พราวนภารู้สึกตัวตื่นขึ้นพบว่าตัวเองยังนอนอยู่ในห้องของสายฟ้า
เธอลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
แต่แล้วก็คลายลงเมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้เธอไม่มีงานที่ต้องไปทำ
“ลืมปิดแอร์แฮะ”
เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง...เปลืองไฟ!
ถ้าตอบแบบนางงามคงจะบอกว่า ‘ดาวรักษ์โลกค่ะ’
เสียงเปิดประตูทำให้เธอตกใจอีกครั้ง
สายฟ้าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมแก้วกระเบื้องรูป Stormtrooper
“เอ้า กาแฟ”
“ขอบคุณน้า”
พราวนภาหยิบกาแฟมาจิบทีละน้อย
“หอมจัง ...แหม รู้ใจนะเราเนี่ย”
เธอใช้นิ้วมือข้างทีเหลือจิ้มไหล่สายฟ้าที่เพิ่งนั่งลงข้างๆ ...จึ้ก จึ้ก
สายฟ้าอมยิ้ม
“ไหนๆก็มาแล้ว นี่ก็แค่เที่ยง ไปบ้านอาจารย์หมอคณากันไหม”
เขาติดวิธีเรียกหมอคณาแบบนี้มาจากพราวนภา เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่มักจะเรียกแพทย์รุ่นพี่ว่าอาจารย์
“เอาสิๆ เย่ๆ”
พราวนภากระโดดโลดเต้นโดยมีแก้วกาแฟอยู่ในมือข้างหนึ่ง
เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าดีใจเพราะจะไปหาหมอคณาหรือเพราะว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำงานกันแน่
“ว่าแต่...ไปชุดนี้...จริงดิ”
พราวนภาก้มลงมองชุดของตัวเองที่ประกอบไปด้วยเสื้อยืดสีชมพูอ่อนลายคิตตี้ตัวเก่งกับกางเกงผ้าผูกเอวสีดำ
สายฟ้ายิ้ม พร้อมหัวเราะเบาๆ
“เอาสิ”
ในที่สุดพราวนภาก็ยืมเสื้อยืดแขนสั้นลายขาวดำของสายฟ้าใส่เป็นชุดกระโปรง
โชคดีของเธอที่สายฟ้าตัวสูงและเธอเองก็เป็นผู้หญิงขนาดปกติ
เสื้อยืดเลยดูเป็นกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูน่ารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของสายฟ้า
เขายิ้มให้จนตาหยีเมื่อเธอเดินมาหมุนตัวโชว์หลังจากเปลี่ยนชุด
“เดี๋ยวก่อน!”
สายฟ้าที่กำลังผูกเชือกรองเท้าผ้าใบหยุดชะงัก
“...เอ่อ ยืมรองเท้าแตะแม่นายก่อนนะ ไปข้างนอกแล้วเดี๋ยวจะรีบยืมเงินเธอซื้อแตะคีบถูกๆใช้นะ แหะๆ”
เมื่อทั้งสองไปถึงบ้านหมอคณาคุณแม่บ้านออกมาต้อนรับเหมือนเดิม
แล้วทั้งหมดก็พากันเดินไปด้านในห้องเดิมที่ใช้เป็นที่เรียนที่สอนสะกดจิต
“อาจารย์คะ เมื่อวันก่อนดาวฝันถึงอีกชาติหนึ่งแต่คราวนี้ไม่มีสายฟ้าอยู่ด้วยเลยค่ะ”
พราวนภารีบเล่าในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะพบเจอให้หมอคณาฟัง
จริงๆแล้วพราวนภาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ความฝันหรือได้ข้ามไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ในเมื่อนอนหลับแล้วเห็นก็เรียกว่าฝันเอาไว้ก่อนละกัน
“แปลก”
“แปลกหรือคะ”
หมอคณานิ่งคิดก่อนจะกล่าวว่า
“จริงๆมันก็ไม่ได้แปลก เพียงแต่ว่าเรายังไม่รู้สาเหตุ”
หมอคณาชี้ให้ดูกลุ่มอื่นๆที่กำลังฝึก
“เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ ดูอย่างกลุ่มนั้น เขาฝึกกันมาเกือบครึ่งปี แต่หนูสามารถไปได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครแนะนำเลย”
พราวนภาทำหน้างง
