สวัสดีครับ บทความนี้เป็นบทความชิ้นที่สองแล้ว ในบทความแรก ผมพูดเรื่อง" Technicalง่ายๆสไตล์เด็กวัยรุ่น " ที่ใช้คำว่าเด็กวัยรุ่นเพราะว่าผมเรียนอยู่ เผื่อใครสงสัย ลองอ่านดูได้ครับ
http://ppantip.com/topic/34948285 ในบทความนี้ผมลองเขียนอีกแนวนึงดูครับ อาจจะไม่ยากเหมือนบทที่แล้ว แต่บทนี้เขียนมาเพื่อให้ใครๆก็เข้าใจได้ง่ายๆครับ งั้นมาเริ่มกันเลยยยยย
ในสมัยนี้เริ่มเห็นนักศึกษาเล่นหุ้นกันมากขึ้นว่ามั้ยครับ แต่ก็ยังน้อยอยู่ถ้าเทียบกับผู้ใหญ่วัยทำงาน ผมเองก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่งไม่ขอเอ่ยนามแถวสยาม เพื่อนของผมชอบบอกผมอยู่เรื่อยว่าเรายังอยู่ในวัยเรียน หน้าที่ของเราคือเรียนหนังสือ ก็ต้องทุ่มเทให้กับการเรียน พอเรียนจบไปก็ค่อยศึกษาเรื่องหุ้นก็ยังไม่สาย
ผมไม่เถียงครับว่าเราต้องทุ่มเทให้กับการเรียน เพราะการเรียนจะได้ทำให้คนมีงานที่ดีทำ แต่ในมุมมองของผมคิดว่าระบบการศึกษาของบ้านเราค่อนข้างแปลก เราทนเรียน18ปีเพื่อมากินเงินเดือน15,000บาทหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย คือผมไม่ได้ต่อต้านระบบการทำงานนะครับ เพราะว่าระบบการทำงานสอนให้เรารู้จักการมีวินัย การตรงต่อเวลา การปรับตัวให้เข้ากับสังคม
แต่ระบบการศึกษาหรือระบบการทำงานของบ้านเราค่อนข้างจะบิดเบี้ยวเมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่นเงินเดือนเริ่มต้นของคนเกาหลี สำหรับคนที่จบปริญญาตรี คิดเป็นเงินไทยแล้วประมาณ7หมื่นบาท ถึงแม้ว่าค่าครองชีพบ้านเขาจะแพง แต่มันก็เป็นเงินเดือนขั้นต่ำที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว
แต่ระบบบ้านเรามันถูกดัดแปลงด้วยอะไรบางอย่าง เลยทำให้อำนาจการต่อรองของลูกจ้างมีน้อยกว่านายจ้าง ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นระบบที่ค่อนข้างไม่เป็นธรรมสำหรับคนที่เรียนมามากขนาดนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลข้อนึงว่าทำไมผมถึงเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่สมัยเรียน
รู้รึปล่าวครับว่าถ้าเริ่มศึกษาตั้งแต่อายุน้อยๆนี่ บอกได้เลยครับว่าได้เปรียบมหาศาล เพราะต้นทุนที่สำคัญที่สุดจริงๆ ไม่ใช่เงินนะครับ หลายคนเข้าใจว่าเป็นเงินแต่จริงๆไม่ใข่ เวลาต่างหาก ไม่ใช่เวลาที่เสียไปนะ แต่เป็นเวลาที่เหลืออยู่ของเราต่างหาก ทำไมหน่ะหรอ? งั้นมาฟังกันเลยยยยย
เหตุผลหลักที่ทำให้ผมเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆเลย เคยได้ยินประโยคนี้มั้ยครับ “Compound interest is the eighth wonder of the world. He who understands it, earns it ... he who doesn't ... pays it.” แปลเป็นไทยก็จะได้ว่า “ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันดับที่8 ใครเข้าใจมันได้ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาลจากมันไป…” เป็นคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่สุดยอดมากคนนึงนั่นเองครับ
