การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์บางประเภทคือการอนุรักษ์ระบบนิเวศ

.

.
Gough Island 
.
.

Gough คือ เกาะขนาดเล็ก
ที่อยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกใต้
ตั้งอยู่ระหว่างทวีปอเมริกาใต้กับทวีปแอฟริกา
มีพื้นที่เป็นโขดหินขนาด 25 ตารางไมล์
เกาะแห่งนี้เป็นที่พักนกทะเลกว่า 10 ล้านตัว
นกที่มีสายพันธุ์แตกต่างกันถึง 20 ชนิด
เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกในเขตอนุรักษ์

.
.

.


แต่ฆาตกรเลือดเย็นที่เคลื่อนไหว
ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว คือ หนูบ้านผู้รุกราน
พวกสัตว์นักแทะฟันสองคู่ข้างหน้า
ในพื้นที่ไร้นักล่าตามธรรมชาติ
จึงทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็น
แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของพวกหนู
ที่รวมฝูงกันเป็นฆาตกรที่ตะกละตะกราม
ล่าสัตว์ชนิดอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย

.

ฝูงหนูต่างพากันกัดกินลูกนก
หรือไข่นก Tristan albatross
นกที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวหนูถึง 300 เท่า

ลูกนกที่รอดตายจนกว่าจะเติบโตเป็นนกใหญ่
ก็ต่อเมื่อแม่มันหรือพ่อมัน เฝ้ารังนกอยู่เท่านั้น
ในภาพจะเห็นซากนกที่ถูกพวกหนูกัดกิน

.
.

.
.

ระบบนิเวศที่เปราะบาง
มีอยู่แทบทั่วทุกมุมโลกเช่น เกาะ Gough
บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรน
ต่อสู้กับผู้รุกรานต่างถิ่น

พืชต่างถิ่นที่ไม่ใช่พืชพื้นเมืองดั้งเดิม
และสัตว์แปลกถิ่นที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่
ทำให้สภาพแวดล้อมขาดสมดุลทางธรรมชาติ
และสร้างหายนะให้กับสายพันธุ์พืชถิ่นเดิม
และสัตว์พื้นเมืองประจำถิ่นนั้น ๆ
ทำให้คุณภาพชีวิตของสัตว์/พืชในพื้นที่
ต่างตกอยู่ในความเสี่ยงระยะยาว

เฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ต้องสูญเสียงบประมาณไปปีละ
หลายพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
กับภัยพิบัติที่ต้องเผชิญหน้า
ในการรับมือพืชและสัตว์แปลกปลอม
และในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ 
ที่มา  https://goo.gl/XiD5Q1
.
.

ถึงแม้ว่าระบบนิเวศเกือบทุกแห่ง
จะถูกรุกรานด้วยพืชและสัตว์แปลกปลอม
แต่บรรดาเกาะแก่งต่าง ๆ
กลับมีความเสี่ยงมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่
เป็นแหล่งสำคัญในการเพาะพันธุ์
พืชและสัตว์พื้นเมืองเฉพาะถิ่นเท่านั้น

การทำสงครามกับผู้รุกรานสภาพแวดล้อม
มียุทธวิธีเดียวเท่านั้น  คือ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้รุกรานทั้งหมด
เพราะเป็นวิธีการที่ได้พิสูจน์แล้วว่า
มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลมากที่สุด

แม้ว่าจะมีพวกโลกสวยบางคน
จะให้ความเห็นในเชิงลบว่า
การฆ่าสัตว์จำนวนมาก
จะขัดกับหลักการอนุรักษ์ธรรมชาติ

แต่ปรากฎว่ามีประจักษ์พยาน
และหลักฐานจำนวนมาก
ที่ยืนยันผลและพิสูจน์ผลลัพธ์
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์ผู้รุกราน

การกำจัดการแพร่กระจาย
พันธุ์พืชต่างถิ่นและสัตว์ที่รุกราน
ให้ไปให้พ้นจากระบบนิเวศ
ที่เคยถูกพวกมันคุกคามมาตลอด
ทำให้เกิดการฟื้นฟูแหล่งอาหารธรรมชาติ
กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พืช/สัตว์พื้นเมือง
ที่ใกล้จะสูญพันธุ์/เสี่ยงต่อภาวะสูญพันธุ์
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลมากที่สุด

.
.

.
.