“อ้าว แล้วที่สายฟ้าเขาไปด้วยในคราวก่อนๆได้ล่ะคะ สายฟ้าก็ทำได้เหมือนกัน”
หมอคณาเหลือบมองสายฟ้าที่กำลังยกมือเสยผมอย่างเขินๆ
“เรื่องนั้นหนูดาวต้องถามสายฟ้าเขาแล้วล่ะ แต่อย่างที่เคยพูดสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยแปลผันตามกาลเวลาคือแรงดึงดูด”
พราวนภาพยักหน้าทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอเองก็ไม่ได้เข้าใจเท่าไหร่
เรื่องแรงดึงดูดหรือแรง G (gravity) ของดาวหนึ่งไม่เคยแปลผันตามเวลา ไม่ว่าเวลาจะผ่านผันไปนานเท่าไร แรงโน้มถ่วงนั้นก็ยังเท่าเดิม
แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรของเธอถึงดึงดูดสายฟ้าหรือสายฟ้าดึงดูดเธอ
คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่า ‘อ่อ ตอนเกิดเป็นพารามีเซียมแน่เลย’
“อาจารย์คะ งั้นเรากลับไปดูได้ไหมคะว่าทำไมหนูถึงได้มีความสามารถที่ว่าในชาตินี้”
หมอคณาดึงพราวนภาสู่ความสงบและดิ่งลึกลงไปเพื่อหาคำตอบ
“สาม สอง หนึ่ง”
การนับถอยหลังเป็นสัญญาณว่าผู้ถูกสะกดจิตกำลังจะไปสู่ต้นตอของคำถาม
“หนูเห็นบรรยากาศรอบข้างสว่างสดใส ทุกอย่างล้วนเป็นประกายสีขาวสะอาดตา ลมพัดไม่หนาวแต่เย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก”
“หนูกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้หนูเป็นใคร”
พราวนภาขมวดคิ้วแล้วตอบด้วยความไม่แน่ใจ
“ดาวกำลังนั่งสมาธิอยู่บนศาลาเล็กๆ...”
เหมือนมีลมวูบพัดมาข้างกายพราวนภา ทันใดนั้นท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไป
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือเรา”
เธอดูสงบนิ่งสุขุม ไม่เหมือนเธอจริงๆในร่างนี้
“เราคือพราวนภาของพวกท่าน แต่เราอยู่อีกที่หนึ่งในจักรวาลแห่งนี้”
หมอคณาพนมมือด้วยรู้สึกว่าตอนนี้กำลังคุยกับใครสักคนที่...ไม่ธรรมดา
“บอกกระผมได้ไหมครับว่าท่านเป็นใคร แล้วมาที่นี่เพื่ออะไรครับ”
“เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อบำเพ็ญเพียรความดีดังที่พระอาจารย์ของเราแนะนำ เราคือ...”
เกิดลมแรงพัดรอบตัวของทั้งหมดอีกครั้ง
พราวนภาถูกพัดจนตัวเกือบตกเก้าอี้ถ้าไม่มีสายฟ้ารีบมาประคองไว้
“เป็นอย่างไรบ้างหนูดาว”
“ดาวโอเคค่ะ”
พราวนภาขึ้นนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง แล้วละล่ำละลักบอก
“ดาว...ดาวรู้สึกว่าตัวเองเป็นเณร ดาวนุ่งห่มเหลืองร่างกายเป็นเด็กชายแต่...”
เธอยกมือปาดเหงือที่ไหลลงข้างแก้ม
“แต่ดาวรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมาหลายร้อยปีแล้ว!”
ตั้งแต่ได้รับรู้ว่าเธอในตอนนี้ได้เกิดมาเพื่อจะบำเพ็ญเพียรสร้างบุญสร้างกุศล
ทำให้พราวนภาเข้มงวดในการนั่งสมาธิมากขึ้น จากที่ทำบ้างไม่ทำบ้างเป็นทุกวันก่อนนอนเป็นอย่างน้อย
แสงดาวข้ามกาลเวลา#6
เธอลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
แต่แล้วก็คลายลงเมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้เธอไม่มีงานที่ต้องไปทำ
“ลืมปิดแอร์แฮะ”
เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง...เปลืองไฟ!