ซึ่งต้องใช้เวลาในการทบต้นของแต่ละครั้ง ยิ่งมีเวลามาก พลังของเงินทบต้นก็จะมากตามไปด้วย เช่น ถ้าคุณสามารถทำกำไรได้ปีละ10% ไม่ว่าจะเป็นกำไรจากการได้ดอกเบี้ยหรือกำไรจากเงินปันผล ภายใน10ปีคุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นประมาณ2.5เท่า และเมื่อถึงปีที่40คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นถึง40เท่าตัวเลยทีเดียว ก็คือสมมุติถ้าคุณมีเงินลงทุนเริ่มต้น1ล้านบาท ผ่านไป40ปี เงินคุณก็จะกลายเป็น40ล้านบาทเลย เหมือนพอร์ตคุณโตปีละ100%เลยนะ อึ้งมั้ยๆ 555+
สำหรับการเทรด ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกเบี้ยก็ได้ครับ แต่เป็นกำไรที่สะสมเรื่อยๆมาเพิ่มในพอร์ตการลงทุนก็ได้ครับ ผมขอเรียกมันว่า “ ความมหัศจรรย์ของเงินทบต้น” แล้วกัน แล้วต่างกันยังไงกับดอกเบี้ยทบต้น? ต่างกันตรงที่การเทรดสามารถเร่งรอบได้เร็วกว่าดอกเบี้ยนั่นเอง การเร่งรอบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเทรดให้บ่อยนะครับ แต่เป็นการเทรดให้เกิดการทบต้นของเงินเร็วที่สุด หัวใจของการสร้างพอร์ตให้โตคือ เมื่อกำไรมันมา ทบต้นให้เร็วที่สุด บางทีอาจไม่ต้องรอให้ได้ดอกเบี้ยปีละ10%เลย บางทีถ้าเร่งรอบดีๆ เดือนเดียวอาจจะได้มากกว่านั้นแล้วด้วยซ้ำ แล้วถ้าทบต้นเข้าไปอีกนะ อื้อหืออ ไม่อยากจะคิดเลย 555+ เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเงินทบต้นรึยังครับ
แต่สุดท้ายแล้ว ยังไงการเทรดมันก็คือการเกร็งกำไร มันคือการ Work for Money ไม่ใช่ Financial Freedom ถ้าหยุด เงินก็ไม่เพิ่ม ถ้าอยากมีอิสระภาพทางการเงินจริงๆก็ต้องลงทุนระยะยาวเท่านั้นครับ แต่ช่วงแรกๆที่เงินทุนยังไม่เยอะพอ แนะนำให้เร่งรอบให้พอร์ตโตเร็วไปก่อน แล้วพอถึงจุดๆนึงก็แบ่งเงินไปลงทุนในAsset ที่ถือยาวก็ได้ครับ
แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเงินเยอะเป็นล้านนะครับถึงจะลงทุนได้ อีกหนึ่งปัญหาหลักๆของวัยรุ่นเลยคือไม่มีเงินเล่นหุ้น เพื่อนผมเคยบอกว่ามีเงินไม่กี่พันไม่กี่หมื่นบาท เล่นไปก็ไม่ได้อะไร มันได้น้อย ต้องเล่นกันหลักล้านถึงจะได้เยอะ แรกๆผมก็เชื่อนะ เพราะตอนนั้นผมยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก แต่ตอนนี้มีแล้ว ไม่งั้นจะมาเขียนบทความนี้ได้หรอ 555+
คือตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ จริงอยู่ที่ว่าถ้าเรามีเงินลงทุนเยอะ ผลตอบแทนก็จะเยอะตามไปด้วย แต่เคยคิดมั้ยว่าเวลาเสียก็เสียเยอะเหมือนกัน คนส่วนใหญ่มองเห็นแต่เสน่ห์ของตลาดหุ้น แต่กลับไม่เคยเห็นถึงความน่ากลัวของมันเลยว่าถ้าเข้าแล้วผิดทางจะต้องเจอกับอะไร สุดท้ายก็นำไปสู่การขาดทุนอย่างหนัก อย่าลืมสิว่าคนส่วนใหญ่มากกว่า80%ในตลาดหุ้นหน่ะขาดทุน แต่จะมีเพียงไม่ถึง20%เท่านั้นที่กำไร แล้วคุณคิดว่าคุณจะเหนือชั้นกว่าคน80%ที่ขาดทุนได้เหรอ? ยิ่งเป็นมือใหม่ ยิ่งน่าเป็นห่วง
ผมเข้าใจครับว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น หวังรวยกันทุกคน คงไม่มีใครหวังจน แต่ผมอยากจะบอกว่า ก่อนจะรวยต้องรอดก่อน อย่าพึ่งไปคิดว่าเราจะสร้างเงินได้จากตลาดหุ้นมากขนาดไหน เพราะคุณกำลังจะเจอกับคู่แข่งที่มีเงินมากกว่าคุณ คู่แข่งที่มีความรู้ และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าคุณ คือถ้าคุณเป็นแค่นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินน้อยกว่านักลงทุนรายใหญ่ มีความรู้น้อยกว่าเทรดเดอร์มืออาชีพ หรือมีข้อมูลน้อยกว่านักลงทุนสถาบัน โจทย์ข้อแรกคือ "คุณต้องรอด" ไม่ใช่คุณต้องรวย
