่างระมัดระวัง เดินกลับไปมุมประจำของตัวเอง วางขวดน้ำไว้ด้านข้าง เพราะไม่อยากเจอข้อหาว่าถือโอกาสลวนลามน้ำจนเกินเลย ปิดสวิตซ์ไฟฉายเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างอะไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต และอยากตายในความมืดอย่างสงบมากกว่า จะได้ไม่อายตัวเอง
แน่นอนว่าผมยังไม่ยอมเปิดฝาขวดดื่มน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอาการประสาทหลอนก่อนตายหรือเป็นความจริง ก็ไม่แตกต่างกันอีกต่อไป
น้ำพยายามอ้อนวอนให้ผมดื่มเธอให้ได้ เมื่อเห็นผมยังใจแข็งไม่ยอมดื่ม เธอจึงหาเรื่องพูดคุยในเรื่องสัพเพเหระต่างๆนานา สังเกตจากการพูดจาพาที รู้เลยว่าพวกเราเข้ากันได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมือง ไม่เข้าใจว่าเธอเป็นน้ำอยู่ในขวดลิตร ไปสามารถไปรับรู้โลกภายนอกได้อย่างไร แต่เรื่องแบบนั้นไม่สำคัญอะไร มีเรื่องราวมากมายที่เราไม่ต้องสืบค้นเข้าใจไปหาต้นตอ
หลังผ่านการทำความรู้จักกันในเวลาอันไม่นาน ทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นทุกที ช่องว่างระหว่างเราลดลงอย่างรวดเร็วและพัฒนาไปในทางที่ดีมากขึ้นเป็นลำดับ
ในห้องอันอับชื้นมืดสนิทกลับดูอบอุ่นอย่างแปลกปะหลาด เราพูดคุยกันได้ดีในทุกเรื่อง รู้จักกันยังไม่นาน กลับคุ้นเคยสนิทสนมกันมากกว่าหลายคนที่รู้จักพูดกันมาทั้งชีวิตเสียอีก
ผมเริ่มอยากมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกสักนิด เพื่อจะได้พูดคุยกับน้ำ ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
อย่างน้อยเธอทำให้วาระสุดท้ายของผมไม่เงียบเหงา และผมเองก็มีความสุขใจกับการได้พูดคุยกับน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเหมือนชิ้นส่วนมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายมาตั้งแต่เกิด เปลี่ยนโลกสีขาวดำให้มีสีสันขึ้นตามวันเวลา ถ้าผมไม่ดื่มน้ำ ก็อาจจะตายในเวลาอันไม่นานเพราะสภาพร่างกายอ่อนล้าลงเต็มที แม้ว่าจิตใจจะยังเจิดจ้า แต่ก็วูบไหวราวเปลวไฟกลางสายลม
ปัญหาคือถ้าผมอยากมีชีวิตต่อไปให้ยาวนาน ผมต้องดื่มเธอ จะเรียกว่ากินทั้งเป็นก็ได้ ฟังดูแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวและบ้าเหลือเกิน ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การดื่มน้ำ จะเป็นปัญหาใหญ่ชนิดคอขาดบาดตาย สร้างสภาวะลำบากยุ่งยากใจจนสุดแสน
ผมอดตาย น้ำก็รอด และมีชีวิตอยู่ต่อไปในห้องใต้ดินอันเปลี่ยวเหงา ผมอาจมีทางรอดตายไปได้ระยะหนึ่ง
แต่น้ำก็คงต้องตาย เพราะผมดื่มเธอ
...
โปรดติดตาม บทจบ ในตอนต่อไป