ถ้าตอบแบบนางงามคงจะบอกว่า ‘ดาวรักษ์โลกค่ะ’
เสียงเปิดประตูทำให้เธอตกใจอีกครั้ง
สายฟ้าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมแก้วกระเบื้องรูป Stormtrooper
“เอ้า กาแฟ”
“ขอบคุณน้า”
พราวนภาหยิบกาแฟมาจิบทีละน้อย
“หอมจัง ...แหม รู้ใจนะเราเนี่ย”
เธอใช้นิ้วมือข้างทีเหลือจิ้มไหล่สายฟ้าที่เพิ่งนั่งลงข้างๆ ...จึ้ก จึ้ก
สายฟ้าอมยิ้ม
“ไหนๆก็มาแล้ว นี่ก็แค่เที่ยง ไปบ้านอาจารย์หมอคณากันไหม”
เขาติดวิธีเรียกหมอคณาแบบนี้มาจากพราวนภา เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่มักจะเรียกแพทย์รุ่นพี่ว่าอาจารย์
“เอาสิๆ เย่ๆ”
พราวนภากระโดดโลดเต้นโดยมีแก้วกาแฟอยู่ในมือข้างหนึ่ง
เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าดีใจเพราะจะไปหาหมอคณาหรือเพราะว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำงานกันแน่
“ว่าแต่...ไปชุดนี้...จริงดิ”
พราวนภาก้มลงมองชุดของตัวเองที่ประกอบไปด้วยเสื้อยืดสีชมพูอ่อนลายคิตตี้ตัวเก่งกับกางเกงผ้าผูกเอวสีดำ
สายฟ้ายิ้ม พร้อมหัวเราะเบาๆ
“เอาสิ”
ในที่สุดพราวนภาก็ยืมเสื้อยืดแขนสั้นลายขาวดำของสายฟ้าใส่เป็นชุดกระโปรง
โชคดีของเธอที่สายฟ้าตัวสูงและเธอเองก็เป็นผู้หญิงขนาดปกติ
เสื้อยืดเลยดูเป็นกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูน่ารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของสายฟ้า
เขายิ้มให้จนตาหยีเมื่อเธอเดินมาหมุนตัวโชว์หลังจากเปลี่ยนชุด
“เดี๋ยวก่อน!”
สายฟ้าที่กำลังผูกเชือกรองเท้าผ้าใบหยุดชะงัก
“...เอ่อ ยืมรองเท้าแตะแม่นายก่อนนะ ไปข้างนอกแล้วเดี๋ยวจะรีบยืมเงินเธอซื้อแตะคีบถูกๆใช้นะ แหะๆ”
เมื่อทั้งสองไปถึงบ้านหมอคณาคุณแม่บ้านออกมาต้อนรับเหมือนเดิม
แล้วทั้งหมดก็พากันเดินไปด้านในห้องเดิมที่ใช้เป็นที่เรียนที่สอนสะกดจิต
“อาจารย์คะ เมื่อวันก่อนดาวฝันถึงอีกชาติหนึ่งแต่คราวนี้ไม่มีสายฟ้าอยู่ด้วยเลยค่ะ”
พราวนภารีบเล่าในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะพบเจอให้หมอคณาฟัง
จริงๆแล้วพราวนภาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ความฝันหรือได้ข้ามไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ในเมื่อนอนหลับแล้วเห็นก็เรียกว่าฝันเอาไว้ก่อนละกัน
“แปลก”
“แปลกหรือคะ”
หมอคณานิ่งคิดก่อนจะกล่าวว่า
“จริงๆมันก็ไม่ได้แปลก เพียงแต่ว่าเรายังไม่รู้สาเหตุ”
หมอคณาชี้ให้ดูกลุ่มอื่นๆที่กำลังฝึก
“เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ ดูอย่างกลุ่มนั้น เขาฝึกกันมาเกือบครึ่งปี แต่หนูสามารถไปได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครแนะนำเลย”
พราวนภาทำหน้างง