ดังนั้น เลิกซะ!! เลิกฝันหวานกำไรจากตลาดหุ้นได้แล้ว แต่ให้คิดว่าทำยังไงถึงจะไม่ขาดทุนหนัก ทำยังไงถึงจะอยู่รอดได้ในระยะยาวได้ ก่อนอื่นเลยก็ต้องควบคุมความเสี่ยงไม่ให้ขาดทุนหนักก่อน เพราะการควบคุมความเสี่ยงสำคัญกว่าการสร้างผลกำไร กำไรมากกำไรน้อยช่างมัน ขอแค่เสี่ยงน้อยเป็นพอ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ให้ใช้เงินน้อยๆเล่น เวลาเสียจะได้เสียไม่มาก เพราะเริ่มแรกคุณจะเสียมากกว่าได้แน่ๆ เว้นแต่ว่าคุณเข้ามาในตลาดที่มันเป็นขาขึ้น ลองเข้ามาในตลาดขาลงแบบผมสิ รับรอง..... หึๆ
สิ่งที่มือใหม่อย่างเราต้องการไม่ใช่ผลกำไรที่มาก แต่เป็นประสบการณ์ ทักษะในการเทรด การบริหารความเสี่ยงและวิธีคิดที่ถูกต้องต่างหากซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเลย พอเรามีความรู้มากขึ้น ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนเงินลงทุนให้มากขึ้น แบบนี้ก็ยังไม่สายครับ ดีกว่าคุณใช้เงินออมเกือบทั้งหมดไปเล่นโดยไม่มีความรู้ ทำแบบนี้ระวังจะเจ๊งได้นะครับ ดังนั้นเลิกคิดซะนะครับว่าเงินพันเดียวหมื่นเดียวทำอะไรไม่ได้ เงินพันเดียวหมื่นเดียวทำอะไรได้เยอะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณไม่หมดตัว อิอิ ^___^
สุดท้ายแล้ว สำหรับคนที่ยังลังเล ยังไม่พร้อมหรือมีเหตุผลข้ออ้าง108ประการอะไรก้แล้วแต่ที่ยังไม่เข้ามาในตลาดหุ้น อย่าลืมว่าต้นทุนที่สำคัญที่สุด มันลดลงทุกวันนะ ก็ลองคิดดูครับว่าถ้า “อยากมี” ในสิ่งที่ไม่เคยมี ก็ต้อง “ลองทำ” ในสิ่งที่ไม่เคยทำ
ทำไมต้องเริ่มเทรด(หุ้น)ตั้งแต่อายุน้อยๆ?
ในสมัยนี้เริ่มเห็นนักศึกษาเล่นหุ้นกันมากขึ้นว่ามั้ยครับ แต่ก็ยังน้อยอยู่ถ้าเทียบกับผู้ใหญ่วัยทำงาน ผมเองก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่งไม่ขอเอ่ยนามแถวสยาม เพื่อนของผมชอบบอกผมอยู่เรื่อยว่าเรายังอยู่ในวัยเรียน หน้าที่ของเราคือเรียนหนังสือ ก็ต้องทุ่มเทให้กับการเรียน พอเรียนจบไปก็ค่อยศึกษาเรื่องหุ้นก็ยังไม่สาย
ผมไม่เถียงครับว่าเราต้องทุ่มเทให้กับการเรียน เพราะการเรียนจะได้ทำให้คนมีงานที่ดีทำ แต่ในมุมมองของผมคิดว่าระบบการศึกษาของบ้านเราค่อนข้างแปลก เราทนเรียน18ปีเพื่อมากินเงินเดือน15,000บาทหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย คือผมไม่ได้ต่อต้านระบบการทำงานนะครับ เพราะว่าระบบการทำงานสอนให้เรารู้จักการมีวินัย การตรงต่อเวลา การปรับตัวให้เข้ากับสังคม
แต่ระบบการศึกษาหรือระบบการทำงานของบ้านเราค่อนข้างจะบิดเบี้ยวเมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่นเงินเดือนเริ่มต้นของคนเกาหลี สำหรับคนที่จบปริญญาตรี คิดเป็นเงินไทยแล้วประมาณ7หมื่นบาท ถึงแม้ว่าค่าครองชีพบ้านเขาจะแพง แต่มันก็เป็นเงินเดือนขั้นต่ำที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว
แต่ระบบบ้านเรามันถูกดัดแปลงด้วยอะไรบางอย่าง เลยทำให้อำนาจการต่อรองของลูกจ้างมีน้อยกว่านายจ้าง ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นระบบที่ค่อนข้างไม่เป็นธรรมสำหรับคนที่เรียนมามากขนาดนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลข้อนึงว่าทำไมผมถึงเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่สมัยเรียน
รู้รึปล่าวครับว่าถ้าเริ่มศึกษาตั้งแต่อายุน้อยๆนี่ บอกได้เลยครับว่าได้เปรียบมหาศาล เพราะต้นทุนที่สำคัญที่สุดจริงๆ ไม่ใช่เงินนะครับ หลายคนเข้าใจว่าเป็นเงินแต่จริงๆไม่ใข่ เวลาต่างหาก ไม่ใช่เวลาที่เสียไปนะ แต่เป็นเวลาที่เหลืออยู่ของเราต่างหาก ทำไมหน่ะหรอ? งั้นมาฟังกันเลยยยยย
เหตุผลหลักที่ทำให้ผมเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆเลย เคยได้ยินประโยคนี้มั้ยครับ “Compound interest is the eighth wonder of the world. He who understands it, earns it ... he who doesn't ... pays it.” แปลเป็นไทยก็จะได้ว่า “ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันดับที่8 ใครเข้าใจมันได้ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาลจากมันไป…” เป็นคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่สุดยอดมากคนนึงนั่นเองครับ
ซึ่งต้องใช้เวลาในการทบต้นของแต่ละครั้ง ยิ่งมีเวลามาก พลังของเงินทบต้นก็จะมากตามไปด้วย เช่น ถ้าคุณสามารถทำกำไรได้ปีละ10% ไม่ว่าจะเป็นกำไรจากการได้ดอกเบี้ยหรือกำไรจากเงินปันผล ภายใน10ปีคุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นประมาณ2.5เท่า และเมื่อถึงปีที่40คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นถึง40เท่าตัวเลยทีเดียว ก็คือสมมุติถ้าคุณมีเงินลงทุนเริ่มต้น1ล้านบาท ผ่านไป40ปี เงินคุณก็จะกลายเป็น40ล้านบาทเลย เหมือนพอร์ตคุณโตปีละ100%เลยนะ อึ้งมั้ยๆ 555+
สำหรับการเทรด ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกเบี้ยก็ได้ครับ แต่เป็นกำไรที่สะสมเรื่อยๆมาเพิ่มในพอร์ตการลงทุนก็ได้ครับ ผมขอเรียกมันว่า “ ความมหัศจรรย์ของเงินทบต้น” แล้วกัน แล้วต่างกันยังไงกับดอกเบี้ยทบต้น? ต่างกันตรงที่การเทรดสามารถเร่งรอบได้เร็วกว่าดอกเบี้ยนั่นเอง การเร่งรอบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเทรดให้บ่อยนะครับ แต่เป็นการเทรดให้เกิดการทบต้นของเงินเร็วที่สุด หัวใจของการสร้างพอร์ตให้โตคือ เมื่อกำไรมันมา ทบต้นให้เร็วที่สุด บางทีอาจไม่ต้องรอให้ได้ดอกเบี้ยปีละ10%เลย บางทีถ้าเร่งรอบดีๆ เดือนเดียวอาจจะได้มากกว่านั้นแล้วด้วยซ้ำ แล้วถ้าทบต้นเข้าไปอีกนะ อื้อหืออ ไม่อยากจะคิดเลย 555+ เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเงินทบต้นรึยังครับ
แต่สุดท้ายแล้ว ยังไงการเทรดมันก็คือการเกร็งกำไร มันคือการ Work for Money ไม่ใช่ Financial Freedom ถ้าหยุด เงินก็ไม่เพิ่ม ถ้าอยากมีอิสระภาพทางการเงินจริงๆก็ต้องลงทุนระยะยาวเท่านั้นครับ แต่ช่วงแรกๆที่เงินทุนยังไม่เยอะพอ แนะนำให้เร่งรอบให้พอร์ตโตเร็วไปก่อน แล้วพอถึงจุดๆนึงก็แบ่งเงินไปลงทุนในAsset ที่ถือยาวก็ได้ครับ
แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเงินเยอะเป็นล้านนะครับถึงจะลงทุนได้ อีกหนึ่งปัญหาหลักๆของวัยรุ่นเลยคือไม่มีเงินเล่นหุ้น เพื่อนผมเคยบอกว่ามีเงินไม่กี่พันไม่กี่หมื่นบาท เล่นไปก็ไม่ได้อะไร มันได้น้อย ต้องเล่นกันหลักล้านถึงจะได้เยอะ แรกๆผมก็เชื่อนะ เพราะตอนนั้นผมยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก แต่ตอนนี้มีแล้ว ไม่งั้นจะมาเขียนบทความนี้ได้หรอ 555+
คือตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ จริงอยู่ที่ว่าถ้าเรามีเงินลงทุนเยอะ ผลตอบแทนก็จะเยอะตามไปด้วย แต่เคยคิดมั้ยว่าเวลาเสียก็เสียเยอะเหมือนกัน คนส่วนใหญ่มองเห็นแต่เสน่ห์ของตลาดหุ้น แต่กลับไม่เคยเห็นถึงความน่ากลัวของมันเลยว่าถ้าเข้าแล้วผิดทางจะต้องเจอกับอะไร สุดท้ายก็นำไปสู่การขาดทุนอย่างหนัก อย่าลืมสิว่าคนส่วนใหญ่มากกว่า80%ในตลาดหุ้นหน่ะขาดทุน แต่จะมีเพียงไม่ถึง20%เท่านั้นที่กำไร แล้วคุณคิดว่าคุณจะเหนือชั้นกว่าคน80%ที่ขาดทุนได้เหรอ? ยิ่งเป็นมือใหม่ ยิ่งน่าเป็นห่วง
ผมเข้าใจครับว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น หวังรวยกันทุกคน คงไม่มีใครหวังจน แต่ผมอยากจะบอกว่า ก่อนจะรวยต้องรอดก่อน อย่าพึ่งไปคิดว่าเราจะสร้างเงินได้จากตลาดหุ้นมากขนาดไหน เพราะคุณกำลังจะเจอกับคู่แข่งที่มีเงินมากกว่าคุณ คู่แข่งที่มีความรู้ และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าคุณ คือถ้าคุณเป็นแค่นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินน้อยกว่านักลงทุนรายใหญ่ มีความรู้น้อยกว่าเทรดเดอร์มืออาชีพ หรือมีข้อมูลน้อยกว่านักลงทุนสถาบัน โจทย์ข้อแรกคือ "คุณต้องรอด" ไม่ใช่คุณต้องรวย
ดังนั้น เลิกซะ!! เลิกฝันหวานกำไรจากตลาดหุ้นได้แล้ว แต่ให้คิดว่าทำยังไงถึงจะไม่ขาดทุนหนัก ทำยังไงถึงจะอยู่รอดได้ในระยะยาวได้ ก่อนอื่นเลยก็ต้องควบคุมความเสี่ยงไม่ให้ขาดทุนหนักก่อน เพราะการควบคุมความเสี่ยงสำคัญกว่าการสร้างผลกำไร กำไรมากกำไรน้อยช่างมัน ขอแค่เสี่ยงน้อยเป็นพอ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ให้ใช้เงินน้อยๆเล่น เวลาเสียจะได้เสียไม่มาก เพราะเริ่มแรกคุณจะเสียมากกว่าได้แน่ๆ เว้นแต่ว่าคุณเข้ามาในตลาดที่มันเป็นขาขึ้น ลองเข้ามาในตลาดขาลงแบบผมสิ รับรอง..... หึๆ
สิ่งที่มือใหม่อย่างเราต้องการไม่ใช่ผลกำไรที่มาก แต่เป็นประสบการณ์ ทักษะในการเทรด การบริหารความเสี่ยงและวิธีคิดที่ถูกต้องต่างหากซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเลย พอเรามีความรู้มากขึ้น ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนเงินลงทุนให้มากขึ้น แบบนี้ก็ยังไม่สายครับ ดีกว่าคุณใช้เงินออมเกือบทั้งหมดไปเล่นโดยไม่มีความรู้ ทำแบบนี้ระวังจะเจ๊งได้นะครับ ดังนั้นเลิกคิดซะนะครับว่าเงินพันเดียวหมื่นเดียวทำอะไรไม่ได้ เงินพันเดียวหมื่นเดียวทำอะไรได้เยอะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณไม่หมดตัว อิอิ ^___^
สุดท้ายแล้ว สำหรับคนที่ยังลังเล ยังไม่พร้อมหรือมีเหตุผลข้ออ้าง108ประการอะไรก้แล้วแต่ที่ยังไม่เข้ามาในตลาดหุ้น อย่าลืมว่าต้นทุนที่สำคัญที่สุด มันลดลงทุกวันนะ ก็ลองคิดดูครับว่าถ้า “อยากมี” ในสิ่งที่ไม่เคยมี ก็ต้อง “ลองทำ” ในสิ่งที่ไม่เคยทำ