สายพันธุ์ที่รุกราน

ด้วงพันธุ์พื้นเมือง(ด้วงหนวดยาว)
จากเอเชียตะวันออก ได้เข้ามาสู่
ภาคตะวันออกของสหรัฐฯ และแคนาดา
โดยการติดมากับไม้ลังที่บรรจุสินค้า
พวกมันเจาะรูเข้าไปในต้นไม้เนื้อแข็ง
เพื่อวางไข่ในรูไม้ ให้ตัวอ่อนฟักตัว
โดยทำลายเนื้อไม้จากข้างในออกมาสู่ข้างนอก
(ขายไม่ได้ราคาเพราะไม้มีรู ต้องโป๊ว/ปะรู)

พ้นธุ์ต้นไม้เนื้อแข็งถึง 13 ชนิดที่แตกต่างกัน
กลายเป็นเหยื่อของผู้รุกรานทำลายเนื้อไม้
จนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า
ด้วงหนวดยาวจะทำลายเนื้อไม้ได้มากมาย

.
.

.
.

.
.

.
© https://goo.gl/S58QIx
.
.



เรื่องที่น่ากลัวมากที่สุดคือ
สิ่งมีชีวิตผู้รุกรานที่กลายพันธุ์
ถ้าพวกมันเข้าไปอยู่ในระบบนิเวศ
ที่ไม่เคยอาศัยอยู่มาก่อนเลย
ถ้ายิ่งพวกมันมีคุณลักษณะที่พิเศษอย่างยิ่ง
ก็จะเป็นอันตรายมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ

ยิ่งถ้าพวกมันกระจายตัวได้เร็ว
ด้วยการแพร่พันธุ์มีการเติบโต
และขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
จะทำการกัดกินสัตว์อื่น ๆ
หรือรุกรานพืชอื่น ๆ ได้อย่างไร้ปราณี

พืชและสัตว์ผู้รุกรานสามารถทำลาย
พืช หรือสัตว์พื้นเมืองได้อย่างแรง
พวกมันมาได้ทุกรูปแบบ/มีขนาดต่างกัน ๆ เช่น

.
.

.
.

.
พืชเถาไม้เลื้อย Kudzu ที่แผ่ขยายพันธุ์
ในพื้นที่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา https://goo.gl/6efU83
.
.

.
ปลาคาร์พเอเชียที่เริ่มรุกรานปลาพื้นเมือง
ตามแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบในสหรัฐฯ http://goo.gl/C9dAqz
.
.

.
งูเหลือมพม่าที่แพร่พันธุ์เติบโต
ใน Everglades รัฐฟลอริด้า
.
.



ยิ่งพื้นที่บนเกาะ  มีพืชและสัตว์ที่รุกราน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม
ที่ไม่มีแหล่งกำเนิดในหมู่เกาะมหาสมุทร
เป็นสัตวที่มีอันตรายมากที่สุด
มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้รุกราน
ที่เลวร้ายที่สุด/น่ากลัวที่สุด

หมู่เกาะเพียง 5.5% ของพื้นที่โลก
เป็นแหล่งกำเนิดสายพันธุ์เฉพาะถิ่นถึง 15%
เป็นพื้นที่เฉพาะของความหลากหลาย
ทางชีวภาพพืชและสัตว์หลายประเภท
ซึ่งจะมีเฉพาะพื้นที่บนเกาะ
และ ณ ที่เกาะแห่งนั้นเท่านั้น



" นกที่ครอบครองระบบนิเวศบนเกาะ
มีความหลากหลายชีวภาพมากกว่าพื้นดินใหญ่ "

Nick Holmes ผู้อำนวยการ
วิทยาศาสตร์การอนุรักษ์เกาะ
ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
ผู้มีความเชี่ยวชาญในการกำจัด
ศัตรูผู้รุกรานออกจากเกาะ ได้กล่าวว่า

" สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมผู้รุกราน
มักจะถูกนำไปยังเกาะเหล่านั้น
โดยบังเอิญหรือโดยวัตถุประสงค์บางอย่าง
แล้วในไม่ช้าพวกมันจะครอบครอง
และมีอิทธิพลได้อย่างรวดเร็ว "

เป็นผลให้การสูญพันธ์ของสัตว์พื้นเมือง
เกิดชึ้นกว่า 61% ทั่วโลกตั้งแต่ปีค.ศ.1500
เรื่องแบบนี้ได้เกิดขึ้นบนเกาะส่วนใหญ่
เป็นผลมาจากการที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ได้เข้าไปรุกรานและแย่งชิงอาหาร
กับถิ่นที่อยู่ของสัตว์พื้นเมืองดั้งเดิม
ที่เคยใช้เป็นที่อยู่อาศัย/แหล่งอาหารสำคัญ

หนูเป็นหนึ่งในสัตว์ชนิดที่แพร่พันธุ์
ได้ร้ายแรงที่สุดต่อระบบนิเวศบนเกาะ

ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น
เช่น แพะ สุกร
ก็เป็นส้ตว์รุกรานที่พบได้มากที่สุดเช่นกัน

แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เลวร้ายที่สุด
คือ หนูและแมว ถ้าไม่นับมนุษย์
.
.