“อ้าว แล้วที่สายฟ้าเขาไปด้วยในคราวก่อนๆได้ล่ะคะ สายฟ้าก็ทำได้เหมือนกัน”
หมอคณาเหลือบมองสายฟ้าที่กำลังยกมือเสยผมอย่างเขินๆ
“เรื่องนั้นหนูดาวต้องถามสายฟ้าเขาแล้วล่ะ แต่อย่างที่เคยพูดสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยแปลผันตามกาลเวลาคือแรงดึงดูด”
พราวนภาพยักหน้าทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอเองก็ไม่ได้เข้าใจเท่าไหร่
เรื่องแรงดึงดูดหรือแรง G (gravity) ของดาวหนึ่งไม่เคยแปลผันตามเวลา ไม่ว่าเวลาจะผ่านผันไปนานเท่าไร แรงโน้มถ่วงนั้นก็ยังเท่าเดิม
แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรของเธอถึงดึงดูดสายฟ้าหรือสายฟ้าดึงดูดเธอ
คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่า ‘อ่อ ตอนเกิดเป็นพารามีเซียมแน่เลย’
“อาจารย์คะ งั้นเรากลับไปดูได้ไหมคะว่าทำไมหนูถึงได้มีความสามารถที่ว่าในชาตินี้”
หมอคณาดึงพราวนภาสู่ความสงบและดิ่งลึกลงไปเพื่อหาคำตอบ
“สาม สอง หนึ่ง”
การนับถอยหลังเป็นสัญญาณว่าผู้ถูกสะกดจิตกำลังจะไปสู่ต้นตอของคำถาม
“หนูเห็นบรรยากาศรอบข้างสว่างสดใส ทุกอย่างล้วนเป็นประกายสีขาวสะอาดตา ลมพัดไม่หนาวแต่เย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก”
“หนูกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้หนูเป็นใคร”
พราวนภาขมวดคิ้วแล้วตอบด้วยความไม่แน่ใจ
“ดาวกำลังนั่งสมาธิอยู่บนศาลาเล็กๆ...”
เหมือนมีลมวูบพัดมาข้างกายพราวนภา ทันใดนั้นท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไป
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือเรา”
เธอดูสงบนิ่งสุขุม ไม่เหมือนเธอจริงๆในร่างนี้
“เราคือพราวนภาของพวกท่าน แต่เราอยู่อีกที่หนึ่งในจักรวาลแห่งนี้”
หมอคณาพนมมือด้วยรู้สึกว่าตอนนี้กำลังคุยกับใครสักคนที่...ไม่ธรรมดา
“บอกกระผมได้ไหมครับว่าท่านเป็นใคร แล้วมาที่นี่เพื่ออะไรครับ”
“เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อบำเพ็ญเพียรความดีดังที่พระอาจารย์ของเราแนะนำ เราคือ...”
เกิดลมแรงพัดรอบตัวของทั้งหมดอีกครั้ง
พราวนภาถูกพัดจนตัวเกือบตกเก้าอี้ถ้าไม่มีสายฟ้ารีบมาประคองไว้
“เป็นอย่างไรบ้างหนูดาว”
“ดาวโอเคค่ะ”
พราวนภาขึ้นนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง แล้วละล่ำละลักบอก
“ดาว...ดาวรู้สึกว่าตัวเองเป็นเณร ดาวนุ่งห่มเหลืองร่างกายเป็นเด็กชายแต่...”
เธอยกมือปาดเหงือที่ไหลลงข้างแก้ม
“แต่ดาวรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมาหลายร้อยปีแล้ว!”
ตั้งแต่ได้รับรู้ว่าเธอในตอนนี้ได้เกิดมาเพื่อจะบำเพ็ญเพียรสร้างบุญสร้างกุศล
ทำให้พราวนภาเข้มงวดในการนั่งสมาธิมากขึ้น จากที่ทำบ้างไม่ทำบ้างเป็นทุกวันก่อนนอนเป็นอย่างน้อย