Holly Jones นักอนุรักษ์ชีววิทยา
จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เหนือ ระบุว่า

" หนูเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์
พวกมันกระจายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วมาก
มีมากถึง 90% ของหมู่เกาะบนพื้นโลก
พวกมันเลวสุด ๆ เพราะกินได้ทั้งพืชและสัตว์
พวกมันกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
และอะไรก็ได้ที่กินได้ "

Holly Jones คือ ผู้เขียนบทนำในหน้ากระดาษ
เพื่อให้ครอบคลุมรายละเอียดคุณสมบัติ
ของการกำจัดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมผู้รุกราน
โดย Holmes เป็นหนึ่งในนักเขียนร่วม
ในหนังสือเล่มนี้ที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ใน  Proceedings of the National Academy of Sciences




แมว  แม้ว่าจะไม่ค่อยแพร่หลายเหมือนกับหนู
แต่พวกมันก็ปรับตัวได้อย่างเชี่ยวชาญมากขึ้น
ก็ยิ่งทำลายประชากรสัตว์พื้นเมืองได้อย่างสิ้นเชิง

แมว รู้จักกันดีในอีกฉายาว่า  นักล่าสัตว์ชั้นเยี่ยม
บนพื้นที่เกาะที่กำลังบูรณะให้ปลอดจากสัตว์ผู้รุกราน

" พวกมันไม่เพียงแต่ล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร
แต่พวกมันล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนานด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแมววายร้ายกำลังนั่ง
ถัดจากนกทะเลที่ตายเป็นกองภูเขาเลากา
แทบจะไม่ต้องสังเกตแต่อย่างใดเลย "
Holly Jones ได้ตั้งข้อสังเกตไว้

.
.

.
.


การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์  คือ เครื่องมือที่ดีที่สุด
แต่ค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์
ความหลากหลายทางชีวภาพ
จะตกประมาณปีละกว่า 
21.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่เกิดขึ้น
ในพื้นที่จำนวนมาก/หลายแห่ง

ผลกระทบเชิงบวกที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
คือ พืชและสัตว์พื้นเมืองที่เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
มีประจักษ์พยานและหลักฐานยืนยัน
จากรายงานเอกสารของ Holly Jones
ที่ได้รวบรวมข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์
จำนวน 30 คนทั่วโลก

พบว่าสัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองประจำถิ่นของเกาะ
ที่มีสายพันธุ์/ชนิดที่แตกต่างกันจำนวน 236 ชนิด
ได้รับประโยชน์จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้รุกราน
ในพื้นที่บางส่วนถึง 181 เกาะ
ทำให้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์
และฟื้นฟูส้ตว์พื้นเมืองประจำถิ่นขึ้นมาใหม่

นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะหากลยุทธ์
ที่ชัดเจนและได้ผลอย่างมาก
ในการทำงานแบบที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้

" การทำแบบนี้ มันค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับ
การการอนุรักษ์ในแบบอื่น ๆ (ที่ผ่านมาแล้ว) "  Holly Jones กล่าว



.
.
จำนวนนก Scripps's murrelet บน
เกาะ Anacapa, เกาะ Channel รัฐ California
เพิ่มมากขึ้นกว่า 3 เท่า มีจำนวนรังเพิ่มขึ้น 14%
หลังจากฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หนู
© http://goo.gl/4mA6LI
.
.


เป้าหมายที่ชัดเจนต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ในการกำจัดศัตรูที่รุกราน เป็นเรื่องที่ท้าทาย
การทำงานที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนด้วยเช่นกัน

หลักการทั่วไปในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ด้วยการล่าสัตว์และการวางกับดัก
ยังเหมาะสมและใช้การได้ดีกับ
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ เช่น แพะ

การวางยาเบื่อหนู
พวกหนูหริ่งและหนูนาขนาดใหญ่
ผลลัพธ์ในแต่ละวันแทบไม่แตกต่างกันเลย
เพราะพวกมันต้องพบจุดจบตามที่ต้องการ

Peter Haverson นักอนุรักษ์ชีววิทยา
ที่มีส่วนร่วมในการกำจัดผู้รุกราน
บรรดานกนานาชนิดบนเกาะ
ได้ประสบความสำเร็จระดับโลก  
ได้สะท้อนความคิดเห็นว่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่